Search results

104 results in 0.77s

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะชีวิตและกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต 2) เพื่อศึกษาหลักคำสอนเรื่องกายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต 3) เพื่อศึกษากายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิตแนวพุทธ ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ทักษะชีวิตและกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต พบว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นผู้แพร่คำว่า “ทักษะชีวิต” (Life Skill) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ โดยมีองค์ประกอบ 10 ด้านคือ 1) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) ทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์3) ทักษะด้านการตระหนักรู้ในตน 4) ทักษะด้านการเข้าใจผู้อื่น 5) ทักษะด้านการตัดสินใจ 6) ทักษะด้านการแก้ปัญหา 7) ทักษะด้านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 8) ทักษะด้านการจัดการกับความเครียด 9) ทักษะด้านการจัดการกับอารมณ์ และ 10) ทักษะด้านการจัดการกับความเครียด โดยมีแนวทางแห่งการพัฒนาแบ่งออกเป็น 4 ด้านคือ 1) การพัฒนาด้านกายภาพ 2) การพัฒนาด้านศีลธรรม 3) การพัฒนาด้านจิตใจหรืออารมณ์ 4) การพัฒนาทางสติปัญญา กายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต พบว่า กายคตาสติ เป็นกรรมฐานเพื่อพัฒนาสติโดยใช้พิจารณาองค์ประกอบของร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของไม่สะอาด ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เป็นหลักทำให้เกิดทักษะ 4 ด้าน คือ 1) ทักษะด้านการตระหนักรู้ในตน 2) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) ทักษะด้านการจัดการกับอารมณ์ 4) ทักษะด้านการแก้ปัญหา กายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิตแนวพุทธ พบว่า การปฏิบัติกายคตาสติทำให้เกิดปัญญาเห็นความเป็นจริงในกฏไตรลักษณ์ของกายและใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาทักษะชีวิต 2 ประการคือ พัฒนาด้านกาย และพัฒนาด้านจิตใจ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะชีวิตและกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต 2) เพื่อศึกษาหลักคำสอนเรื่องกายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต 3) เพื่อศึกษากายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิตแนวพุทธ ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ทักษะชีวิตและกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต พบว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นผู้แพร่คำว่า “ทักษะชีวิต” (Life Skill) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ โดยมีองค์ประกอบ 10 ด้านคือ 1) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) ทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์3) ทักษะด้านการตระหนักรู้ในตน 4) ทักษะด้านการเข้าใจผู้อื่น 5) ทักษะด้านการตัดสินใจ 6) ทักษะด้านการแก้ปัญหา 7) ทักษะด้านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 8) ทักษะด้านการจัดการกับความเครียด 9) ทักษะด้านการจัดการกับอารมณ์ และ 10) ทักษะด้านการจัดการกับความเครียด โดยมีแนวทางแห่งการพัฒนาแบ่งออกเป็น 4 ด้านคือ 1) การพัฒนาด้านกายภาพ 2) การพัฒนาด้านศีลธรรม 3) การพัฒนาด้านจิตใจหรืออารมณ์ 4) การพัฒนาทางสติปัญญา กายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิต พบว่า กายคตาสติ เป็นกรรมฐานเพื่อพัฒนาสติโดยใช้พิจารณาองค์ประกอบของร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของไม่สะอาด ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เป็นหลักทำให้เกิดทักษะ 4 ด้าน คือ 1) ทักษะด้านการตระหนักรู้ในตน 2) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) ทักษะด้านการจัดการกับอารมณ์ 4) ทักษะด้านการแก้ปัญหา กายคตาสติในฐานะเป็นกระบวนการเสริมสร้างทักษะชีวิตแนวพุทธ พบว่า การปฏิบัติกายคตาสติทำให้เกิดปัญญาเห็นความเป็นจริงในกฏไตรลักษณ์ของกายและใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาทักษะชีวิต 2 ประการคือ พัฒนาด้านกาย และพัฒนาด้านจิตใจ
The objectives of this thesis are: 1) to study life skills and life skills reinforcement processes, 2) to study the doctrine of mindfulness with regard to the body as a life skills reinforcement process, and 3) to study mindfulness with regard to the body as a Buddhist life skills reinforcement process. The data were collected from textbooks, documents and related research papers and then analyzed for conclusion. The results of the research showed that: "Life Skills" was publicized by The World Health Organization with the aim to provide people to take care of themselves physically, mentally and emotionally. There are 10 components as follows: 1) Critical thinking skills, 2) Creative thinking skills, 3) Self-awareness, 4) Understanding others, 5) Decision making skills, 6) Problem solving skills, 7) Effective communication skills, 8) Interpersonal relationship building skills, 9) Emotional management skills, and 10) Stress management skills divided into 4 areas: 1) physical development, 2) moral development, 3) Mental or emotional development, and 4) Intellectual development. The mindfulness with regard to the body as the reinforcement process in life skills indicates that it is the practice of concentration on body components as hair on the head, hair on the body, nails, teeth, skin, etc. as unclean, should not be attached to, but should feel boredom on it. They are the practices to create 4 skills: 1) self-awareness skills, 2) reflection skills, 3) emotional management skills, and 4) problem solving skills. Physical consciousness as a process in enhancing Buddhist life skills indicates that the practice of physical consciousness can originate wisdom in realizing body and mind according to the Three Common Characteristics and it is in line with 2 methods in life skills development; physical development and mental development.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตามความคิดเห็นของพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ ที่มี เพศ อายุ อายุงาน ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประชากรได้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในแขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวนประชากรทั้งหมด 2,800 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie&Morgan ได้กลุ่มตัวอย่างจํานวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ โดยวิธี LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานมีความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โดยรวมทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดย เรียงลําดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านวิสัยทัศน์ (จักขุมา) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการบริหาร (วิธูโร) ส่วน ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ (นิสสยสัมปันโน) มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตามความคิดเห็นของพนักงาน ที่มี เพศ อายุ อายุงาน ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คือ ควรเพิ่มการจัดให้มีการอบรมเพื่อเติมความรู้และเพิ่มประสบการณ์ในการบริหารงานให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ ผู้บริหารควรพบปะพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน ควรเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกภาคส่วน ควรศึกษาปัญหาและความต้องการของพนักงานให้เข้าใจเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตามความคิดเห็นของพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ ที่มี เพศ อายุ อายุงาน ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประชากรได้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในแขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวนประชากรทั้งหมด 2,800 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie&Morgan ได้กลุ่มตัวอย่างจํานวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ โดยวิธี LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานมีความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โดยรวมทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดย เรียงลําดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านวิสัยทัศน์ (จักขุมา) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการบริหาร (วิธูโร) ส่วน ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ (นิสสยสัมปันโน) มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตามความคิดเห็นของพนักงาน ที่มี เพศ อายุ อายุงาน ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขภาวะผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คือ ควรเพิ่มการจัดให้มีการอบรมเพื่อเติมความรู้และเพิ่มประสบการณ์ในการบริหารงานให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ ผู้บริหารควรพบปะพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน ควรเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกภาคส่วน ควรศึกษาปัญหาและความต้องการของพนักงานให้เข้าใจเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร
The objectives of this thesis are as follows: 1) to study the Buddhist leadership of executives of Kasikornbank Public Company Limited, 2) to compare the Buddhist leadership of executives of Kasikornbank Public Company Limited based on opinions of the employees working in Rat Burana Head Office with different genders, ages, work-durations, education levels and monthly incomes, and 3) to study suggestions about the problems and guidelines for solving leadership according to Buddhism of executives of Kasikornbank Public Company Limited. The populations used in the study were 2800 employees working in the Rat Burana Headquarters, in Rat Burana sub-district, Rat Burana District of Bangkok. 338 samples were obtained by using Krejcie and Morgan tables. The data were collected by questionnaire and analyzed by a ready-made computer program. The statistics used to analyze the data were frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, F-test, and the LSD method. The results reveal that: 1) The opinion of employees on the leadership according to the Buddhist concept of executives of Kasikornbank Public Company Limited in all three areas was at a high level. When considering in details with descending order, the vision (Cakkhuma) was at the highest level, followed by management (Vidhuro) and interpersonal relations (Nissayasampanno) respectively. 2) The results of comparison, the employees with different genders, ages, employments, education levels and monthly incomes had no different opinions with statistically significant figure at the .05 level. 3) The suggestions for solving the problems and the solutions in leadership according to Buddhism of executives of Kasikornbank Public Company Limited are that; the executives should be trained, re-skilled and up-skilled in administration, the meetings between the executives and employees should be arranged regularly to build a good relationship to each other, listen to problems in work and seek for cooperation and participation, and the employees should be allowed to share their opinions and participate in organization development.

... 2564

หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 295 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นําของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านการให้ความช่วยเหลือ ด้านการเข้าสังคม ด้านการประสานงาน ด้านการรู้จักปรับปรุงแก้ไข ด้านการมีความคิดริเริ่ม และด้านการโน้มน้าวจิตใจ ตามลำดับ 2) การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ตามลำดับ 3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการรู้จักปรับปรุงแก้ไข ด้านการประสานงานด้านการมีความคิดริเริ่ม ด้านการเข้าสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.992 (R = 0.992) ซึ่งตัวแปรทั้งสี่ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ได้ร้อยละ 98.4 (R^2 = 0.984) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 0.052 + 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984)
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 295 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นําของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านการให้ความช่วยเหลือ ด้านการเข้าสังคม ด้านการประสานงาน ด้านการรู้จักปรับปรุงแก้ไข ด้านการมีความคิดริเริ่ม และด้านการโน้มน้าวจิตใจ ตามลำดับ 2) การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ตามลำดับ 3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการรู้จักปรับปรุงแก้ไข ด้านการประสานงานด้านการมีความคิดริเริ่ม ด้านการเข้าสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.992 (R = 0.992) ซึ่งตัวแปรทั้งสี่ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ได้ร้อยละ 98.4 (R^2 = 0.984) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 0.052 + 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984)
The objectives of this research were: 1) to study the Leadership of school administrators under the Pathum Thani primary educational service area office 2, 2) to study the committee’s participation in fundamental education under the Pathum Thani primary educational service area office 2 and, 3) to study the school administrators’ leadership affecting the committee’s participation in fundamental education under the Pathum Thani primary educational service area office 2. A sample was collected from 295 informants from 59 schools including director, the committee of fundamental education and teachers. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation, correlation coefficient, and multiple regressions. The results of the research ware as follows: 1) The leadership of school administrators under the Pathum Thani primary educational service area office 2 in overall was at a high level. The ranging by the average from high to low that respect, assistance, socializing, co-ordination, knowing improve, initiatives and mental persuasion respectively. 2) The committee’s participation in fundamental education under the Pathum Thani primary educational service area office 2 in overall was at a high level. The ranging by the average from high to low that participation in evaluation, participation in decision making, participation in benefits and participation in operations respectively. 3) The administrators leadership affecting the committee’s participation in fundamental education under the Pathum Thani primary educational service area office 2 was statistically significant at the 0.01 level. The most significant level was on knowing improve, co-ordination, initiatives, socializing was statistically significant at the 0.01 level and multiple correlation coefficient at 0.992 (R = 0.992) which can explain the variance of the school administrators’ leadership under the Pathum Thani primary educational service area office 2 at 98.4% (R^2 = 0.984). It can be written in predicting equations as follows: The predicting equation of raw score (Y) Y= 0.052 + 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984) The predicting equation of standard score (Zy) Zy= 0.852 (x2) + 0.139 (x6) + - 0.055 (x1) + 0.852 (x7) (R^2= 0.984)
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารกิจกรรมลูกเสือโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารกิจกรรมลูกเสือที่ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารกิจกรรมลูกเสือโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือ ด้านการบริหารทั่วไป ด้านบุคลากร และด้านการติดตามประเมินผล ตามลำดับ 2) สุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านสุขภาวะทางกาย ด้านสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ด้านสุขภาวะทางจิต และด้านสุขภาวะทางสังคม ตามลำดับ 3) การบริหารกิจกรรมลูกเสือส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือ ด้านการบริหารทั่วไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.763 (R = 0.0.763) ซึ่งตัวแปรทั้งสองร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการบริหารกิจกรรมลูกเสือ ได้ร้อยละ 58.3 (R^2= 0.583) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 2.316 + 0.379 (x3) + 0.126 (x1) (R^2= 0.583) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.59 (x3) + 0.187 (x1) (R^2= 0.583)
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารกิจกรรมลูกเสือโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารกิจกรรมลูกเสือที่ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารกิจกรรมลูกเสือโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือ ด้านการบริหารทั่วไป ด้านบุคลากร และด้านการติดตามประเมินผล ตามลำดับ 2) สุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านสุขภาวะทางกาย ด้านสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ด้านสุขภาวะทางจิต และด้านสุขภาวะทางสังคม ตามลำดับ 3) การบริหารกิจกรรมลูกเสือส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาวะของผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 4 จังหวัดปทุมธานี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือ ด้านการบริหารทั่วไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.763 (R = 0.0.763) ซึ่งตัวแปรทั้งสองร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการบริหารกิจกรรมลูกเสือ ได้ร้อยละ 58.3 (R^2= 0.583) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 2.316 + 0.379 (x3) + 0.126 (x1) (R^2= 0.583) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.59 (x3) + 0.187 (x1) (R^2= 0.583)
The objectives of this research were: 1) to study the conditions of administration boy scouts activities in schools under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani Province, 2) to study the conditions of the students in schools under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani Province and, 3) to study the administration of boy scout activities in school affecting health for student under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani Province. The 327 informants’ cases were included as a sample. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation, correlation coefficient, and Multiple Linear Regression by Stepwise Regression. The results of the research ware as follows: 1) The administration boy scout activities in schools under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani Province in overall was at a medium level. The ranging by the average from high to low that supporting and promoting scout activities, general administration, personnel, and monitoring evaluation respectively. 2) the conditions of the students in schools under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani Province in overall was at a high level The ranging by the average from high to low that physical health conditions, Spiritual health conditions, mental health conditions and social health conditions respectively. 3) The administration of boy scout activities in school affecting health for student under the secondary educational service area office 4, Pathum Thani province was statistically significant at the 0.01 level.The most significant level was on supporting and promoting scout activities and general administration was statistically significant at the 0.01 level and multiple correlation coefficient at 0.763 (R = 0.0.763) which can explain the variance of the conditions of administration boy scout activities in schools at 58.3% (R^2= 0.583). It can be written in predicting equations as follows: The predicting equation of raw score (Y) Y= 2.316 + 0.379 (x3) + 0.126 (x1) (R^2= 0.583) The predicting equation of standard score (Zy) Zy= 0.59 (x3) + 0.187 (x1) (R^2= 0.583)
หนังสือ

    งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทย, 2) เพื่อศึกษาพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เกี่ยวกับการศึกษาภาษาบาลีให้ประสบความสำเร็จ, 3) เพื่อวิเคราะห์การศึกษาภาษาบาลีให้ประสบความสำเร็จตามแนวพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเน้นวิจัยเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และมีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนรวม 7 รูป/คน และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า การศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยในปัจจุบันนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรักษาและสืบทอด คำสอนทางพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการศึกษาพิเศษที่สำนักเรียนแต่ละสำนักสามารถจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง แต่พอถึงเวลาสอบวัดผลก็สามารถเข้าสอบได้พร้อมกันทั้งหมด ผู้สอบผ่านจะได้เข้ารับการตั้งเปรียญธรรมตามที่กำหนดไว้ และใบประกาศนียบัตรเทียบเท่าระบบสามัญศึกษาและอุดมศึกษาตามแต่ละชั้นได้ สามารถนำไปต่อยอดการศึกษาสาขาวิชาอื่น ๆ ได้ด้วย แนวพระดำริที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงวางไว้ในการศึกษาภาษาบาลี คือ 1. ใช้เวลาเรียนน้อย 2. ได้ความรู้มาก 3. นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งพระองค์ก็ทรงจัดวิธีการศึกษาแบบใหม่ โดยมีการจัดชั้นเรียนที่ชัดเจน ระบุวันสอบและสถานที่สอบที่ชัดเจน และมีการกำหนดคะแนนสอบได้ สอบตก เปลี่ยนจากการแปลด้วยปากเปล่ามาเป็นวิธีเขียน ทำให้ผู้เข้าสอบมีความสะดวกสบายและง่ายขึ้น การศึกษาภาษาบาลีนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงประสงค์ให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาตามลำดับหลักสูตร มีการเข้าชั้นเรียน กำหนดเวลาเรียนให้เกิดความชัดเจน แล้วทำการวัดผลสอบในชั้นเรียน เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ความสามารถพระภิกษุสามเณรก่อนเข้าสอบบาลีสนามหลวงจริง ซึ่งผู้ศึกษาจะได้มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ตนศึกษาและสามารถนำเอาผลของการศึกษาไปใช้ในทางปฏิบัติ จนทำให้มีผู้สำเร็จการศึกษามากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปรีชาสามารถในการจัดการศึกษา นับว่าเป็นพระอัจฉริยภาพอย่างยิ่งของพระองค์ท่านโดยแท้
งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทย, 2) เพื่อศึกษาพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เกี่ยวกับการศึกษาภาษาบาลีให้ประสบความสำเร็จ, 3) เพื่อวิเคราะห์การศึกษาภาษาบาลีให้ประสบความสำเร็จตามแนวพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเน้นวิจัยเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และมีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนรวม 7 รูป/คน และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า การศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยในปัจจุบันนี้ เป็นการศึกษาเพื่อรักษาและสืบทอด คำสอนทางพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการศึกษาพิเศษที่สำนักเรียนแต่ละสำนักสามารถจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง แต่พอถึงเวลาสอบวัดผลก็สามารถเข้าสอบได้พร้อมกันทั้งหมด ผู้สอบผ่านจะได้เข้ารับการตั้งเปรียญธรรมตามที่กำหนดไว้ และใบประกาศนียบัตรเทียบเท่าระบบสามัญศึกษาและอุดมศึกษาตามแต่ละชั้นได้ สามารถนำไปต่อยอดการศึกษาสาขาวิชาอื่น ๆ ได้ด้วย แนวพระดำริที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงวางไว้ในการศึกษาภาษาบาลี คือ 1. ใช้เวลาเรียนน้อย 2. ได้ความรู้มาก 3. นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งพระองค์ก็ทรงจัดวิธีการศึกษาแบบใหม่ โดยมีการจัดชั้นเรียนที่ชัดเจน ระบุวันสอบและสถานที่สอบที่ชัดเจน และมีการกำหนดคะแนนสอบได้ สอบตก เปลี่ยนจากการแปลด้วยปากเปล่ามาเป็นวิธีเขียน ทำให้ผู้เข้าสอบมีความสะดวกสบายและง่ายขึ้น การศึกษาภาษาบาลีนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงประสงค์ให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาตามลำดับหลักสูตร มีการเข้าชั้นเรียน กำหนดเวลาเรียนให้เกิดความชัดเจน แล้วทำการวัดผลสอบในชั้นเรียน เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ความสามารถพระภิกษุสามเณรก่อนเข้าสอบบาลีสนามหลวงจริง ซึ่งผู้ศึกษาจะได้มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ตนศึกษาและสามารถนำเอาผลของการศึกษาไปใช้ในทางปฏิบัติ จนทำให้มีผู้สำเร็จการศึกษามากยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปรีชาสามารถในการจัดการศึกษา นับว่าเป็นพระอัจฉริยภาพอย่างยิ่งของพระองค์ท่านโดยแท้
The objectives of this thesis were as follows: 1. to study the Pali language study in Thailand, 2. to study the view of Somdej Phramahasamanachao Kromphrayavajirayanavaroros in the Pali language study, and 3. to analyze the success in study of Pali according to the view of Somdet Phramahasamanachao Kromphrayavajirayanavaroros. The data of this qualitative research were collected from documents and in-depth interviews with 7 experts and then analyzed in a descriptive way. The results of research were found that: The Pali language study in Thailand today is to preserve and transfer the Buddhist teachings. It is also a special education system that each school can operate its study but they have to send their students to take the examination-pool once a year. Those who passed in the examination will be certified as ones versed in Pali or Pariandham. The certificate of Pali study in a specific level is equivalent to the level in general and higher education system. The certificate can be used to apply for further study in other disciplines as well. The views of Somdej Phramahasamanachao Kromphrayavajirayanavaroros in the Pali study were as follows; 1. It takes a little time to learn, 2. The learners gain a lot of knowledge, 3. It can be used for real benefit. In his time, a new educational system was set up; class arrangement, examination schedule and examination criteria were clearly specified; and the oral examination was changed to written examination. In the Pali language study, Somdej Phramahasamanachao Kromphrayavajirayanavaroros wished students study according to the course order, regularly attend class, and do the classroom quizzes to assess their knowledge and understanding in Pali before attending the examination. By this way, students of Pali study can understand the Pali language and can apply their knowledge in work and practice. All these improvements confirmed and showed capability and genius of His Highness in educational management.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้แก่ ประชาคมในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5,656 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโร ยามาเน่ (Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 374 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาคมมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล ส่วนด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ เมื่อจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเรียงลำดับตามความถี่จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้าน การมีส่วนร่วมในการเสนอปัญหา มีความถี่มากที่สุด คือ ท่านมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเสนอปัญหาแผนงานหรือโครงการด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่น ถนนและไฟฟ้า เป็นต้นเพียงใด รองลงมา ด้าน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือ ท่านมีส่วนร่วมในการคิดตัดสินใจและกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้แก่ ประชาคมในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5,656 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโร ยามาเน่ (Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 374 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาคมมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล ส่วนด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ เมื่อจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเรียงลำดับตามความถี่จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้าน การมีส่วนร่วมในการเสนอปัญหา มีความถี่มากที่สุด คือ ท่านมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเสนอปัญหาแผนงานหรือโครงการด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่น ถนนและไฟฟ้า เป็นต้นเพียงใด รองลงมา ด้าน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือ ท่านมีส่วนร่วมในการคิดตัดสินใจและกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น
This thesis has the following objectives: 1) to study the community participation in the local development plan in Sam Phran District 2) to compare the participation of local people in the development of local development plans in Sampran district Nakhon Pathom province of the community that has different gender, age, education level, status and monthly income. 3) To suggest the participation of the community in formulating the local development plan in Sampran district. Nakhon Pathom province, namely Parachakham in Sam Phran district Nakhon Pathom Province, amount 5,656 people. Determine the size of the samples using the formula of Taro. Yamane received a sample of 385 people. The tools used to collect data were questionnaires. Closed-end and open-ended type Data analysis was done by using a computer program. Statistics for data analysis LSD, frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, One-Way ANOVA or F-test and the Least Significant Difference LSD. The findings were as follows; 1) The community participates in the development of the local administrative organization development plan. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province, in all 5 areas, at the highest level When looking at each aspect, sorted in descending average order, it was found that the participation of There was the highest average, followed by participation in monitoring and evaluation. As for participation, receiving benefits Have the lowest mean respectively When classified by sex, age, educational level, occupation status and monthly income, overall was the highest. 2) The results of comparison of participation in the development plan of the local government organization. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province of the community with different sex, age, education level, occupation status and monthly income were found to be statistically significant difference at 0.05 level. 3) Suggestions on guidelines for promoting community participation in the development of the local administrative organization development plan. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province The results were found in descending order of frequency. How often are you involved with the local government organization in proposing problems, plans or projects in the area of utility development such as roads and electricity, etc. Make decisions and formulate development solutions to address local problems.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดทางญาณวิทยา และ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ตามแนวญาณวิทยา เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า 1) พุทธปฏิมาที่พบรอบองค์พระปฐมเจดีย์มีทั้งสิ้น 80 ปาง และมีจำนวน 67 ปาง ที่มีเอกลักษณ์ในการแสดงพระหัตถ์ที่เรียกว่าการแสดงมุทราตามพุทธประวัติแต่ละตอน จึงทำให้พุทธปฏิมามีท่าทางไม่เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะได้เป็นอิริยาบถหลัก ๆ 4 อิริยาบถ คือ อิริยาบถยืน 24 ปาง อิริยาบถเดิน 2 ปาง อิริยาบถนั่ง 37 ปาง อิริยาบถนอน 5 ปาง อาการกิริยาที่เห็นต่างนี้เกิดจากช่างปั้นและช่างหล่อจินตนาการสร้างสรรค์งานตามเนื้อหาของพุทธประวัติ 2) ญาณวิทยา เป็นวิชาที่ว่าด้วยทฤษฎีความรู้ ที่มีขอบข่ายของความรู้กว้างขวางตามแนวคิดทฤษฎีที่หลากหลายของนักญาณวิทยาหรือนักปรัชญา มีทั้งแนวคิดที่ตรงกันและขัดแย้งกัน สำหรับในบริบทนี้ได้สรุปแนวคิดทฤษฎีออกเป็น 4 ประเด็น คือ บ่อเกิดของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ 3) วิเคราะห์คุณค่าพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ตามแนวญาณวิทยาในอิริยาบถ ทั้ง 4 คือ อิริยาบถยืน ได้แก่ ปางโปรดพุทธบิดา อิริยาบถเดิน ได้แก่ ปางจงกรมแก้ว อิริยาบถนั่ง ได้แก่ ปางปฐมเทศนา และอิริยาบถนอน ได้แก่ ปางปรินิพพาน วิเคราะห์ตามขอบข่ายของญาณวิทยาทั้ง 4 ประการ คือ บ่อเกิดของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และความสมเหตุสมผล ของความรู้ คุณค่าของพุทธปฏิมาทั้ง 4 ปาง แสดงให้เห็นถึงบ่อเกิดของความรู้นั้นเกิดขึ้นได้ใน ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็สามารถทำให้เกิดความรู้ได้ ด้านขอบเขตของความรู้ มีตั้งแต่ความรู้พื้นฐานในการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป จนถึงความรู้สูงสุดคือ การหลุดพ้นจากกิเลสด้านธรรมชาติของความรู้นั้นความรู้มีธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์มีความรู้ตั้งแต่การดำเนินชีวิต และความรู้สูงสุดคือ ทำลายความไม่รู้คือ อวิชชาได้ ด้านความสมเหตุสมผลของความรู้นั้นสามารถพิสูจน์ได้ใน ทุกขณะในทุกเวลาไม่ขึ้นอยู่กับกาล ที่เรียกว่า “อกาลิโก” ความรู้ทั้งหลายมีปรากฏอยู่ในพุทธปฏิมา ต้องวิเคราะห์แยกแยะด้วยปัญญา โดยการพิจารณาโดยแยบคายจึงจะเข้าถึงองค์ความรู้ในพุทธปฏิมา
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดทางญาณวิทยา และ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ตามแนวญาณวิทยา เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า 1) พุทธปฏิมาที่พบรอบองค์พระปฐมเจดีย์มีทั้งสิ้น 80 ปาง และมีจำนวน 67 ปาง ที่มีเอกลักษณ์ในการแสดงพระหัตถ์ที่เรียกว่าการแสดงมุทราตามพุทธประวัติแต่ละตอน จึงทำให้พุทธปฏิมามีท่าทางไม่เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะได้เป็นอิริยาบถหลัก ๆ 4 อิริยาบถ คือ อิริยาบถยืน 24 ปาง อิริยาบถเดิน 2 ปาง อิริยาบถนั่ง 37 ปาง อิริยาบถนอน 5 ปาง อาการกิริยาที่เห็นต่างนี้เกิดจากช่างปั้นและช่างหล่อจินตนาการสร้างสรรค์งานตามเนื้อหาของพุทธประวัติ 2) ญาณวิทยา เป็นวิชาที่ว่าด้วยทฤษฎีความรู้ ที่มีขอบข่ายของความรู้กว้างขวางตามแนวคิดทฤษฎีที่หลากหลายของนักญาณวิทยาหรือนักปรัชญา มีทั้งแนวคิดที่ตรงกันและขัดแย้งกัน สำหรับในบริบทนี้ได้สรุปแนวคิดทฤษฎีออกเป็น 4 ประเด็น คือ บ่อเกิดของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ 3) วิเคราะห์คุณค่าพุทธปฏิมารอบองค์พระปฐมเจดีย์ตามแนวญาณวิทยาในอิริยาบถ ทั้ง 4 คือ อิริยาบถยืน ได้แก่ ปางโปรดพุทธบิดา อิริยาบถเดิน ได้แก่ ปางจงกรมแก้ว อิริยาบถนั่ง ได้แก่ ปางปฐมเทศนา และอิริยาบถนอน ได้แก่ ปางปรินิพพาน วิเคราะห์ตามขอบข่ายของญาณวิทยาทั้ง 4 ประการ คือ บ่อเกิดของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และความสมเหตุสมผล ของความรู้ คุณค่าของพุทธปฏิมาทั้ง 4 ปาง แสดงให้เห็นถึงบ่อเกิดของความรู้นั้นเกิดขึ้นได้ใน ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็สามารถทำให้เกิดความรู้ได้ ด้านขอบเขตของความรู้ มีตั้งแต่ความรู้พื้นฐานในการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป จนถึงความรู้สูงสุดคือ การหลุดพ้นจากกิเลสด้านธรรมชาติของความรู้นั้นความรู้มีธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์มีความรู้ตั้งแต่การดำเนินชีวิต และความรู้สูงสุดคือ ทำลายความไม่รู้คือ อวิชชาได้ ด้านความสมเหตุสมผลของความรู้นั้นสามารถพิสูจน์ได้ใน ทุกขณะในทุกเวลาไม่ขึ้นอยู่กับกาล ที่เรียกว่า “อกาลิโก” ความรู้ทั้งหลายมีปรากฏอยู่ในพุทธปฏิมา ต้องวิเคราะห์แยกแยะด้วยปัญญา โดยการพิจารณาโดยแยบคายจึงจะเข้าถึงองค์ความรู้ในพุทธปฏิมา
The objectives of this thesis are 1) to study the Buddha images around Phra Pathom Chedi, 2) to study the concept of epistemology, and 3) to analyze the values of Buddha images around Phra Pathom Chedi according to the epistemology. The data of this documentary qualitative study were from the Tipitaka, Commentaries, textbooks and related research works. The results of the study were shown as follows 1) There are 80 attitudes of the Buddha images around Phra Pathom Chedi and 67 Buddha images have a unique attitude with the hand posture called Mudra. According to the Buddha's history, each episode makes the Buddha image a different posture. But when considering overall, there are 4 postures; 24 standing attitudes, 2 walking attitudes, 37 seated attitudes, and 5 reclining attitudes. These attitudes were created by potters’ or casters’ imagination according to the contents of the Buddha’s life story. 2) Epistemology is the theory of knowledge with a wide range of knowledge according to various theoretical concepts of epistemologists or philosophers. The concepts may be corresponding and contrasting. The theory can be summarized into 4 main points; the source of knowledge, scope of knowledge, nature of knowledge and reasonability of knowledge. 3) Analyze the values of the Buddha images around Phra Pathom Chedi according to the epistemology of the four gestures: Standing posture in Preaching His father, Walking postures in walking meditation, Sitting posture in Preaching the First Sermon, and Reclining posture in entering to Nibbana. The analysis was done in the framework of the four concepts in epistemology; the source of knowledge, the scope of knowledge, the nature of knowledge, and the reasonability of knowledge. The values of the four Buddha image postures show that the origin of knowledge that can be occurred in every posture. The scope of knowledge is varied from the basic knowledge in daily life to the highest knowledge for liberation from passion. The nature of knowledge is from knowledge in living a life to the ultimate knowledge in destroying ignorance. The reasonability of knowledge can be proven at any moment without space and time called Akaliko”. The knowledge embedded in the Buddha images can be achieved by considerably analyzing and synthesizing with wisdom.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 และ 3) เพื่อศึกษาการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนจำนวน 61 โรงเรียน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 56 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 392 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ แบบที่ 5 ผู้บริหารมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจและแก้ปัญหา แบบที่ 4 ผู้บริหารชี้ข้อจำกัดแล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการตัดสินใจภายในขอบเขตนั้น แบบที่ 3 ผู้บริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอวิธีการแก้ปัญหาแล้วนำมาพิจารณาตัดสินใจ แบบที่ 1 ผู้บริหารตัดสินใจด้วยตนเอง และแบบที่ 2 ผู้บริหารตัดสินใจแล้วขอความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ 2. ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านลักษณะงาน ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านเพื่อนร่วมงาน ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านผู้บังคับบัญชา ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านโอกาสก้าวหน้า และความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านค่าตอบแทนตามลำดับ 3. การตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียนส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ แบบที่ 1 ผู้บริหารตัดสินใจด้วยตนเอง แบบที่ 3 ผู้บริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอวิธีการแก้ปัญหาแล้วนำมาพิจารณาตัดสินใจ แบบที่ 4 ผู้บริหารชี้ข้อจำกัดแล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการตัดสินใจภายในขอบเขตนั้น และแบบที่ 5 ผู้บริหารมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจและแก้ปัญหา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.745 (R = 0.745) ซึ่งตัวแปรได้ร่วมกันอภิบายความแปรปรวนของการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 ได้ร้อยละ 55.6 (R2 = 0.556) ซึ่งเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y = 1.097 + 0.300 (x3)+ 0.152 (x4)+ 0.121 (x1)+ 0.145 (x5) (R2 = 0.556) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy = 0.374 (x3)+ 0.183 (x4)+ 0.122 (x1)+ 0.186 (x5) (R2 = 0.556)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 และ 3) เพื่อศึกษาการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนจำนวน 61 โรงเรียน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 56 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 392 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ แบบที่ 5 ผู้บริหารมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจและแก้ปัญหา แบบที่ 4 ผู้บริหารชี้ข้อจำกัดแล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการตัดสินใจภายในขอบเขตนั้น แบบที่ 3 ผู้บริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอวิธีการแก้ปัญหาแล้วนำมาพิจารณาตัดสินใจ แบบที่ 1 ผู้บริหารตัดสินใจด้วยตนเอง และแบบที่ 2 ผู้บริหารตัดสินใจแล้วขอความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ 2. ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านลักษณะงาน ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านเพื่อนร่วมงาน ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านผู้บังคับบัญชา ความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านโอกาสก้าวหน้า และความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียนด้านค่าตอบแทนตามลำดับ 3. การตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียนส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ แบบที่ 1 ผู้บริหารตัดสินใจด้วยตนเอง แบบที่ 3 ผู้บริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอวิธีการแก้ปัญหาแล้วนำมาพิจารณาตัดสินใจ แบบที่ 4 ผู้บริหารชี้ข้อจำกัดแล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการตัดสินใจภายในขอบเขตนั้น และแบบที่ 5 ผู้บริหารมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจและแก้ปัญหา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.745 (R = 0.745) ซึ่งตัวแปรได้ร่วมกันอภิบายความแปรปรวนของการตัดสินใจของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 ได้ร้อยละ 55.6 (R2 = 0.556) ซึ่งเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y = 1.097 + 0.300 (x3)+ 0.152 (x4)+ 0.121 (x1)+ 0.145 (x5) (R2 = 0.556) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy = 0.374 (x3)+ 0.183 (x4)+ 0.122 (x1)+ 0.186 (x5) (R2 = 0.556)
The objectives of this research were: 1) to study decision making of school administrators under the secondary educational service area office 9, 2) to study satisfaction of subordinates in schools under the secondary educational service area office 9 and, 3) to study decision making of school administrators affecting satisfaction of subordinates in schools under the secondary educational service area office 9. The data were collected from 392 informants from 56 schools out of 61 schools including administrators and teachers. The study was a quantitative research. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation, correlation coefficient, and multiple regressions. The results of the research ware as follows: 1) The decision making of school administrators under the secondary educational service area office 9 in overall was at a high level. The ranging by the average from high to low that the type 5; administrators entrust subordinates to make decisions and solve problems, type 4; administrators point out the constraint and have subordinates make decisions within area, type 3; administrators let their subordinates propose solutions and take into account decisions, type 1; administrators make decisions by themselves, and type 2; administrators make decisions and ask for the opinion of the subordinates respectively. 2) The satisfaction of subordinates in schools under the secondary educational service area office 9 in overall was at a high level. The ranging by the average from high to low that satisfaction of school subordinates in work itself, co-worker, administrators, promotion opportunity, and satisfaction of school subordinates in payment respectively. 3) The decision making of school administrators affecting satisfaction of subordinates in schools under the secondary educational service area office 9 was statistically significant at the 0.01 level. The most significant level was on type 1; administrators make decisions by themselves, type 3; administrators let their subordinates propose solutions and take into account decisions, type 4; administrators point out the constraint and have subordinates make decisions within area and, type 5; administrators entrust subordinates to make decisions and solve problems was statistically significant at the 0.01 level and multiple correlation coefficient at 0.745 (R = 0.745) which can explain the variance of decision making of school administrators under the secondary educational service area office 9 at 55.6% (R2 = 0.556). It can be written in predicting equations as follows: The predicting equation of raw score (Y) Y = 1.097 + 0.300 (x3)+ 0.152 (x4)+ 0.121 (x1)+ 0.145 (x5) (R2 = 0.556) The predicting equation of standard score (Zy) Zy = 0.374 (x3)+ 0.183 (x4)+ 0.122 (x1)+ 0.186 (x5) (R2 = 0.556)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้วัตถุประสงค์ ดังนี้ 1)เพื่อศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2)เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 3)เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมจำนวน 1,897 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโรยามาเน่(Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 330คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรมีความคิดเห็นต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมโดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่าด้านการศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการพัฒนา ส่วนด้านฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมของบุคลากร ที่มีเพศ อายุระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมของบุคลากร ที่มี สถานภาพ พบว่าโดยรวมทั้ง 3 ด้านไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านนอกนั้นไม่แตกต่างกัน
วิทยานิพนธ์นี้วัตถุประสงค์ ดังนี้ 1)เพื่อศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2)เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 3)เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมจำนวน 1,897 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโรยามาเน่(Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 330คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรมีความคิดเห็นต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมโดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่าด้านการศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการพัฒนา ส่วนด้านฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมของบุคลากร ที่มีเพศ อายุระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมของบุคลากร ที่มี สถานภาพ พบว่าโดยรวมทั้ง 3 ด้านไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านนอกนั้นไม่แตกต่างกัน
The objectives of this thesis are as follows: 1) to study the human resource development of local government organizations in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province, 2) to compare human resource development of local government organizations in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province, and 3) to suggest guidelines on human resource development of the local government organization in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province. The data were collected by questionnaire from 330 samples out of 1,897 people in Sam Phran district. The sampling size was determined by using the formula of Taroyamane (Yamane). The data were analyzed by a computer program with frequency, percentage, mean, standard deviation, t - test, (One – Way ANOVA or F – test), and testing of the mean scores for each pair using the LSD method (Least Significant Difference). The findings were as follows: 1) The opinion on the human resource development of the local government organization in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province in all 3 areas was at a high level. When considering each aspect, sorted by average descending order, education had the highest average, followed by development and training respectively. 2) In the results of comparison of opinions on the human resource development of the local government organization in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province, the personnel with different sex, age, education level, and monthly income had no different level of opinions. In the results of comparing opinions towards the human resource development of local government organizations in Sam Phran district of Nakhon Pathom Province, the personnel with different marital status had no different level in 3 aspects. When considered in aspects, it was found that the personnel with different education level had different level of opinions with a statistically significant level at 0.05, while the difference was not found in other qualifications.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ใน 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และด้านการบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จำนวน 196 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน การทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test/One-Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการ LSD (Least Significant Difference) และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์จากผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จำนวน 5 ท่าน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรมีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก และเมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย จากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ (1) ด้านการบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2) ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และ (3) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 3 ด้าน ไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พบว่า ควรมีการส่งเสริมให้บุคลากรได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานร่วมกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนจูงใจให้บุคลากรมีความเอาใจใส่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ใน 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และด้านการบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จำนวน 196 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน การทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test/One-Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการ LSD (Least Significant Difference) และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์จากผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จำนวน 5 ท่าน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรมีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก และเมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย จากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ (1) ด้านการบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2) ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และ (3) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 3 ด้าน ไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พบว่า ควรมีการส่งเสริมให้บุคลากรได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานร่วมกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนจูงใจให้บุคลากรมีความเอาใจใส่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ
The objective of this thesis were as follows; 1) to study the application of Sanghavatthu in work performance of the Local Administrative Organization Personnel in Phuttamonthon district Nakhon Pathom province in 3 areas: infrastructure, quality of life promotion, and management and conservation of natural resources and environment 2) to compare the application of Sangkhahawatthu in work performance of the Local Administrative Organization personnel Phuttamonthon district Nakhon Pathom province based on their sex age educational level and work experience, and 3) to propose a guidance on the application of Sangkhahawatthu in work performance of the Local Administrative Organization personnel in Phuttamonthon district Nakhon Pathom province. The quantitative data were collected from 196 samples by questionnaires and analyzed by frequency, mean, percentage, standard deviation, T-test, F-test, One-way ANOVA and LSD method. The qualitative data were collected by in-depth interview with 5 administrators of Local Administrative Organization in Phuttamonthon district Nakhon Pathom province. The results of the study found that: 1) The application of Sangkhahawatthu in work performance of the Local Administrative Organization personnel in Phuttamonthon district Nakhon Pathom province in 3 areas was at a high level overall. In details, the highest level was on management and conservation of natural resources and environment, followed by quality of life promotion, and infrastructure respectively. 2) From the hypothesis testing, the personnel with different sexes, ages, educational levels, and work experiences had no different levels in the application of Sangkhahawatthu in their performance. 3) The guidelines on the application of Sanghahavatthu in work performance of the local Administrative organization personnel in Phuttamonthon district of Nakhon Pathom province are that the personnel should be encouraged and supported in opinion exchange in work, in hospitality to each other, and in work motivation and responsibility.
หนังสือ

    การวิจัยเรื่อง การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ และรายได้ แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กลุ่มตัวอย่าง คือ พริตตี้ และกระบวนการรับและปรับใช้วัฒนธรรมของพริตตี้เพื่อให้ดำรงอยู่ในกลุ่มอาชีพและสังคมได้ การศึกษานี้ ผู้วิจัยใช้วิธีคือเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลที่ศึกษาแบบเจาะลึก(In-depth interview) และมีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยมี พริตตี้ ในกรุงเทพมหานคร เป็นกรณีศึกษา จำนวน 11 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย(Mean; X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, S.D.) และทดสอบสมมติฐาน T-test และ F-test ค่าสถิติ ANOVA จำนวน 150 คน ผลการวิจัยพบว่า : 1. การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ด้านการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ด้านการคุ้มครองสิทธิผู้สร้างสรรค์ ด้านการคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ การคุ้มครองสิทธิการถ่ายภาพ และด้านการละเมิดสิทธิทางเพศ ตามลำดับ 2.ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ และรายได้ ไม่แตกต่างกัน 3.ข้อเสนอแนะของพริตตี้ที่มีความคิดเห็นต่อ การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร สรุปผลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารและพนักงานพริตตี้ 5 ท่าน ตามความคิดเห็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ สรุปได้ว่า ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนมากมีความคิดเห็นสอดคล้องกันส่วนมาก คือ ด้านการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล “ผู้ประกอบอาชีพพริตตี้มีศักยภาพและแรงจูงใจมีผู้ติดตาม เป็นเหตุให้ถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัวได้” รองลงมาได้แก่ ด้านการคุ้มครองสิทธิผู้สร้างสรรค์ เรื่อง “ท่านคิดว่าการคุ้มครองสิทธิในการสร้างสรรค์มีประโยชน์ต่ออาชีพพริตตี้มากน้อยเพียงใด การคุ้มครองสิทธิในเรื่องการสร้างสรรค์ เป็นการป้องกันการถูกละเมิดสิทธิได้” เรื่อง ด้านการคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ เรื่อง “ท่านเคยใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ รองลงมาคือ ท่านคิดว่าสังคมไทยในปัจจุบันมองอาชีพ พริตตี้ในเชิงลบเสี่ยงต่อสภาพจิตใจหรือปัญหาสุขภาพของอาชีพพริตตี้มากน้อยเพียงใด” ด้านการคุ้มครองสิทธิการถ่ายภาพ เรื่อง “อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพเสี่ยงต่อการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ในการถ่ายภาพ เพราะลักษณะการทำงานและการแต่งตัวที่ล่อแหลม”และน้อยที่สุด ด้านการละเมิดสิทธิทางเพศ เรื่อง “กระแสวัตถุนิยมในสังคมไทยเป็นสาเหตุทำให้อาชีพพริตตี้ถูกละเมิดทางเพศโดยวิธีการหลายรูปแบบ
การวิจัยเรื่อง การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ และรายได้ แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กลุ่มตัวอย่าง คือ พริตตี้ และกระบวนการรับและปรับใช้วัฒนธรรมของพริตตี้เพื่อให้ดำรงอยู่ในกลุ่มอาชีพและสังคมได้ การศึกษานี้ ผู้วิจัยใช้วิธีคือเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กลุ่มบุคคลที่ศึกษาแบบเจาะลึก(In-depth interview) และมีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยมี พริตตี้ ในกรุงเทพมหานคร เป็นกรณีศึกษา จำนวน 11 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย(Mean; X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, S.D.) และทดสอบสมมติฐาน T-test และ F-test ค่าสถิติ ANOVA จำนวน 150 คน ผลการวิจัยพบว่า : 1. การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ด้านการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ด้านการคุ้มครองสิทธิผู้สร้างสรรค์ ด้านการคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ การคุ้มครองสิทธิการถ่ายภาพ และด้านการละเมิดสิทธิทางเพศ ตามลำดับ 2.ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ และรายได้ ไม่แตกต่างกัน 3.ข้อเสนอแนะของพริตตี้ที่มีความคิดเห็นต่อ การคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ กรุงเทพมหานคร สรุปผลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารและพนักงานพริตตี้ 5 ท่าน ตามความคิดเห็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติของผู้ประกอบอาชีพพริตตี้ สรุปได้ว่า ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนมากมีความคิดเห็นสอดคล้องกันส่วนมาก คือ ด้านการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล “ผู้ประกอบอาชีพพริตตี้มีศักยภาพและแรงจูงใจมีผู้ติดตาม เป็นเหตุให้ถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัวได้” รองลงมาได้แก่ ด้านการคุ้มครองสิทธิผู้สร้างสรรค์ เรื่อง “ท่านคิดว่าการคุ้มครองสิทธิในการสร้างสรรค์มีประโยชน์ต่ออาชีพพริตตี้มากน้อยเพียงใด การคุ้มครองสิทธิในเรื่องการสร้างสรรค์ เป็นการป้องกันการถูกละเมิดสิทธิได้” เรื่อง ด้านการคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ เรื่อง “ท่านเคยใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิในเรื่องของสุขภาพ รองลงมาคือ ท่านคิดว่าสังคมไทยในปัจจุบันมองอาชีพ พริตตี้ในเชิงลบเสี่ยงต่อสภาพจิตใจหรือปัญหาสุขภาพของอาชีพพริตตี้มากน้อยเพียงใด” ด้านการคุ้มครองสิทธิการถ่ายภาพ เรื่อง “อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพเสี่ยงต่อการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ในการถ่ายภาพ เพราะลักษณะการทำงานและการแต่งตัวที่ล่อแหลม”และน้อยที่สุด ด้านการละเมิดสิทธิทางเพศ เรื่อง “กระแสวัตถุนิยมในสังคมไทยเป็นสาเหตุทำให้อาชีพพริตตี้ถูกละเมิดทางเพศโดยวิธีการหลายรูปแบบ
The objectives of this research are as follows: 1) to study opinions on the rights protection of pretty professionals, 2) to compare opinions on the rights protection of pretty professionals with different gender, age, education level, experience and income, and 3) to provide suggestions on problems and guidelines for the protection of pretty professionals. The quantitative and qualitative research methods were used in the study. The qualitative data were collected by in-depth interviews with 11 pretty professionals, and the quantitative data were collected by questionnaires from 150 samples obtained by purposive sampling. The data were analyzed frequency distribution, Percentage, Mean; x ̅ Standard deviation s.D., T-test and F-test. The research found that: 1. The rights protection under the Act of Pretty Occupation in Bangkok in all 5 areas is at a high level. When considering each side in descending order of mean, the highest is on protection of personal rights, followed by protection of creators' rights, protection of rights in matters of health, protection of photography, and protection of rights in sexual violations respectively. 2. The results of a comparison of opinions on the protection of the rights of pretty professionals in Bangkok of respondents with different gender, age, education level, work experience and income are not different. 3. The suggestions with comments on Rights protection under the Act of Pretty Professionals in Bangkok can be summarized that: Most of the interviewees have consistent opinions and are on the protection of privacy. “Pretty professionals have potential and motivation. It can cause personal information to be violated. Followed by on the protection of the rights of creators, “How do you think protecting the rights to creativity has the benefit of pretty careers?, protection of the rights to creativity can prevent rights violations. On the protection of the rights in the area of health with the question “How vulnerable is pretty negative to the psychological or professional health problems?”, “Pretty is a career that is vulnerable to copyright infringement in photography because of their precarious behavior and dress, and minimal sexual rights violation: "Materialism in Thai society is the cause of the pretty career and the pretty professionals were sexually abused by many means.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ที่มี อายุ พรรษา วุฒิการศึกษา ต่างกัน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม การวิจัยครั้งนี้ มีประชากรกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพระภิกษุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม จำนวน 294 รูป เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปร ปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-way ANOVA) หากพบความแตกต่างทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) พระภิกษุกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านการปกครองวัดแบบบูรณาการตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการปกครองตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมาก และค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ ด้านการปกครองตามพระธรรมวินัยตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า พระภิกษุที่มี วุฒิการศึกษาทางธรรมต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนพระภิกษุที่มีระดับ อายุ พรรษา และวุฒิการศึกษาทางโลก ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางเกี่ยวกับการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เห็นว่า เจ้าอาวาสเป็นผู้มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชา กำกับดูแล แนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและฆราวาสผู้อยู่ในวัดให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงามถูกต้องตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคมและจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล การบำรุงรักษาวัด การจัดกิจการของวัดตามหน้าที่ผู้ปกครองวัดและหน้าที่จัดกิจการแทนวัดในฐานะผู้แทนนิติบุคคล การดูแลรักษา การใช้จ่าย การจัดทรัพย์สินของวัด ทั้งส่วนที่เป็นศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และศาสนสมบัติของวัดที่ตนเป็นเจ้าอาวาส ให้เป็นไปด้วยดี และต้องปฏิบัติภารกิจของพระพุทธศาสนาซึ่งจะช่วยส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคงและช่วยสร้างศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระพุทธศาสนา ดังนั้นเจ้าอาวาสจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหารและการจัดการ โดยเฉพาะภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสมีหน้าที่ในดูแล พระภิกษุ สามเณร ภายในวัดให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม เจ้าอาวาสนอกจากจะมีความรู้ความ สามารถ มีบารมี และคุณธรรม มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีแล้ว จะต้องมีภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชายอมรับนับถือ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ที่มี อายุ พรรษา วุฒิการศึกษา ต่างกัน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม การวิจัยครั้งนี้ มีประชากรกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพระภิกษุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม จำนวน 294 รูป เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปร ปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-way ANOVA) หากพบความแตกต่างทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) พระภิกษุกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านการปกครองวัดแบบบูรณาการตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการปกครองตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมาก และค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ ด้านการปกครองตามพระธรรมวินัยตามหลักพรหมวิหาร อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า พระภิกษุที่มี วุฒิการศึกษาทางธรรมต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนพระภิกษุที่มีระดับ อายุ พรรษา และวุฒิการศึกษาทางโลก ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางเกี่ยวกับการปกครองของเจ้าอาวาสตามหลักพรหมวิหาร 4 ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เห็นว่า เจ้าอาวาสเป็นผู้มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชา กำกับดูแล แนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและฆราวาสผู้อยู่ในวัดให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงามถูกต้องตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคมและจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล การบำรุงรักษาวัด การจัดกิจการของวัดตามหน้าที่ผู้ปกครองวัดและหน้าที่จัดกิจการแทนวัดในฐานะผู้แทนนิติบุคคล การดูแลรักษา การใช้จ่าย การจัดทรัพย์สินของวัด ทั้งส่วนที่เป็นศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และศาสนสมบัติของวัดที่ตนเป็นเจ้าอาวาส ให้เป็นไปด้วยดี และต้องปฏิบัติภารกิจของพระพุทธศาสนาซึ่งจะช่วยส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคงและช่วยสร้างศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระพุทธศาสนา ดังนั้นเจ้าอาวาสจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหารและการจัดการ โดยเฉพาะภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสมีหน้าที่ในดูแล พระภิกษุ สามเณร ภายในวัดให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม เจ้าอาวาสนอกจากจะมีความรู้ความ สามารถ มีบารมี และคุณธรรม มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีแล้ว จะต้องมีภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสามเณร ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชายอมรับนับถือ
โดยการนำหลักพรหมวิหารธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการปกครอง เพื่อให้กิจการคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองถาวรมั่นคง เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวพุทธศาสนาสืบไป
The objectives of this research were: 1) to study the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province, 2) to compare the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province according to their ages, years in the monkhood and educational levels, and 3) to study the guidelines of the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province. The data were collected from 294 samples by questionnaire and interview forms and then analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, F-test and LSD. The results of the study showed that: 1) The opinion of the samples towards the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province was at a high level overall. In descending order, the highest level was on administration integrated with Brahmavihara Dhamma, followed by administration based on the Sangha Acts integrated with Brahmavihara Dhamma, and administration based on Dhamma and Vinaya integrated with Brahmavihara Dhamma respectively. 2) From the comparison, the samples with different levels in Dhamma study had different opinion levels towards the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province with a statistically significant figure at 0.05. But the samples with different ages, years in monkhood and general education levels showed levels of their opinions indifferently. 3) The guidelines of the administration based on Brahmavihara Dhamma of the abbots in Mueang district of Nakhon Pathom province indicate that the duty of the abbots is to administrate, govern, monitor, supervise, and teach and train monks, novices and lay-people according to Dhamma, Vinaya, law, rules, regulations and Sangha Acts. The abbots have to provide facilities to people in making merit, take care of religious properties and religious estate, and maintain faith and belief of Buddhists in Buddhism. The abbots have to use arts and sciences in their administration. They should also have knowledge, morality, virtues, human relations and leadership in administration. All these qualifications based on Brahmavihara Dhamma will result to the acceptance of their subordinates, achievement of the Buddhist affairs and the establishment of Buddhism in the long run.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้คือ เพื่อศึกษาการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด เพื่อเปรียบเทียบการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพทางครอบครัว และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยใช้แบบการวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาโดยใช้แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ นักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดจำนวน 400 คน ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 196 คน และแบบสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามปลายเปิด สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า (One-Way ANOVA or F-test) และทดสอบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนข้อเสนอแนะใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนที่ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านฉันทะ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา ส่วนด้านวิริยะ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด พบว่า ด้านจิตตะมีความถี่มากที่สุด คือ ควรเอาใจใส่ในการเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ควรตั้งใจศึกษาเรียนรู้ในวิชาที่เรียนจดบันทึกข้อมูลการเรียนไว้เพื่อนำมาทบทวนได้ ควรมาเรียนให้ตรงต่อเวลา ควรตั้งใจเรียนและรับผิดชอบในงานที่คุณครูมอบหมายงานให้ทำงานให้ดีและสำเร็จ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้คือ เพื่อศึกษาการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด เพื่อเปรียบเทียบการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพทางครอบครัว และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้อิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยใช้แบบการวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาโดยใช้แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ นักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดจำนวน 400 คน ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 196 คน และแบบสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามปลายเปิด สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า (One-Way ANOVA or F-test) และทดสอบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนข้อเสนอแนะใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัดใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนที่ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านฉันทะ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา ส่วนด้านวิริยะ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการเรียนของนักเรียนศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด พบว่า ด้านจิตตะมีความถี่มากที่สุด คือ ควรเอาใจใส่ในการเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ควรตั้งใจศึกษาเรียนรู้ในวิชาที่เรียนจดบันทึกข้อมูลการเรียนไว้เพื่อนำมาทบทวนได้ ควรมาเรียนให้ตรงต่อเวลา ควรตั้งใจเรียนและรับผิดชอบในงานที่คุณครูมอบหมายงานให้ทำงานให้ดีและสำเร็จ
The objectives of this thesis are to study the application of Iddhipada of students in Bangphlad Vocational Training Center, to compare the application of Iddhipada of students in Bangphlad Vocational Training Center who have different sex, age, education level, family status and monthly income, and to suggest the application of Iddhipada in the study of students in Bangphlad Vocational Training Center. The mixed research methods were used in the study. The quantitative data were collected by questionnaire from 196 samples of 400 students. The qualitative data were collected by in-depth interviews with 5 officials in Bangphlad Vocational Training Center. The data were analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, and (One-Way ANOVA or F-test). LSD was used to analyze with a computer program for statistical data. The suggestion section was analyzed by content analysis. The results of the research were as follows: 1) Students of Bangphlad Vocational Training Center applied the principles of iddhipada in their study in 4 areas at a high level overall. In details with descending order, the highest level was on Chanda, followed by Citta, Vimamsa and Viriya respectively. 2) The results of comparison in application of Iddhipada in the study, the students with different sex, age, educational level, marital status and monthly income apllied Iddhipada in their study differently with the statistically significant figure at .05 level. 3) Suggestions in the application of Iddhipada in the study indicated that the most frequency was on Citta. Students should pay attention to both theoretical and practical lessons, should take notes for later review, should be punctual and be responsible to the assignments.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาพุทธบัญญัติเกี่ยวกับการเดินและการสวมรองเท้าที่สอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติ ๒) เพื่อศึกษาปัญหาสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธ ๓) เพื่อนำเสนอรูปแบบนวัตกรรมเพื่อสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธที่สอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติบนฐานการคิดเชิงออกแบบ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาข้อมูลเอกสารปฐมภูมิ ทุติยภูมิและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึก สังเกตการณ์ ออกแบบต้นแบบและนำต้นแบบไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า ๑) ในสมัยพุทธกาลจริยวัตรของภิกษุทั้งการเดินบิณฑบาต การเดินจงกรมและการเดินธุดงค์ ล้วนเดินด้วยเท้าเปล่า ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ต่อมาได้มีการบัญญัติพระวินัยขึ้นทั้งข้ออนุญาตและข้อห้ามในการสวมรองเท้าจากกรณีปัญหาสุขภาพเท้ามูลเหตุจากพระโสณโกฬิวิสะ ปัจจุบันกลุ่มตัวอย่าง ๒๐ รูป/คน เห็นด้วยกับการไม่ใส่รองเท้าขณะเดินจงกรม คิดเป็น ๙๐% และขณะบิณฑบาต คิดเป็น ๖๐% ตามลำดับ แต่เห็นด้วยกับการใส่รองเท้าขณะเดินธุดงค์ คิดเป็น ๖๕% ยกเว้นกรณีอาพาธที่เท้าให้ใส่รองเท้าในทุกกรณี ๒) ปัญหาสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธเกิดจากโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน ประมาณ ๙๐% สาเหตุจากพฤติกรรมการบริโภค การไม่ออกกำลังกาย มีโรคประจำตัว และอุบัติเหตุที่เท้า ๑๐% ตามลำดับ การป้องกันควรใช้ ๕ ป. ได้แก่ ปรับทัศนคติ เปลี่ยนค่านิยมประชาชน ปลุกจิตสำนึกการออกกำลังกาย เปิดช่องทางให้ความรู้ และประดิษฐ์รองเท้าเพื่อสุขภาพ ๓) รูปแบบนวัตกรรมเพื่อสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธบนฐานการคิดเชิงออกแบบ จะต้องสอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติ เป็นรองเท้าชั้นเดียว สีน้ำตาล สวมใส่สบาย กระชับ ระบายอากาศได้ดี ทำจากยางพาราหรือวัสดุที่เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ ถูกสุขอนามัยและความปลอดภัย มีแผ่นรองที่มีปุ่มกระตุ้นจุดเส้นประสาทที่เท้าและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ได้รับการยอมรับจากประชาชน ด้วยการระบุสัญลักษณ์วงกลมเครื่องหมาย รองเท้าผู้ป่วยเบาหวาน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาพุทธบัญญัติเกี่ยวกับการเดินและการสวมรองเท้าที่สอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติ ๒) เพื่อศึกษาปัญหาสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธ ๓) เพื่อนำเสนอรูปแบบนวัตกรรมเพื่อสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธที่สอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติบนฐานการคิดเชิงออกแบบ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาข้อมูลเอกสารปฐมภูมิ ทุติยภูมิและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึก สังเกตการณ์ ออกแบบต้นแบบและนำต้นแบบไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า ๑) ในสมัยพุทธกาลจริยวัตรของภิกษุทั้งการเดินบิณฑบาต การเดินจงกรมและการเดินธุดงค์ ล้วนเดินด้วยเท้าเปล่า ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ต่อมาได้มีการบัญญัติพระวินัยขึ้นทั้งข้ออนุญาตและข้อห้ามในการสวมรองเท้าจากกรณีปัญหาสุขภาพเท้ามูลเหตุจากพระโสณโกฬิวิสะ ปัจจุบันกลุ่มตัวอย่าง ๒๐ รูป/คน เห็นด้วยกับการไม่ใส่รองเท้าขณะเดินจงกรม คิดเป็น ๙๐% และขณะบิณฑบาต คิดเป็น ๖๐% ตามลำดับ แต่เห็นด้วยกับการใส่รองเท้าขณะเดินธุดงค์ คิดเป็น ๖๕% ยกเว้นกรณีอาพาธที่เท้าให้ใส่รองเท้าในทุกกรณี ๒) ปัญหาสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธเกิดจากโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน ประมาณ ๙๐% สาเหตุจากพฤติกรรมการบริโภค การไม่ออกกำลังกาย มีโรคประจำตัว และอุบัติเหตุที่เท้า ๑๐% ตามลำดับ การป้องกันควรใช้ ๕ ป. ได้แก่ ปรับทัศนคติ เปลี่ยนค่านิยมประชาชน ปลุกจิตสำนึกการออกกำลังกาย เปิดช่องทางให้ความรู้ และประดิษฐ์รองเท้าเพื่อสุขภาพ ๓) รูปแบบนวัตกรรมเพื่อสุขภาพเท้าของภิกษุอาพาธบนฐานการคิดเชิงออกแบบ จะต้องสอดคล้องกับพระวินัยบัญญัติ เป็นรองเท้าชั้นเดียว สีน้ำตาล สวมใส่สบาย กระชับ ระบายอากาศได้ดี ทำจากยางพาราหรือวัสดุที่เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ ถูกสุขอนามัยและความปลอดภัย มีแผ่นรองที่มีปุ่มกระตุ้นจุดเส้นประสาทที่เท้าและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ได้รับการยอมรับจากประชาชน ด้วยการระบุสัญลักษณ์วงกลมเครื่องหมาย รองเท้าผู้ป่วยเบาหวาน
The objectives of this thesis were; 1) to study the code of discipline according to walking and footwares of monks, 2) to study the problems of foot health of sick monks, and 3) to propose a Buddhist innovative prototype for foot health of sick monks. The qualitative data were collected from primary source, secondary source, related research works, in-depth interviews, observation, prototype design and test. The results of research were found that: 1) In the Buddha’s time, bare-feet walking while going for arms-collecting, walking round for meditation and hike-walking were exercises that increased blood circulation. The codes of discipline on monks’ footwares were set forth because of the foot health problem of Venerable Sonakolivisa. In present day, 90% out of 20 samples agreed with monks walking bare-foot on round-meditation, and 60% while going for arms-collecting. But 65% agreed with wearing the footwares while hike-walking. And the sick monks should be exempted from this code in any occasions. 2) 90% of foot health problems of sick monks were from non-communicable diseases such as diabetes that caused from consumption behavior, lack of exercise, congenital disease and 10% from accidents respectively. The prevention could be done by adjusting the monk’s attitude, social perception, exercise motivation, knowledge channel and foot health innovation. 3) Innovative design thinking for foot health of sick monks is to comply with the code of discipline, user’s satisfactory, health and safety, and social acceptability. The proposed design is brown single-sole rubber sandals with blood circulation button and innovative materials with diabetes symbol on it.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์เรื่อง ความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีเพศ อายุ ระดับชั้นเรียน และอาชีพผู้ปกครอง ที่ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางส่งเสริมความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 252 เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดี่ยว (F-test or One-way ANOVA) หากพบความแตกต่างทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ โดยรวมทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยที่สุด 3 ลำดับ ดั้งนี้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านหลักความเสมอภาค รองลงมา ได้แก่ ด้านหลักการถือเสียงข้างมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านหลักอำนาจอธิปไตย 2) ผลการเปรียบเทียมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีอายุ ระดับชั้นเรียน และอาชีพผู้ปกครองต่างกัน มีความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยรวมทั้ง 5 ด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีเพศต่างกัน มีความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยรวมทั้ง 5 ด้าน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทาวการแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือ 1) ด้านหลักอำนาจอธิปไตย ควรส่งเสริมพัฒนาความเข้าใจในรายระเอียดของการปกครองให้ได้มากที่สุด 2) ด้านหลักเสรีภาพ ควรส่งเสริมพัฒนาสิทธิเสรีภาพ และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่นให้ได้มากที่สุด 3) ด้านหลักความเสมอภาค ควรส่งเสริมพัฒนาให้ทุกคนเข้าถึงการบริการของรัฐในทุกรูปแบบอย่างเท่าเทียมกัน 4) ด้านหลักนิติธรรม ควรส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนกล้าแสดงออกในทุกมิติภายใต้กฎหมายแห่งรัฐ5) ด้านหลักการถือเสียงข้างมาก ควรส่งเสริมพัฒนาความเข้าใจถึงอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติต่อเสียงข้างน้อยตามกรอบของรัฐธรรมนูญ
วิทยานิพนธ์เรื่อง ความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีเพศ อายุ ระดับชั้นเรียน และอาชีพผู้ปกครอง ที่ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางส่งเสริมความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 252 เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดี่ยว (F-test or One-way ANOVA) หากพบความแตกต่างทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ โดยรวมทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยที่สุด 3 ลำดับ ดั้งนี้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านหลักความเสมอภาค รองลงมา ได้แก่ ด้านหลักการถือเสียงข้างมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านหลักอำนาจอธิปไตย 2) ผลการเปรียบเทียมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีอายุ ระดับชั้นเรียน และอาชีพผู้ปกครองต่างกัน มีความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยรวมทั้ง 5 ด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีเพศต่างกัน มีความเข้าใจในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยรวมทั้ง 5 ด้าน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทาวการแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือ 1) ด้านหลักอำนาจอธิปไตย ควรส่งเสริมพัฒนาความเข้าใจในรายระเอียดของการปกครองให้ได้มากที่สุด 2) ด้านหลักเสรีภาพ ควรส่งเสริมพัฒนาสิทธิเสรีภาพ และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่นให้ได้มากที่สุด 3) ด้านหลักความเสมอภาค ควรส่งเสริมพัฒนาให้ทุกคนเข้าถึงการบริการของรัฐในทุกรูปแบบอย่างเท่าเทียมกัน 4) ด้านหลักนิติธรรม ควรส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนกล้าแสดงออกในทุกมิติภายใต้กฎหมายแห่งรัฐ5) ด้านหลักการถือเสียงข้างมาก ควรส่งเสริมพัฒนาความเข้าใจถึงอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติต่อเสียงข้างน้อยตามกรอบของรัฐธรรมนูญ
Thesis on Understanding of Democracy of High School Students in Phrai Bueng District Sisaket Province The objectives are as follows: 1) To study the understanding of democratic governance of high school students in Phrai Bueng District. Sisaket Province 2) to study and compare the understanding of democratic governance of high school students in Phrai Bueng District Sisaket Province with gender, age, grade level 3) to suggest guidelines for promoting the understanding of democratic governance of high school students in Phrai Bueng District. Sisaket Province The sample consisted of 252 high school students in Phrai Bueng District, Sisaket Province. The research instruments were questionnaires and interviews. The statistics used for data analysis were frequency distribution, percentage, mean, standard deviation. And t-test, F-test or One-way ANOVA, if differences were found, tested as a pair with the LSD method (Least Significant Difference). The results of research were found as follows : 1) Understanding of the democratic governance of high school students in Phrai Bueng District Sisaket Province, in all 5 areas, overall at a high level When considered individually, they were ordered from the average from the highest to the lowest of the three sequences. Therefore, the side that had the highest mean was the principle of equality, the second was the majority principle And the side with the least average was the principle of sovereignty 2) The comparative results of high school students in Phrai Bueng District, Sisaket Province with grade age And parents are different occupations There were statistically significant differences in the understanding of democratic governance in the five areas at 0.05 level. Understanding the democratic regime as a whole is no different. 3) Suggestions about problems and solutions that are important are 1) the principle of sovereignty. The understanding of the details of government should be promoted as much as possible. 2) Freedom principles Should promote the development of rights and freedoms And does not violate the rights of other persons as much as possible 3) the principle of equality It should promote and develop equal access to all forms of government services. 4) Rule of Law Students should be encouraged to be able to express themselves in all dimensions under state law. The understanding of the power and duties of the minority should be promoted in accordance with the constitutional framework.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 2) เพื่อศึกษาความผูกพันของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นสถานศึกษาในจังหวัดราชบุรี รวมทั้งหมด 24 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 192 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows ในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน คาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาการทำงานให้แก่ครูและบุคลากรในสถานศึกษา รองลงมา ได้แก่ การจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน (หน้าที่รับผิดชอบ) การสรรหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาปฏิบัติงาน การพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การส่งเสริมขวัญและกำลังใจสำหรับครูและบุคลากรในสถานศึกษา 2. ความผูกพันของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน โดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย คือ ความผูกพันต่องาน และ ความผูกพันต่อองค์การ ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันของครูในสถานศึกษา ประกอบด้วย ด้านการสรรหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาปฏิบัติงาน ด้านการจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน (หน้าที่รับผิดชอบ) ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาการทำงานให้แก่ครูและบุคลากรในสถานศึกษา สามารถทำนายความผูกพันของครูด้านความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีสมการแสดงความสัมพันธ์ในรูปของสมการพยากรณ์คะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ Y1 = .207 + .186 (X1) + 137 (X2) + .310 (X3) + .282 (X5) Z1 = .178 (ZX1) + .169 (ZX2) + .250 (ZX3) + .286 (ZX5) Y2 = 2.784 + .176 (X1) + .171 (X2) Z2 = .161 (ZX1) + 198 (ZX2)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 2) เพื่อศึกษาความผูกพันของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นสถานศึกษาในจังหวัดราชบุรี รวมทั้งหมด 24 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 192 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows ในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน คาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาการทำงานให้แก่ครูและบุคลากรในสถานศึกษา รองลงมา ได้แก่ การจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน (หน้าที่รับผิดชอบ) การสรรหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาปฏิบัติงาน การพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การส่งเสริมขวัญและกำลังใจสำหรับครูและบุคลากรในสถานศึกษา 2. ความผูกพันของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน โดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย คือ ความผูกพันต่องาน และ ความผูกพันต่อองค์การ ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความผูกพันของครูในสถานศึกษา ประกอบด้วย ด้านการสรรหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาปฏิบัติงาน ด้านการจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน (หน้าที่รับผิดชอบ) ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาการทำงานให้แก่ครูและบุคลากรในสถานศึกษา สามารถทำนายความผูกพันของครูด้านความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีสมการแสดงความสัมพันธ์ในรูปของสมการพยากรณ์คะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ Y1 = .207 + .186 (X1) + 137 (X2) + .310 (X3) + .282 (X5) Z1 = .178 (ZX1) + .169 (ZX2) + .250 (ZX3) + .286 (ZX5) Y2 = 2.784 + .176 (X1) + .171 (X2) Z2 = .161 (ZX1) + 198 (ZX2)
The objectives of this study were: 1) to study the personnel management of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office 8, 2) to study the teacher attachment in schools under the Secondary Educational Service Area Office 8 and, 3) to study the personnel management of school administrators that affect teacher attachment in school under the Secondary Educational Service Area Office 8. The sample of the study was 24 schools in Ratchaburi Province. There were 192 informants. The research tool was questionnaire. Data was analyzed using SPSS for Windows to analysis of basic statistics. Coefficient of correlation and Stepwise multiple regression analysis. The results of research were as follows: 1. The personnel management of school administrators in overall was high level, when considering in aspect was high level at all aspect. The maximum mean aspect was to advice and solve the problem about working for teachers and school personnel, then to manage the right people into the right job (duties and responsibilities), effective personnel recruitment for operation, improving teachers and personnel at schools to perform efficiently duties. In addition, the minimum mean aspect was encouragement for teachers and personnel at schools. 2. Teacher attachment at schools in overall was at high level, when considering each aspect by arranging maximum to minimum scores that work commitment and organizational commitment, respectively. 3. The personnel management of school administrators that affected teacher attachment in schools included the effective personnel recruitment for operation, manage the right people into the right job (duties and responsibilities), improving teachers and personnel in schools to perform efficiently duties and to advised and solved the problem about working for teachers and personnel in schools. It could predict teacher attachment about organizational commitment statistically significant at the 0.05 level. Where equation was shown the relationship as forecasting raw and standard scores as follows: Y1 = .207 + .186 (X1) + 137 (X2) + .310 (X3) + .282 (X5) Z1 = .178 (ZX1) + .169 (ZX2) + .250 (ZX3) + .286 (ZX5) Y2 = 2.784 + .176 (X1) + .171 (X2) Z2 = .161 (ZX1) + 198 (ZX2)
หนังสือ

    วิทยาพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จำนวน 9 วิทยาลัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู คณาจารย์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 325 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.385-0.857 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .980 ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานของผู้บริหาร สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการจัดองค์การ รองลงมาคือ ด้านการสื่อสารและการจูงใจ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 2. ประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านคุณภาพการบริหารจัดการ รองลงมาคือ ด้านคุณภาพผู้เรียน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านคุณภาพบุคลากร 3. วิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยความคิดเห็นของการบริหารงานของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลสถานศึกษาทุกด้าน โดยเรียงลำดับ การบริหารงานของผู้บริหาร ที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลสถานศึกษาสูงสุดไปหาต่ำสุดตามลำดับ ได้แก่ ด้านการจัดองค์การ ด้านการควบคุม ด้านการสื่อสารและการจูงใจ ด้านการวางแผน ด้านการนำ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านที่มีความสัมพันธ์กันต่ำที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 4. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันภายในกับประสิทธิผลสถานศึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดองค์การ ด้านการควบคุม และด้านการสื่อสารและการจูงใจ เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ภายใน จะมีความสัมพันธ์กันภายใน 3 ระดับตามลำดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหาร ด้านการจัดองค์การ ระดับที่ 2 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหารด้านการจัดองค์การ กับด้านควบคุม และระดับที่ 3 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหาร ด้านการจัดองค์การ กับด้านการควบคุม กับด้านการสื่อสารและการจูงใจ
วิทยาพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จำนวน 9 วิทยาลัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู คณาจารย์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 325 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.385-0.857 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .980 ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานของผู้บริหาร สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการจัดองค์การ รองลงมาคือ ด้านการสื่อสารและการจูงใจ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 2. ประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านคุณภาพการบริหารจัดการ รองลงมาคือ ด้านคุณภาพผู้เรียน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านคุณภาพบุคลากร 3. วิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยความคิดเห็นของการบริหารงานของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลสถานศึกษาทุกด้าน โดยเรียงลำดับ การบริหารงานของผู้บริหาร ที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลสถานศึกษาสูงสุดไปหาต่ำสุดตามลำดับ ได้แก่ ด้านการจัดองค์การ ด้านการควบคุม ด้านการสื่อสารและการจูงใจ ด้านการวางแผน ด้านการนำ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และด้านที่มีความสัมพันธ์กันต่ำที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 4. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานของผู้บริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันภายในกับประสิทธิผลสถานศึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดองค์การ ด้านการควบคุม และด้านการสื่อสารและการจูงใจ เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ภายใน จะมีความสัมพันธ์กันภายใน 3 ระดับตามลำดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหาร ด้านการจัดองค์การ ระดับที่ 2 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหารด้านการจัดองค์การ กับด้านควบคุม และระดับที่ 3 ได้แก่ การบริหารงานของผู้บริหาร ด้านการจัดองค์การ กับด้านการควบคุม กับด้านการสื่อสารและการจูงใจ
The objectives of this research were to 1) study the executive management of the schools under the Vocational Education Institute in the Northeastern Region 3, 2) study the effectiveness of the so-said schools and 3) analyze the relationship between the executive management and the effectiveness of schools as mentioned. The samples used in the research consisted of administrators and instructors of the 9 vocational education institutes in the Northeastern Region 3, totally 325 in number. The instrument used for data collection was a 5-rating scale questionnaire with discriminatory power of 0.385 – 0.857, and reliability of .980. The results of the research were as follows: 1.The executive management of the schools under the institute of vocational education in the Northeastern Region 3 was, in an overall aspect, found to exist at a high level, with the highest average revealed in the aspect of organization, followed by communication and motivation. The aspect that featured the lowest average was teamwork. 2. The effectiveness of the schools in mention was, in an overall aspect, found to stand at a high level, with the highest average shown in the field of management quality, followed by quality of learners. The aspect with the lowest average was personnel quality. 3. As for the analysis of information and opinions about the executive management and the effectiveness of the schools under the so-said institute, the opinions of the executive management were found to be related to educational effectiveness in all aspects, led by organization, control, communication and motivation, planning and leading, vision and achievement-orientation, respectively. The aspect that touched the bottom line was teamwork. 4. The analysis of relationship between the executive management and effectiveness of the schools under the Institute as mentioned displayed the internal correlation in 3 dimensions, namely, organization, control, and communication and motivation. The level of inner relationship could be also classified into 3 cascades as follows: The first level was the executive management itself. The second level was the executive administration in relation with organization and control. And the third level was the executive management in relation with organization, control and communication and motivation.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 295 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการ ครูผู้รับผิดชอบงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ ด้านขั้นตอนการดำเนินงาน ด้านการวางระบบและแผนดำเนินงาน ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผล และด้านปรับปรุงและพัฒนาเป็นนวัตกรรมของสถานศึกษา ตามลำดับ 2) คุณภาพผู้เรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านผู้เรียนมีทักษะชีวิต ด้านผู้เรียนเป็นคนดี ด้านผู้เรียนมีความสามารถในการคิด และด้านผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามหลักสูตร ตามลำดับ 3) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านปรับปรุงและพัฒนาเป็นนวัตกรรมของสถานศึกษาด้านกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผล ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.673 (R = 0.673) ซึ่งตัวแปรทั้งสองร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ได้ร้อยละ 45.2 (R^2= 0.452) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 1.620 + 0.538 (x5) + 0.236 (x1) + -0.192 (x4) (R^2= 0.452) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.677 (x5) + 0.275 (x1) + -0.245 (x4) (R^2= 0.452)
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 295 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการ ครูผู้รับผิดชอบงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ ด้านขั้นตอนการดำเนินงาน ด้านการวางระบบและแผนดำเนินงาน ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผล และด้านปรับปรุงและพัฒนาเป็นนวัตกรรมของสถานศึกษา ตามลำดับ 2) คุณภาพผู้เรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก โดยการจัดอันดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านผู้เรียนมีทักษะชีวิต ด้านผู้เรียนเป็นคนดี ด้านผู้เรียนมีความสามารถในการคิด และด้านผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามหลักสูตร ตามลำดับ 3) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านปรับปรุงและพัฒนาเป็นนวัตกรรมของสถานศึกษาด้านกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผล ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.673 (R = 0.673) ซึ่งตัวแปรทั้งสองร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนใต้ ได้ร้อยละ 45.2 (R^2= 0.452) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Y) Y= 1.620 + 0.538 (x5) + 0.236 (x1) + -0.192 (x4) (R^2= 0.452) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (Zy) Zy= 0.677 (x5) + 0.275 (x1) + -0.245 (x4) (R^2= 0.452)
The objectives of the study were: 1) to study the administration of the student care system of the school administrators under Bangkok Metropolis of Southern Krungthon Group, 2) to study the quality of students in schools under Bangkok Metropolis of Southern Krungthon Group and, 3) to study the administration of the student care system of the school administrators that affect quality of students in schools under Bangkok Metropolis of southern Krungthon group. A sample was collected from 295 informants from 59 schools including director, leader of academic administration, teachers in charge of the student care and support system and teachers. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation, correlation coefficient, and multiple linear regression by stepwise regression. The results of the research ware as follows: 1) The administration of the student care system of the school administrators under Bangkok Metropolis of Southern Krungthon group was at a high level in overall. The ranging by the average from high to low was that the direction and strategy, operational procedures,system planning and implementation plan, in-service monitoring and evaluation and improvement and development of school innovation respectively. 2) The quality of learners under Bangkok metropolis of southern Krungthon group was at a high level in overall. The ranging by the average from high to low was that the learner has life skills, the learner is good, the learner has the ability to think, and the learner has the ability to follow the curriculum respectively. 3) The administration of the student care system of school administrators Affecting to quality of students in schools under Bangkok Metropolis of southern Krungthon group was statistically significant at the 0.01 level. The most significant level was on improvement and development of school innovation, direction and strategy, supervision monitoring and evaluation was statistically significant at the 0.01 level and multiple correlation coefficient at 0.673 (R = 0.673) which can explain the variance of management of the student care and support system of school administrators under Bangkok metropolis of southern Krungthon group at 45.2% (R^2= 0.452). It can be written in predicting equations as follows: The predicting equation of raw score (Y) Y= 1.620 + 0.538 (x5) + 0.236 (x1) + -0.192 (x4) (R^2= 0.452) The predicting equation of standard score (Zy) Zy= 0.677 (x5) + 0.275 (x1) + -0.245 (x4) (R^2= 0.452)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 2. เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 3. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำนวน 70 แห่ง โดยมีผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ และครู รวมทั้งสิ้น 280 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีทั้งหมด 3 ตอน สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ การวางแผนเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ และการนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ ตามลำดับ 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา ตามลำดับ 3. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ตามลำดับ ได้แก่ ด้านการจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ ด้านการจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ ด้านการควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ และด้านการนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 89.50 (R2 = .895) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Yˆ = 0.269+ 0.346 การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X2) + 0.261 การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X4) + 0.176 การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X5) + 0.148 การนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X3) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Zˆ = 0.359 การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X2) + 0.268 การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X4) + 0.183 การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X5) + 0.154 การนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X3)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 2. เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 3. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำนวน 70 แห่ง โดยมีผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ และครู รวมทั้งสิ้น 280 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีทั้งหมด 3 ตอน สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ การวางแผนเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ และการนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ ตามลำดับ 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา ตามลำดับ 3. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักพละสี่ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ตามลำดับ ได้แก่ ด้านการจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ ด้านการจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ ด้านการควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ และด้านการนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 89.50 (R2 = .895) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Yˆ = 0.269+ 0.346 การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X2) + 0.261 การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X4) + 0.176 การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X5) + 0.148 การนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X3) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Zˆ = 0.359 การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X2) + 0.268 การจัดทรัพยากรมนุษย์เชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X4) + 0.183 การควบคุมเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X5) + 0.154 การนำเชิงบูรณาการหลักพละสี่ (X3)
The objectives of the study were : 1) to study the 4 Bala principles of integrative administration of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office 33, 2) to study academic administration in school under the Secondary Education Service Area Office 33 and, 3) to study the integrated management of the 4 Bala principles of the school administrators that affect to academic administration in the school under the Secondary Educational Service Area Office 33. The 280 personnel from 70 schools including school administration, academic leader, and teachers under the Secondary Educational Service Area Office 33 were used as the samples in the study. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation, and stepwise multiple regression analysis. The results of research were as follows : 1. Integrated management of the four Bala principles of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office 33 in overall was at a high level. When considering each aspect was found at a high level in all aspects. The averages were sorted from highest to lowest as follows: integrated planning of the four Bala principles, the four Bala principles of integrative control, the four Bala principles of integrating organization, the four Bala principles of integrated human resource management, and the four Bala principles of integrating leader, respectively. 2. Academic administration in school under the Secondary Educational Service Area Office 33 in overall was at a high level. When considering each aspect was found at a high level in all aspects. The averages were sorted from highest to lowest as follows: academic planning, development of learning processes, measurement and evaluation, and transfer of learning outcomes, education supervision, development of internal quality assurance system and educational standards, curriculum development for school, development and use of media and technology for education and research to improve the quality of education in school, respectively. 3. Integrated administration of the four Bala principles of school administrations that affect to academic administration in school under the Secondary Educational Service Area Office 33, respectively as follows: the four Bala principles of integrating organization, the four Bala principles of integrated human resource management, the four Bala principles of integrative control and the four Bala principles of integrating leader with a predictive coefficient or forecasting power of 89.50 percent (R2 = .895) was statistically significant at the 0.01 level. The relationship can be written in the form of a forecast equation as follows. Forecast equations in raw score form Yˆ = 0.269+ 0.346 The Four Bala Principles Integrative Organization (X2) + 0.261 The Four Bala Principles Integrated Human Resource Management (X4) + 0.176 The Four Bala Principles Integrated Control (X5) + 0.148 Integrating the Four Bala Principles of Leadership (X3) Forecast equations in standard score form Zˆ = 0.359 The Four Bala Principles Integrative Organization (X2) + 0.268 The Four Bala Principles of Integrated Human Resource Management (X4) + 0.183 The Four Bala Principles Integrated Control (X5) + 0.154 The Four Bala Principles of Integrated of Leadership (X3)
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 2. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 3. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำนวน 70 แห่ง มีผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ 1 คน และครู 2 คน รวมทั้งสิ้น 280 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า : 1. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ การวางแผนเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การอำนวยการเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การควบคุมเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ และการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ตามลำดับ 2. การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนการบริหารแหล่งเรียนรู้ ด้านการบริหารแหล่งเรียนรู้ ด้านการประเมินการบริหารแหล่งเรียนรู้ และด้านการปรับปรุงการบริหารแหล่งเรียนรู้ ตามลำดับ 3. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ด้านการอำนวยการเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ด้านการควบคุมเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 75.50 (R2 = .755) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Yˆ = 0.354 + 0.366 (x4) + 0.278 (x3) + 0.228 (x5) สมการคะแนนมาตรฐาน Zˆ = 0.376 (x4) + 0.283 (x3) + 0.239 (x5)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 2. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 3. เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำนวน 70 แห่ง มีผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ 1 คน และครู 2 คน รวมทั้งสิ้น 280 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า : 1. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ การวางแผนเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การอำนวยการเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การควบคุมเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ การจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ และการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ตามลำดับ 2. การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการวางแผนการบริหารแหล่งเรียนรู้ ด้านการบริหารแหล่งเรียนรู้ ด้านการประเมินการบริหารแหล่งเรียนรู้ และด้านการปรับปรุงการบริหารแหล่งเรียนรู้ ตามลำดับ 3. การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ด้านการอำนวยการเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ ด้านการควบคุมเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายหรืออำนาจพยากรณ์ ร้อยละ 75.50 (R2 = .755) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Yˆ = 0.354 + 0.366 (x4) + 0.278 (x3) + 0.228 (x5) สมการคะแนนมาตรฐาน Zˆ = 0.376 (x4) + 0.283 (x3) + 0.239 (x5)
The objectives of this research were : 1. to study the integrated administration of Sangahavatthu principles of school administrators under the Office of Secondary Education Service area 33, 2. to study the management of learning resources in school under the Office of Secondary Education Service area 33 and, 3. to study the integrated administration of Sangahavatthu of school administrators affecting the management of learning resources in schools under the Office of Secondary Education Service area 33. The sample group consisted of 70 schools under the Office of Secondary Education Service area 33. The data providers consisted of one school administrator, one academic group leader, and two teachers, totaling 280 persons. The research instrument was a questionnaire. The statistics used were frequency, percentage, mean, standard deviation. and stepwise multiple regression analysis. The results of research were as follows : 1. Integrated management of Sangahavatthu principles of school administrators under the Office of Secondary Education Service area 33 in overall was at a high level. When considering each aspect, it was found that at a high level in all aspects. The averages were sorted from highest to lowest as follows: Integrated planning on Sangahavatthu principles, Integrated administration of Sangahavatthu principles, Integrative control of Sangahavatthu principles, Integrated Organizational on Sangahavatthu Principles and integrative coordination of Sangahavatthu principles, respectively. 2. Management of learning resources in school under the Office of Secondary Education Service area 33 in overall was at a high level. When considering each aspect, it was found that at a high level in all aspects. The averages were sorted from highest to lowest as follows: planning of management of learning resources, management of learning resources, assessment of the management of learning resources and improvement in learning resource management, respectively. 3. Integrated management of Sangahavatthu principles of school administrators affects the management of learning resources in school under the Office of Secondary Education Service area 33, in order of priorities namely the aspect of integrated coordination on the Sangahahavatthu principle, Integrated administration of Sangahavatthu principles, Integrated control of Sangahavatthu principles with a predictive coefficient or predictive power of 75.50 percent (R2 = .755) statistically significant at the .01 level. The relationship can be written in the form of a forecast equation as follows : Raw score equation Yˆ = 0.354 + 0.366 (x4) + 0.278 (x3) + 0.228 (x5) The standard score equation Zˆ = 0.376 (x4) + 0.283 (x3) + 0.239 (x5)
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 5 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการ หัวหน้างานวัดผล ประเมินผล และครู รวมทั้งสิ้น จำนวน 295 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) x ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) S.D. การทดสอบสมมุติฐาน และใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการนิเทศการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท และ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ตามลำดับ 2. คุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับ มากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน ตามลำดับ 3. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ส่งผลโดยภาพรวม โดยมีค่าสัมพันธ์กันในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ (Ytot) = .731 +.108 (X1) +.153 (X2) +.272 (X4) +.028 (X5) +.276 (X6) +.220 (X7)
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 59 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 5 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการ หัวหน้างานวัดผล ประเมินผล และครู รวมทั้งสิ้น จำนวน 295 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหารที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) x ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) S.D. การทดสอบสมมุติฐาน และใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการนิเทศการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท และ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาท ตามลำดับ 2. คุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับ มากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน ตามลำดับ 3. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ส่งผลโดยภาพรวม โดยมีค่าสัมพันธ์กันในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ (Ytot) = .731 +.108 (X1) +.153 (X2) +.272 (X4) +.028 (X5) +.276 (X6) +.220 (X7)
The objectives of this research were: 1) to study of integrated academic administration with Iddhipada of administrators under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1, 2) to study the quality of learners in school under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1 and, 3) to study of Integrated academic administration with Iddhipada of administrators affecting the quality of the students in the school under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1. It is a unit of analysis, a sample group of 59 places, 5 of each educational institution's information providers are school administrators, deputy director of academic group, head of evaluation and Teachers totaling 295 people. The instrument used in this study was questionnaires on integrated academic administration with Iddhipada of administrators affecting the quality of the students in the school. Data analysis uses software packages. The statistics used in the data analysis were frequency, percentage, athematic mean x ̅ , standard deviation, S.D. hypothesis test and a stepwise multiple regression analysis. The results of the study were as follows: 1. Integrated academic administration with Iddhipada of administrators under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1 in overall level was at the highest level, when considering each aspect was found at the highest level in all aspects. Sort from most to least as follows: supervision of integrated education with Iddhipada principles, integrated teaching and learning management with Iddhipada principles, development of internal quality assurance system and educational standards for integrating with Iddhipada principles, power development and use of media and technology for integrative education with Iddhipada principles, terms of measuring, evaluating, and conducting a comparison of transferring the results of integrated learning with Iddhipada principles, the research for inproving the quality of education in institutes integrated with Iddhipada principles and curricula development of institutes integrated with Iddhipada principles, respectively. 2. The quality of learners in school under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1 was found that the overall at the highest level. When considering each aspect was found at the highest level in all aspects. Sort from the arithmetic mean values were highest to lowest as follows: desirable characteristics and academic achievement of learners, respectively. 3. Integrated academic administration with Iddhipada principles affecting the quality of learners in educational institutions under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1, the overall effect with a positive correlation statistically significant at 0.01 level It can be written in predicting equations as follows: (Ytot) = .731 +.108 (X1) +.153 (X2) +.272 (X4) +.028 (X5) +.276 (X6) +.220 (X7)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ วัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ปีพุทธศักราช 2563 จำนวน 168 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม ด้านการควบคุมงานเชิงบูรณาการ ด้านการวางแผนเชิงบูรณาการ และด้านการอำนวยการเชิงบูรณาการ 2) การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการธำรงรักษา การประเมินผลการปฏิบัติงานบุคคล ด้านการพัฒนาบุคคล ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคคล และลำดับสุดท้าย ด้านการวางแผนกําลังบุคคล อยู่ในระดับมากตามลำดับ 3) การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา คือ ด้านการวางแผนเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X1) ด้านการจัดการองค์การเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X2) ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X4) และด้านการควบคุมงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X5) โดยสามารถพยากรณ์การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าอำนาจในการพยากรณ์ร่วมกันร้อยละ 66.40 (R2 = 0.664) สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y' = 0.659+.0.221 (X4) + 0.232 (X1) + 0.217 (X5) + 0.177 (X2) (R2 = 0.664) สมการคะแนนมาตรฐาน Zy′ = 0.267 (X4) + 0.249 (X1) + 0.263 (X5) + 0.186 (X2) (R2 = 0.664)
วิทยานิพนธ์นี้ วัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ปีพุทธศักราช 2563 จำนวน 168 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการจัดองค์การเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม ด้านการควบคุมงานเชิงบูรณาการ ด้านการวางแผนเชิงบูรณาการ และด้านการอำนวยการเชิงบูรณาการ 2) การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการธำรงรักษา การประเมินผลการปฏิบัติงานบุคคล ด้านการพัฒนาบุคคล ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคคล และลำดับสุดท้าย ด้านการวางแผนกําลังบุคคล อยู่ในระดับมากตามลำดับ 3) การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา คือ ด้านการวางแผนเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X1) ด้านการจัดการองค์การเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X2) ด้านการประสานงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X4) และด้านการควบคุมงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม (X5) โดยสามารถพยากรณ์การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าอำนาจในการพยากรณ์ร่วมกันร้อยละ 66.40 (R2 = 0.664) สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y' = 0.659+.0.221 (X4) + 0.232 (X1) + 0.217 (X5) + 0.177 (X2) (R2 = 0.664) สมการคะแนนมาตรฐาน Zy′ = 0.267 (X4) + 0.249 (X1) + 0.263 (X5) + 0.186 (X2) (R2 = 0.664)
The objectives of the study were: 1) to study the integrative administration according to the Sappurisa-Dhamma principle of Phrapariyti-Dhamma School administrators, department of general education, Nakhon Ratchasima Province, 2) to study the personnel management of Phrapariyti-Dhamma School, department of general education, Nakhon Ratchasima Province and, 3) to study the integrative administration according to the Sappurisa-Dhamma principle of administrators affecting the personnel management of Phrapariyti-Dhamma School, department of general education, Nakhon Ratchasima Province. A sample was selected from 168 persons in 2020 of administrators, deputy executive, the head of personnel management and, school teachers in Phrapariyti-Dhamma School, department of general education, Nakhon Ratchasima Province. The results of the study were as follows: 1) Integrative administration according to the Sappurisa-Dhamma principle of Phrapariyti-Dhamma School administrators, department of general education, Nakhon Ratchasima Province in overall was high level. The average from high to low was that Integrated organization management, Integrative coordination, integrated control, integrated planning, and Integrative director. 2) The personnel management of Phrapariyti-Dhamma School administrators, department of general education, Nakhon Ratchasima Province in overall was high level. The average from high to low was that the personnel maintenance, work performance evaluation, personnel development, personnel recruitment and appointment and, personnel planning was high level respective. 3) Integrative administration according to the Sappurisa-Dhamma principle of administrators affecting the personnel management of Phrapariyti-Dhamma School, department of general education, Nakhon Ratchasima Province namely Integrated planning of Sappurisa-Dhamma (X1), Integrated organization management of Sappurisa-Dhamma (X2), Integrative coordination of Sappurisa-Dhamma (X4) and, Integrated control of Sappurisa-Dhamma (X5) which predicted the Integrative administration according to the Sappurisa-Dhamma principle of administrators was statistically significant at 0.01 level, and the prediction power had together was 66.40% (R2 = 0.664). The prediction equation forms of raw score were as follows: The raw score: Y′ = 0.659+0.232X1 + 0.177X2 + 0.221X4 + 0.217X5 The standard equation: Z′y = 0.249ZX1 + 0.186ZX2 + 0.267ZX4 + 0.263ZX5
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ประชากรคือ เป็นสถานศึกษาในจังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมด 29 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 203 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบสมมุติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. แรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ประชากรคือ เป็นสถานศึกษาในจังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมด 29 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 203 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบสมมุติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. แรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. การบริหารงานวิชาการเชิงบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
The purposes of this research were: 1) to study integrated academic administration with Iddhipada Dhamma of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom 2) to study teacher’s working motivation under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom and, 3) to study integrated academic administration with Iddhipada Dhamma of school administrators that affect teacher’s working motivation under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom. The sample was selected from 29 schools under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in totally 203 respondents. The instrument used in this study was questionnaires. The data was analyzed using Package Program. The statistics used in data analyzing were frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation, hypothesis test used the analysis stepwise multiple regression analysis. The results of the research ware as follows: 1) The integrated academic administration with Iddhipada Dhamma of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was at a high level. In ranging order, the highest level was on learning process development with Iddhipada Dhamma (X2), evaluation, measurement and transfer of credits with Iddhipada Dhamma (X3), internal quality assurance assessment with Iddhipada Dhamma (X6), education supervision with Iddhipada Dhamma (X1), curriculum development, learning innovation and technology development with Iddhipada Dhamma(X7), and educational quality development research with Iddhipada Dhamma(X4), respectively. 2) Teacher’s working motivation under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was at a high level. In ranging order, the highest level was on work achievement, responsibility, nature of work, career path progress, acceptability, and career path progress in future. 3) Integrated academic administration with Iddhipada Dhamma of school administrators that affect teacher’s working motivation under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was statistical significance at 0.01 level.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) เพื่อศึกษาการบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ประชากรคือ สถานศึกษาในจังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมด 29 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 203 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบสมมุติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. การบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) เพื่อศึกษาการบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ประชากรคือ สถานศึกษาในจังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมด 29 โรง จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 203 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบสมมุติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. การบริหารการนิเทศเชิงบูรณาการหลักกัลยาณมิตรธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
The purposes of this research were: 1) to study supervision administration integrated with Kalyanamitta-Dhamma principles of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom, 2) to study teaching efficiency of teachers under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom and, 3) to study supervision administration integrated with Kalyanamitta-Dhamma principles of school administrators affecting to teaching efficiency of teachers under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom. The population is 29 schools under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in totally 203 respondents. The instrument used in this study was questionnaires. The data was analyzed using Package Program. The statistics used in data analyzing were frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation, hypothesis test used the analysis stepwise multiple regression analysis. The results of this research were as follows: 1) The supervision administration integrated with Kalyanamitta-Dhamma principles of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was at a high level. 2) Teaching efficiency of teachers under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was at a high level. 3) The supervision administration integrated with Kalyanamitta-Dhamma principles of school administrators affecting to teaching efficiency of teachers under The Secondary Educational Service Area Office Nakhon Pathom in overall was statistical significance at 0.01 level.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 2) เพื่อศึกษามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียนสังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อมาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 4) เพื่อหาแนวทางการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน โดยใช้ประชากรวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี และ สถานประกอบการจำนวน 133 แห่ง จำนวนประชากร 446 คน เป็นสถานที่เก็บข้อมูล ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ครูนิเทศ ผู้บริหารสถานประกอบการ ครูฝึกในสถานประกอบการและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานและการใช้วิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1.การบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารอยู่ในระดับมาก 2.มาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน อยู่ในระดับมาก 3. ผลศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อมาตรฐานวิชาชีพของนักเรียนนักศึกษา สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอยได้ดังนี้ Xtot = .393+.523 (Y1) +.275 (Y2) +.109 (Y3), Ytot = .380+.688 (X3) +.121 (X2) +.118 (X4) ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี พบว่า 1. สถานศึกษาและสถานประกอบการร่วมกันร่างข้อกำหนด คุณลักษณะ คุณสมบัติ สมรรถนะงาน สมรรถนะวิชาชีพ 2. สถานศึกษาจัดอบรมแนวทางการฝึกอาชีพ แนวทางการแก้ปัญหาอย่งเป็นระบบ และเกณฑ์การวัดและประเมินผลในสภาพจริง 3. สถานศึกษาสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้นักเรียน นักศึกษา โดยเน้นทักษะที่สถานประกอบการต้องการเป็นสำคัญ 4. สถานศึกษาควรจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 2) เพื่อศึกษามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียนสังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 3) เพื่อศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อมาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี 4) เพื่อหาแนวทางการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน โดยใช้ประชากรวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี และ สถานประกอบการจำนวน 133 แห่ง จำนวนประชากร 446 คน เป็นสถานที่เก็บข้อมูล ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ครูนิเทศ ผู้บริหารสถานประกอบการ ครูฝึกในสถานประกอบการและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานและการใช้วิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1.การบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารอยู่ในระดับมาก 2.มาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน อยู่ในระดับมาก 3. ผลศึกษาการบริหารงานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อมาตรฐานวิชาชีพของนักเรียนนักศึกษา สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอยได้ดังนี้ Xtot = .393+.523 (Y1) +.275 (Y2) +.109 (Y3), Ytot = .380+.688 (X3) +.121 (X2) +.118 (X4) ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพของนักเรียน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพปราณบุรี พบว่า 1. สถานศึกษาและสถานประกอบการร่วมกันร่างข้อกำหนด คุณลักษณะ คุณสมบัติ สมรรถนะงาน สมรรถนะวิชาชีพ 2. สถานศึกษาจัดอบรมแนวทางการฝึกอาชีพ แนวทางการแก้ปัญหาอย่งเป็นระบบ และเกณฑ์การวัดและประเมินผลในสภาพจริง 3. สถานศึกษาสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้นักเรียน นักศึกษา โดยเน้นทักษะที่สถานประกอบการต้องการเป็นสำคัญ 4. สถานศึกษาควรจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
The purposes of this research were: 1) To study the bilateral system of vocational education administration of educational institution administrators Under the Pranburi Vocational College, 2) To study the professional standards of students Under the Pranburi Vocational College, 3) To study the bilateral vocational education administration of educational institute administrators. that affect the professional standards of students Under the Pranburi Vocational College, and 4) To find guidelines for developing students' professional standards The population of Pranburi Vocational College and 133 establishments with a population of 446 were used as data collection sites. Head of the Bilateral Vocational Education System, Informative Teacher, Administrator of the Establishment 210 teachers in the workplace and educational personnel. The research instrument was a questionnaire. and the data collected were analyzed by the computer program, with the basic statistic devices and stepwise multiple regression. The population is 103 schools under the Samut Sakhon Primary Educational Service Area Office. The samples were selected from 86 schools under the Samut Sakhon Primary Educational Service Area Office. The instrument used in this study was questionnaires. The statistics used in data analyzing were frequencies (Frequency), percent (Percentage), average (Mean), standard deviation (S.D.) and the correlation coefficient (rxy) of Pearson (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient). The results of this research were as follows: 1. The management of the bilateral vocational education system of the administrators was found to be at a “High” level. 2. The results of the study of professional standards of students was found to be at a “High” level. 3. The results of the study of the vocational administration, the associate system of the school administrators, affected the living standards of the students. with a statistically significant correlation at the 0.01 level. It can be written in the form of the regression analysis equation as follows: Xtot = .393+.523 (Y1) +.275 (Y2) +.109 (Y3), Ytot = .380+.688 (X3) +.121 (X2) +.118 (X4) 4) The results of the study of guidelines for the development of professional standards of students. were as follows : 1. Educational institutions and enterprises jointly draft requirements, characteristics, qualifications, job competencies, professional competences. systematic approach to problem solving and criteria for measuring and evaluating the results in real conditions. 3. Educational institutions support the development of labor skills for students and students by emphasizing the skills that enterprises need. 4. Educational institutions should provide a curriculum that meets their needs. labor market demand
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ประชากรกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน รวมจำนวนประชากรทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอนวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ตามลำดับ 3. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารโดยภาพรวมส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ประชากรกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน รวมจำนวนประชากรทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอนวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ตามลำดับ 3. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารโดยภาพรวมส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
The objectives of this research were: 1) to study integrated learning management of Saraniyadhamma principles of school administrators under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1, 2) to study personnel management of School Administrators under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 and, 3) to study integrated learning management of Saraniyadhamma principles of school administrators that affect personnel management in schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1. A sample was selected from 276 population of the managements of educational establishments i.e., directors, head of human resource management department, and teachers from 92 schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1. The instrument used in this study was a standard 5 rating scale questionnaire. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, standard deviation and multiple linear regression and using package program.  The results of research were as follows: 1. The Saraniyadhamma integrated knowledge management under the Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1, the overall was at the highest level. and each aspect was at the highest level in every aspect by arranged in descending order. 2. The human resource management in schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 in overall was at the highest level and in each aspect was at the highest level. The averages were sorted in descending order such as human resource planning, disciplinary action and punishment, performance evaluation, government teacher and educational personnel development and recruitment and appointment, respectively. 3. The Saraniyadhamma integrated knowledge management of the administrators affected human resources management in school under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 was statistically significant at the 0.01 levels.
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา 4) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร และครูผู้สอน จำนวน 226 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว(One – Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F – test ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ รองลงมาคือด้านการวัด ประเมินผล และรายงานผลและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการใช้สื่อการเรียนรู้ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นเพศที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านทุกด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย มีดังนี้ (1) ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ (2) ควรจัดกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาสุขภาพกายตามพัฒนาการช่วงอายุของนักเรียน และ (3) ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้จากของจริงและลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 4) แนวทางเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษา ได้แนวทาง ดังนี้ (1) โรงเรียนจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (2) โรงเรียนจะต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมอง อายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการของเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ (3) โรงเรียนจะต้องส่งเสริมการผลิต จัดหาและพัฒนา สื่อ อุปกรณ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ของครู บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างต่อเนื่อง (4) โรงเรียนจะต้องจัดประชุมผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดปฏิทินการนิเทศ หรือแผนการนิเทศ กำกับ ติดตามที่เหมาะสม ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม และ (5) โรงเรียนจะต้องวางแผนการวัด ประเมินผล และรายงานผลการศึกษาระดับปฐมวัย อย่างเป็นระบบ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา 4) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร และครูผู้สอน จำนวน 226 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว(One – Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F – test ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ รองลงมาคือด้านการวัด ประเมินผล และรายงานผลและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการใช้สื่อการเรียนรู้ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นเพศที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านทุกด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย มีดังนี้ (1) ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ (2) ควรจัดกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาสุขภาพกายตามพัฒนาการช่วงอายุของนักเรียน และ (3) ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้จากของจริงและลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 4) แนวทางเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัย จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษา ได้แนวทาง ดังนี้ (1) โรงเรียนจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (2) โรงเรียนจะต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมอง อายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการของเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ (3) โรงเรียนจะต้องส่งเสริมการผลิต จัดหาและพัฒนา สื่อ อุปกรณ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ของครู บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างต่อเนื่อง (4) โรงเรียนจะต้องจัดประชุมผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดปฏิทินการนิเทศ หรือแผนการนิเทศ กำกับ ติดตามที่เหมาะสม ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม และ (5) โรงเรียนจะต้องวางแผนการวัด ประเมินผล และรายงานผลการศึกษาระดับปฐมวัย อย่างเป็นระบบ
The objectives of the research were 1) to study the academic affairs administration of early childhood school administrators under Mahasarakham Elementary Educational Service Area Office 2, 2) to compare the academic affairs administration of early childhood classified by gender, age, work experience and school size, 3) to survey the suggestions and recommendations related to the academic affairs administration of early childhood and, 4) to find out the guidelines for the academic affairs administration of early childhood of the said schools. Samples were the administrators and teachers, totally 226 in number and 5 interviews. The tool for collecting the data was the questionnaire and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices consisted of frequency, percentage, mean (x), and standard deviation (S.D.). The hypothesis was tested with t-test, and One-way ANOVA F-test. The research results were as follows: 1) The academic affairs administration of early childhood school administrators under the Mahasarakham Elementary Educational Service Area Office 2, both in overall and individual aspects, was found to be at the ‘MUCH’ level. 2) The comparison of the academic affairs administration of early childhood school administrators classified by gender, age, work experience and school size, was found that the difference in age, work experience and school size showed no difference in both overall and individual aspects, except for the gender that featured the statistically significant difference at .05. 3) The suggestions and recommendations proposed by the respondents were as follows: (1) The learning experience provided should be integrated with morality, ethics and desirable traits. (2) The design of activities to develop physical health should take into account the variety of the children's age. (3) The learning experience arranged should allow children to learn from the real situation and take action by themselves.4) The guidelines for the academic affairs administration of early childhood of the said schools were as follows: (1) The school might be promoted and to give understanding the early childhood education curriculum B.E.2560 (2) The school might be offered Learning experience with children’s psychology, brain function, age, maturity, and growth levels in order for every child to be developed to his full potential. (3) The school might be keep on promoting production, provision and development of learning media, equipment, innovation and technology for teachers, staff members and related persons. (4) The school might be hold a regular meeting for the administrators, teachers, staff members and related persons to prescribe the supervision calendar or an appropriate, regular and concrete supervision and monitoring plans. (5) The school should have systematically plan, measure, evaluate and report the early childhood education performances.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำนวน 351 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการบริการที่ดี ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน ด้านจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา มีความพากเพียรพยายามและตั้งใจทำงานให้ดี ให้บริการด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร เต็มใจต้อนรับ และสร้างความประทับใจอันดี มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำตนเองได้ สามารถพัฒนาตนเองตรงตามสภาพเป็นจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกับทีม สร้างสรรค์จรรโลงสังคมให้ไปในทิศทางที่ปรารถนา
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำนวน 351 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการบริการที่ดี ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน ด้านจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาสมรรถนะหลักของครูผู้สอนยุคดิจิทัลในสถานศึกษา มีความพากเพียรพยายามและตั้งใจทำงานให้ดี ให้บริการด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร เต็มใจต้อนรับ และสร้างความประทับใจอันดี มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำตนเองได้ สามารถพัฒนาตนเองตรงตามสภาพเป็นจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกับทีม สร้างสรรค์จรรโลงสังคมให้ไปในทิศทางที่ปรารถนา
This thesis aimed to 1) study the core competencies in the digital age for Teachers in Schools 2) compare the core competencies in the digital age for teachers in schools, classified by gender, educational level, and work experience 3) study guideline for the development of the core competencies in the digital age for teachers in schools. The samples used in this research were 351 teachers schools under the Roi - Et elementary educational service area office 2. The tools used were a questionnaire, a five level estimation scale, with the content validity of 0.67–1.00. The confidence factor was .89, and the semi-structured interview form. The result of this research found that 1) the core competencies in the digital age for teachers in schools overall was at a high level, ranked from the areas with high averages to the low : teamwork, good service, self-development, focusing on the achievement in performance, ethical, and code of ethics of teaching profession 2) result of comparison the core competencies in the Digital Age for Teachers in Schools, classified by gender, educational level, and work experience overall and aspects, the difference was statistically significant at the .05 level 3) result of guideline for the development of the core competencies in the digital age for teachers in schools : have perseverance and work hard, serving with smile, friendly, willing to welcome and make impression, has the ability to lead himself, able to develop themselves according to their actual conditions, have unity with the team, build and sustain society in the desired direction.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย ๒) เพื่อศึกษาหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย และ ๓) เพื่อเปรียบเทียบหลักธรรมในพระพุทธศาสนากับระบอบการปกครองประชาธิปไตย งานวิจัยฉบับนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเน้นการวิจัยทางเอกสาร โดยศึกษาจากพระไตรปิฎกและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า ๑) หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย ประกอบด้วย ๑. หลักธรรมในการปกครอง ได้แก่ หลักราชสังคหวัตถุ หลักสาราณียธรรม หลักนิติธรรม หลักจักรวรรดิวัตร หลักทศพิธราชธรรม หลักอปริหานิยธรรม หลักอคติ ๔ และหลักพรหมวิหาร ๒. หลักคุณธรรมของผู้ปกครอง ประกอบด้วย หลักโสภณธรรม หลักพหุปการธรรม หลักโลกปาลธรรม หลักสิกขาบุพพภาคธรรม หลักอุปัญญาตธรรม และหลักอัปปมาทธรรม และพระพุทธศาสนามีหลักเสียงข้างมาก คือ ใช้เสียงข้างมาก เป็นเกณฑ์ตัดสิน เรียกว่า วิธีเยภุยยสิกา การตัดสินโดยใช้เสียงข้างมาก ฝ่ายใดได้รับเสียงข้างมากสนับสนุน ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ ๒) หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน หรือของคนส่วนมาก หรือการยึดมั่นต่อหลักการปกครองโดยเสียงข้างมากและให้ความสำคัญแก่เสียงข้างน้อย หลักการของความเสมอภาคทางการเมือง หรือ ความเสมอภาคโดยกฎหมายของประชาชนในประเทศนั้น หลักของสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งการพูด การพิมพ์ การเขียน และการรวมกลุ่ม ซึ่งจะต้องได้รับการคุ้มครอง หรือปกป้องจากกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน และหลักของความเป็นภราดรภาพของคนในสังคม ๓) เปรียบเทียบหลักธรรมในพระพุทธศาสนากับระบอบประชาธิปไตย โดยยึดหลักพระพุทธศาสนากับหลักระบอบประชาธิปไตยเป็นของประชาชน หลักเสรีภาพ หลักความเสมอภาค หลักการปกครองโดยกฎหมาย และหลักเสียงข้างมากนั้น โดยรวมหลักอำนาจอธิปไตย เป็นหลักยึดในใจของตน ถือเป็นหลักธรรมใหญ่ที่สามารถทำให้บุคคลอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นอกจากนี้ ศีล ๕ ยังเป็นมูลฐาน ให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย และสร้างความมีเมตตาต่อกันในสังคมด้วย ดังนั้น หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การนำไปปฏิบัติ ซึ่งบุคคลควรมีสิ่งเหล่านี้ประกอบ เพื่อส่งผลให้หลักการ วิธีการ กระบวนการบริหารในสังคมมีการพัฒนาไปในทางที่เจริญได้โดยง่าย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย ๒) เพื่อศึกษาหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย และ ๓) เพื่อเปรียบเทียบหลักธรรมในพระพุทธศาสนากับระบอบการปกครองประชาธิปไตย งานวิจัยฉบับนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเน้นการวิจัยทางเอกสาร โดยศึกษาจากพระไตรปิฎกและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า ๑) หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย ประกอบด้วย ๑. หลักธรรมในการปกครอง ได้แก่ หลักราชสังคหวัตถุ หลักสาราณียธรรม หลักนิติธรรม หลักจักรวรรดิวัตร หลักทศพิธราชธรรม หลักอปริหานิยธรรม หลักอคติ ๔ และหลักพรหมวิหาร ๒. หลักคุณธรรมของผู้ปกครอง ประกอบด้วย หลักโสภณธรรม หลักพหุปการธรรม หลักโลกปาลธรรม หลักสิกขาบุพพภาคธรรม หลักอุปัญญาตธรรม และหลักอัปปมาทธรรม และพระพุทธศาสนามีหลักเสียงข้างมาก คือ ใช้เสียงข้างมาก เป็นเกณฑ์ตัดสิน เรียกว่า วิธีเยภุยยสิกา การตัดสินโดยใช้เสียงข้างมาก ฝ่ายใดได้รับเสียงข้างมากสนับสนุน ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ ๒) หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน หรือของคนส่วนมาก หรือการยึดมั่นต่อหลักการปกครองโดยเสียงข้างมากและให้ความสำคัญแก่เสียงข้างน้อย หลักการของความเสมอภาคทางการเมือง หรือ ความเสมอภาคโดยกฎหมายของประชาชนในประเทศนั้น หลักของสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งการพูด การพิมพ์ การเขียน และการรวมกลุ่ม ซึ่งจะต้องได้รับการคุ้มครอง หรือปกป้องจากกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน และหลักของความเป็นภราดรภาพของคนในสังคม ๓) เปรียบเทียบหลักธรรมในพระพุทธศาสนากับระบอบประชาธิปไตย โดยยึดหลักพระพุทธศาสนากับหลักระบอบประชาธิปไตยเป็นของประชาชน หลักเสรีภาพ หลักความเสมอภาค หลักการปกครองโดยกฎหมาย และหลักเสียงข้างมากนั้น โดยรวมหลักอำนาจอธิปไตย เป็นหลักยึดในใจของตน ถือเป็นหลักธรรมใหญ่ที่สามารถทำให้บุคคลอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นอกจากนี้ ศีล ๕ ยังเป็นมูลฐาน ให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย และสร้างความมีเมตตาต่อกันในสังคมด้วย ดังนั้น หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การนำไปปฏิบัติ ซึ่งบุคคลควรมีสิ่งเหล่านี้ประกอบ เพื่อส่งผลให้หลักการ วิธีการ กระบวนการบริหารในสังคมมีการพัฒนาไปในทางที่เจริญได้โดยง่าย
The objectives of this research are: 1) to study Buddhist principles relating to democracy, 2) to study the principles of democracy, and 3) to compare Buddhist principles and democratic sytem. The data of this qualitative documentary research were collected from the Tipitaka and related documents. The results of the research were found that: 1) Buddhist principles relating to democracy consist of; 1. Principles in government or administration are Rajasangahavatthu, Saraniyadhamma, Nitidhamma, Cakkavattidhamma, Dasabidharajadhamma, Aparihaniya dhamma, Agati and Brahmaviharadhamma, and 2.Moral principles of rulers or administrators are Sobhanadhamma, Bahupakaradhamma, Lokapala dhamma, Sikkhapubbabhagadhamma, Upannatadhamma and Appamadadhamma. Buddhism has a majority vote as a decision criterion called Yebhunnasika method. According to the majority vote, the party obtaining the majority support wins the game. 2) Demovratic principles emphasizes the sovereignty of the people or majority of people. It also adheres to the principle of majority rule and giving importance to the minority, the principle of political equality or equality by law of people in the country, principles of the natural freedoms of human beings, including speaking, typing, writing and assembling, which must be equally protected by law and the principles of brotherhood of people in society. 3) In the comparison of Buddhist principles and democratic sytem, Dharma principles in Buddhism, democratic principles, principles of liberty, principles of equality, rule of law, the majority principle, and the principle of sovereignty are the significant principle that enable people to coexist in society. Furthermore, the 5 precepts are also the foundation for democracy and create loving-kindness and compassion to each other in society. The Dhamma principles in Buddhism should be implemented and practiced in order to develop and mobilize principles, methods and processes in administration in society.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร และ 3) ศึกษาการบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยใช้สถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร จำนวน 44 แห่ง เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู ครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น จำนวน 264 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) การทดสอบสมมติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้านการพัฒนาและฝึกอบรม ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการวางแผนอัตรากำลัง ตามลำดับ 2. การปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านความสัมพันธ์ของบุคลากรในองค์กร ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้านระบบการให้ผลตอบแทน ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ด้านความสำเร็จในการทำงาน ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการวางแผนอัตรากำลังและด้านการเลื่อนขั้นเงินเดือน ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนายได้ร้อยละ 29.0 (R^2 = .290) สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอย ได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y_tot = 2.273 + .262(X_1) + .233(X_5) (R^2 = .290) สมการคะแนนมาตรฐาน Z ̂_y = .316(Z_x1) + .282(Z_x5) (R^2 = .290)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร และ 3) ศึกษาการบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยใช้สถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร จำนวน 44 แห่ง เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู ครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น จำนวน 264 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) การทดสอบสมมติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้านการพัฒนาและฝึกอบรม ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการวางแผนอัตรากำลัง ตามลำดับ 2. การปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านความสัมพันธ์ของบุคลากรในองค์กร ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้านระบบการให้ผลตอบแทน ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ด้านความสำเร็จในการทำงาน ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักพรหมวิหารธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการวางแผนอัตรากำลังและด้านการเลื่อนขั้นเงินเดือน ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนายได้ร้อยละ 29.0 (R^2 = .290) สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอย ได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y_tot = 2.273 + .262(X_1) + .233(X_5) (R^2 = .290) สมการคะแนนมาตรฐาน Z ̂_y = .316(Z_x1) + .282(Z_x5) (R^2 = .290)
The purposes of this research were: 1) to study the integrative personnel management with Brahama Vihara Dhamma of school administrators in schools under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration, 2) to study the performance of teachers in schools under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration and, 3) to study the integrative personnel management with Brahama Vihara Dhamma of school administrators affecting to performance of teachers in schools under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration. The samples used as unit of analysis were selected from six informants as the directors of schools administrators, government teacher, teachers and educational personnel under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration of 44 schools totally number of 264 person. The research instruments used for data collection was a questionnaire. The statistics used in data analyzing were frequencies (Frequency), percent (Percentage), average (Mean), standard deviation (S.D.) and stepwise multiple regression analysis. The results of the research ware as follows: 1. The integrative personnel management with Brahama Vihara Dhamma of school administrators under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration in overall average was found as the ‘Most’ level by average from highest to lowest level that is the salary promotion, training and development, performance appraisal, recruitment and appointment, and human resource planning respectively. 2. The performance of teachers in schools under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration in overall average was found at a high level by average from highest to lowest level that is the influence employee organization relationships, advancement in the position and career, system of remuneration system, to be respected, the nature of the work performed, work environment, and success in work respectively. 3. The integrative personnel management with Brahama Vihara Dhamma of school administrators in the field human resource planning and salary promotion respectively influenced on; the performance of teachers in schools under the office of the Non-formal and Informal education Bangkok Metropolitan Administration was statistically significant at the 0.01 levels. The coefficient of prediction or power of prediction at 29.0 (R^2 = .290) and it can be written as a regression analysis equation as follows; The raw score Y ̂_tot = 2.273 + .262(X_1) + .233(X_5) (R^2 = .290) The standard equation Z ̂_y = .316(Z_x1) + .282(Z_x5) (R^2 = .290)
หนังสือ

    การวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยาน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสง์ 1) เพื่อศึกษาหลักคำสอนในนิกายวัชรยาน 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักคำสอนในนิกายวัชรยาน พบว่าคำสอนในพุทธศาสนาวัชรยานไม่ว่าจะเป็นหลักพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกไม่ได้มีความแตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาเถรวาทแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ฝ่ายเถรวาทมี ฝ่ายวัชรยานก็มีเช่นกัน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระพุทธศาสนาวัชรยานเกือบจะเป็นหนึ่งเดียว ในบรรดาพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบันที่ยังรักษาสมบัติอันมีค่ายิ่งแห่งตันตระประเพณีของพระพุทธศาสนาจากอินเดียไว้ได้ทั้งหมด ตันตระยานปรากฏขึ้นในช่วงสามของชีวิตพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งเน้นที่ตันตระวิธีและมันตระยาน นับเป็นมิติพิเศษที่รับรู้ทางรหัสนัยของวัชรยาน คือเน้นที่การปฏิบัติธรรมโดยพื้นฐานว่า พระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์กับโยคาวจารอย่างเป็นจริงเป็นจริง ณ ขณะปฏิบัติธรรมนั้น นับเป็นวิธีที่สั่งสอนให้เข้าถึงพุทธภาวะในชาตินี้ หาไม่ก็ภายในอีกไม่กี่ชาติข้างหน้า นับเป็นการเร่งโพธิสัตว์มรรคาของวัชรยาน ที่ผู้ปฏิบัติธรรมอธิษฐานให้ความเป็นสามัญมนุษย์เข้าถึงพุทธภาวะ 2. การปฏิบัติตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพบว่าตันตระแม้จะมีเหตุผลนำไปสู่ความเชื่อและข้อปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏในพระพุทธศาสนา หลาย ๆ อย่างเอื้อต่อความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นของการละเมิดศีล (ดื่มน้ำเมา) การให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ ตลอดจนการยอมรับให้พระชินพุทธเจ้าตลอดจนเทพทั้งหลายมีสัญลักษณ์ภาคคู่ที่เรียกว่า ศักติหรือเทวี ภาพพระชินพุทธเจ้ากำลังโอบกอดเทวีของพระองค์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในงานศิลปะทิเบต แม้แต่ในมณฑลบ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ดังนั้นการศึกษาการปฏิบัติตันตระ เข้าใจจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาความเชื่ออันแฝงอยู่ในสัญลักษณ์เหล่านั้นด้วย เป้าหมายของการปฏิบัติตันตระในเบื้องต้นมุ่งหวังเพื่อที่จะดึงความศรัทธาของประชาชนที่ส่วนใหญ่หันไปให้ความเคารพนับถือวิธีการของฮินดูตันตระให้กลับมานับถือพุทธศาสนาเหมือนเดิม แต่เป้าหมายหลักก็คือการนําเสนอหลักการใหม่เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าเดิม หากมองผิวเผินอาจดูว่ามีความแปลกประหลาด แต่ถ้าเข้าไปศึกษาการปฏิบัติของตันตระแล้วจะเห็นว่ายังคงมุ่งตรงสู่ความหลุดพ้น เหมือนกับนิกายอื่น ๆ เพียงแต่วิธีการเท่านั้นที่ดูต่างกัน 3. วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพุทธศาสนิกชนชาวพุทธวัชรยานต่างมีวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน วิถีชีวิตประจำวันของชาวพุทธวัชรยานจึงมีศาสนาเป็นเครื่องนำทาง ในทุก ๆ วันแทบทุกคนล้วนต้องมีพิธีกรรมทางตันตระเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้าน ระหว่างทางเดินจนถึงที่ทำงาน ชาวพุทธวัชรยานบางคนจะกระทำพิธีกรรมทางศาสนาทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยการท่องมนต์ ทำสมาธิ นับลูกประคำและการแกว่งหรือหมุนกงล้อมนตรา จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมประจำชาติ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยาน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสง์ 1) เพื่อศึกษาหลักคำสอนในนิกายวัชรยาน 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักคำสอนในนิกายวัชรยาน พบว่าคำสอนในพุทธศาสนาวัชรยานไม่ว่าจะเป็นหลักพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกไม่ได้มีความแตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาเถรวาทแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ฝ่ายเถรวาทมี ฝ่ายวัชรยานก็มีเช่นกัน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระพุทธศาสนาวัชรยานเกือบจะเป็นหนึ่งเดียว ในบรรดาพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบันที่ยังรักษาสมบัติอันมีค่ายิ่งแห่งตันตระประเพณีของพระพุทธศาสนาจากอินเดียไว้ได้ทั้งหมด ตันตระยานปรากฏขึ้นในช่วงสามของชีวิตพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งเน้นที่ตันตระวิธีและมันตระยาน นับเป็นมิติพิเศษที่รับรู้ทางรหัสนัยของวัชรยาน คือเน้นที่การปฏิบัติธรรมโดยพื้นฐานว่า พระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์กับโยคาวจารอย่างเป็นจริงเป็นจริง ณ ขณะปฏิบัติธรรมนั้น นับเป็นวิธีที่สั่งสอนให้เข้าถึงพุทธภาวะในชาตินี้ หาไม่ก็ภายในอีกไม่กี่ชาติข้างหน้า นับเป็นการเร่งโพธิสัตว์มรรคาของวัชรยาน ที่ผู้ปฏิบัติธรรมอธิษฐานให้ความเป็นสามัญมนุษย์เข้าถึงพุทธภาวะ 2. การปฏิบัติตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพบว่าตันตระแม้จะมีเหตุผลนำไปสู่ความเชื่อและข้อปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏในพระพุทธศาสนา หลาย ๆ อย่างเอื้อต่อความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นของการละเมิดศีล (ดื่มน้ำเมา) การให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ ตลอดจนการยอมรับให้พระชินพุทธเจ้าตลอดจนเทพทั้งหลายมีสัญลักษณ์ภาคคู่ที่เรียกว่า ศักติหรือเทวี ภาพพระชินพุทธเจ้ากำลังโอบกอดเทวีของพระองค์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในงานศิลปะทิเบต แม้แต่ในมณฑลบ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ดังนั้นการศึกษาการปฏิบัติตันตระ เข้าใจจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาความเชื่ออันแฝงอยู่ในสัญลักษณ์เหล่านั้นด้วย เป้าหมายของการปฏิบัติตันตระในเบื้องต้นมุ่งหวังเพื่อที่จะดึงความศรัทธาของประชาชนที่ส่วนใหญ่หันไปให้ความเคารพนับถือวิธีการของฮินดูตันตระให้กลับมานับถือพุทธศาสนาเหมือนเดิม แต่เป้าหมายหลักก็คือการนําเสนอหลักการใหม่เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าเดิม หากมองผิวเผินอาจดูว่ามีความแปลกประหลาด แต่ถ้าเข้าไปศึกษาการปฏิบัติของตันตระแล้วจะเห็นว่ายังคงมุ่งตรงสู่ความหลุดพ้น เหมือนกับนิกายอื่น ๆ เพียงแต่วิธีการเท่านั้นที่ดูต่างกัน 3. วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพุทธศาสนิกชนชาวพุทธวัชรยานต่างมีวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน วิถีชีวิตประจำวันของชาวพุทธวัชรยานจึงมีศาสนาเป็นเครื่องนำทาง ในทุก ๆ วันแทบทุกคนล้วนต้องมีพิธีกรรมทางตันตระเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้าน ระหว่างทางเดินจนถึงที่ทำงาน ชาวพุทธวัชรยานบางคนจะกระทำพิธีกรรมทางศาสนาทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยการท่องมนต์ ทำสมาธิ นับลูกประคำและการแกว่งหรือหมุนกงล้อมนตรา จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมประจำชาติ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
This study is an analysis ofThe Way of Life According to Trantra Tradition in Vajrayana Buddhism. This study is qualitative research which aims of study about 1) To study the teaching of Vajrayana Buddhism, 2) To study the Tantra practices according to Vajranaya tradition and 3) To analyze the way of life according to the tantra tradition in Vajrayana Buddhism. The study shows that 1. Inrespect of Vajrayana teaching, Vajrayana followers view their school as not different from Theravada in terms of sharing the monastic codes (Vinaya), discourses (Sutta), and the higher doctrine (Abhidhamma). In addition, It can be said that Vajrayana has its own identity that can preserve the knowledge on Tantra transmitted from India. The esoteric practice of Vajrayana focuses on many aspects such as the Buddhas can reveal their bodies to the practitioners in meditation, while the enlightenment can also be reached in this very life. In consequence, the way of Bodhisattva can be accelerated, in which the practitioners can have determination to attain the Buddha-hood in the form of human beings. 2. Regarding the guideline of Vajranaya, various practices such as drinking alcohol, sexual conduct, and the acceptance of Buddha in the forms of deities (the Buddha embracing his spouse for example), can be assumed as irrational and distorted based on the Theravada idea. In fact, the purpose of Tantra practice is aimed to attract people who are interested in Hindu Tantra to Buddhism. However, according to the Buddhist Tanta in Vajrayana, though this kind of practice is odd, but it is the direct way to enlightenment, which is claimed to be faster and easier than the practices of other schools. Therefore, it still focuses on enlightenment, though the way is different, as can be found in other Buddhist schools. 3. In terms of the way of life according to Vajranaya, Vajranaya followers live their lives on the Vajranaya’s way. They practice Vajranaya in daily life, from waking to sleeping, including the time when they go to work. The rituals can be performed in the positions of standing, walking, sitting, and laying down, by chanting, meditating, counting the Mala, as well as turning around the mantra bells and prayer wheel. These practices ultimately become their culture and identity.
หนังสือ

    ารวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการดำเนินชีวิตของชนเผ่าลาหู่ 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต 3. เพื่อวิเคราะห์การดำเนินชีวิตของชนเผ่าลาหู่ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้นำชุมชนและปราชญ์ชาวบ้าน ในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย จำนวน 7 คน ผลการวิจัยพบว่า การดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีลักษณะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลักษณะการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมีลักษณะเป็นภูเขาสลับพื้นราบประกอบอาชีพทำไร่และปลูกผักนานาชนิดและเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้รับประทาน สถานที่สำคัญของชุมชนได้แก่ “หอแหย่” มีลักษณะคล้ายศาลาและมีบริเวณกว้าง สำหรับไว้ประกอบพิธีกรรมและการละเล่นต่างๆของชุมชน หลักพุทธปรัชญาเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตของชนเผ่า ได้แก่ ศีล โดยเฉพาะศีล 5 ข้อที่เป็นหลักปฏิบัติต่อกันของคนในชุมชน สมาธิ คือการมุ่งมั่นแน่วแน่ในการประกอบอาชีพและรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ปัญญา รู้และเข้าใจในการปฏิบัติตามความเชื่อของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความกตัญญูกตเวที การดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าลาหู่ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการปลูกฝังให้ชุมชนประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและปฏิบัติตามความเชื่อของบรรพบุรุษที่ได้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ทั้งทางด้านภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ให้เป็นมรดกตกทอดสู่รุ่นต่อๆไป
ารวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการดำเนินชีวิตของชนเผ่าลาหู่ 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต 3. เพื่อวิเคราะห์การดำเนินชีวิตของชนเผ่าลาหู่ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้นำชุมชนและปราชญ์ชาวบ้าน ในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย จำนวน 7 คน ผลการวิจัยพบว่า การดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีลักษณะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลักษณะการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนมีลักษณะเป็นภูเขาสลับพื้นราบประกอบอาชีพทำไร่และปลูกผักนานาชนิดและเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้รับประทาน สถานที่สำคัญของชุมชนได้แก่ “หอแหย่” มีลักษณะคล้ายศาลาและมีบริเวณกว้าง สำหรับไว้ประกอบพิธีกรรมและการละเล่นต่างๆของชุมชน หลักพุทธปรัชญาเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตของชนเผ่า ได้แก่ ศีล โดยเฉพาะศีล 5 ข้อที่เป็นหลักปฏิบัติต่อกันของคนในชุมชน สมาธิ คือการมุ่งมั่นแน่วแน่ในการประกอบอาชีพและรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ปัญญา รู้และเข้าใจในการปฏิบัติตามความเชื่อของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความกตัญญูกตเวที การดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าลาหู่ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการปลูกฝังให้ชุมชนประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและปฏิบัติตามความเชื่อของบรรพบุรุษที่ได้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ทั้งทางด้านภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ให้เป็นมรดกตกทอดสู่รุ่นต่อๆไป
The objectives of this research were: 1) to study the lifestyle of the Lahu tribe, 2) to study the principles of Theravada Buddhist philosophy about living a life, and 3) to analyze the lifestyle of the Lahu tribe according to Theravada Buddhist philosophy. The population in this research were 7community leaders and village scholars in Mae Suai district of Chiang Rai Province. The research results were found as follows: The Lahu people live together in group on the mountainous area. They work on farm, plant vegetables and raise animals for food. The sacred place in community is called “Ho Yae” similar to a pavillian with wide space for performing rituals and activies of the people in community. The significant principle of Buddhist philosophy in living a life of Lahu people is Sila or precept, especially the five precepts, for interaction with each other in community, Samadhi to focus on their career and preserving the tribal traditions and cultures, and Panna or wisdom to realize and understand the ancestors’ ways of life on the principle of gratitude. The lifestyle of Lahu people according to Theravada Buddhist philosophy is to implant the Buddhist practice and the ancestors’ ways of life to younger generations on tribal language, tradition, custom and culture.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์เรื่องเปรียบเทียบความจริงระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธปรัชญาเถรวาท มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1. เพื่อศึกษาความจริงในวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อศึกษาความจริงในพุทธปรัชญาเถรวาท 3.
วิทยานิพนธ์เรื่องเปรียบเทียบความจริงระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธปรัชญาเถรวาท มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1. เพื่อศึกษาความจริงในวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อศึกษาความจริงในพุทธปรัชญาเถรวาท 3.
เพื่อเปรียบเทียบความจริงระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธปรัชญาเถรวาท ผลของการวิจัย พบว่า ความจริงทางวิทยาศาสตร์มีวิวัฒนาการมาจากความสงสัยในปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ด้วยหลักการเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าวิทยาศาสตร์คือความรู้ในความสงสัยในธรรมชาติ มีมาตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาอาศัยอยู่บนโลกนี้ แต่ตามที่มีหลักฐานทางวิชาการที่ปรากฏ ก็นับได้ว่าเริ่มต้นเมื่อราว 2,500 กว่าปี มาแล้ว ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ มาสมัยกรีกรุ่งเรือง จนมาถึงสมัยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาทางดาราศาสตร์ย้อนหลังไปจากการสังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ของเอกภพ สรุปได้ว่า ในความว่างเปล่าอันเป็นอนันต์มีพลังงานดั้งเดิมอยู่ แล้วมีวิวัฒนาการจากพลังงานมาเป็นเอกภพ จักรวาล และโลก ทำให้เกิดมีสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์รวมถึงมาเป็นมนุษย์ที่ทรงภูมิปัญญามากกว่าสัตว์สายพันธุ์อื่น ต่อมาวิวัฒนาการของมนุษย์ทำให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ส่งสืบต่อมา จากความรู้ที่เป็นความจริงในช่วงเวลานั้นๆ ตราบที่ยังไม่มีความจริงอื่นมาหักล้างได้ จนในปัจจุบันที่เกิดทฤษฎีกลศาสตร์ฟิสิกส์สัมพัทธภาพ และทฤษฎีกลศาสตร์ฟิสิกส์ควอนตัม และประยุกต์มาเป็นทฤษฎีพลังงานจิต ที่ได้รวมเอาโครงสร้างพื้นฐานทางทฤษฎีทั้งสองดังกล่าวข้างต้น ที่ได้รวมเอาผู้สังเกตการณ์เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของทฤษฎี เพื่อมาอธิบายพฤติกรรมของสภาวะทางควอนตัม ที่อยู่ในรูปของ อนุภาค-คลื่น ที่มีพฤติกรรมเหมือนจิตใจของมนุษย์ จึงสรุปได้ว่า ความจริงทางวิทยาศาสตร์มี 2 สิ่ง คือ หนึ่ง ผู้สังเกตการณ์, ผู้มีส่วนร่วม, ผู้เห็นเหตุการณ์ หรือ คือจิตใจของมนุษย์ สอง คือ ปรากฏการณ์ ความจริงทางพุทธปรัชญาเถรวาทมีวิวัฒนาการมาจากความอยากรู้ในวัฏฏะสงสารของพระพุทธเจ้าเมื่อประมาณ 2,500 ปี กว่ามาแล้ว อันเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการของการเกิดขึ้นของศาสนา ที่มีเกิดขึ้นมาตั้งแต่มีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลก ตามความนิยามที่ว่ามนุษย์กลัวในความไม่รู้ แต่จากหลักฐานทางวิชาการที่ปรากฏในพระไตรปิฎก พบว่า เมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงได้ประกาศและตั้งพระศาสนา มีพระสาวกในระดับต่างๆรู้แจ้งเห็นจริงตาม อันเป็นเครื่องยืนยันการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ว่ามนุษย์สามารถปฏิบัติได้ในชาตินี้ มีการเรียบเรียงจัดทำรวบรวมองค์ความรู้ในความจริงไว้ในพระไตรปิฎก มีการส่งต่อรักษาเพื่อคงความบริสุทธิ์ในคำสอนไว้ให้ได้มากและนานที่สุด จากการศึกษาพบว่าพระพุทธองค์ทรงใช้การปฏิบัติภาวนาทางจิต โดยทรงยึดหลักทางสายกลาง ทรงพิจารณาด้วยหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท แล้วจึงทรงตรัสรู้อริยสัจสี่ สาวกที่รู้แจ้งตามเป็นไปได้หลากหลายเหตุปัจจัย และหลายหลักธรรมมิจำเป็นต้องเหมือนกันก็สามารถรู้แจ้งตามได้ การตรัสรู้หรือการบรรลุธรรมคือการเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสรุปได้ว่าความจริงทางพุทธปรัชญาเถรวาทมี 2 สิ่ง คือ หนึ่ง ผู้รู้, ธาตุรู้ หรือ คือจิตใจของมนุษย์ สอง คือ สภาวะธรรม หรือ ธรรมธาตุ จากการศึกษาเปรียบเทียบความจริงระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธปรัชญาเถรวาท พบว่า ความจริงทั้งสองศาสตร์มีความตรงกัน ต่างกันเพียงรูปแบบการอธิบายทางภาษาวิชาการ ดังนี้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ มี 2 สิ่ง คือ หนึ่ง ผู้สังเกตการณ์, ผู้มีส่วนร่วม, สอง คือ ปรากฏการณ์ ส่วน ความจริงทางพุทธปรัชญาเถรวาท มี 2 สิ่ง คือ หนึ่ง ผู้รู้, ธาตุรู้ หรือ คือจิตใจของมนุษย์ สอง
คือ สภาวะธรรม หรือ ธรรมธาตุ
Thesis on a comparison facts in science and in Theravada Buddhist Philosophy It has 3 objectives: 1. to study the facts in science 2. to study the facts in Theravada Buddhist philosophy 3. to a comparison facts in science and in Theravada Buddhist Philosophy. The results of the research revealed that scientific facts have evolved from doubts about natural phenomena. With such a principle it can be said that science is the knowledge of nature's doubts. It has existed since human beings were born to live on this planet. But according to the academic evidence that appears It can be counted that it started at about more than 2,500 years have passed since ancient Greece. to the prosperous Greek era until the present day of science from the study of scientists who have studied astronomy dating back to observing the astronomical phenomena of the universe, it was concluded that in the infinite emptiness there exists primordial energy. Then evolved from energy to the universe, the universe and the world, resulting in the existence of both plants and animals as well as being human beings who are more intelligent than other animal species. Subsequently, human evolution has resulted in the creation of a body of knowledge that has been passed on. from the knowledge that was true at that time as long as there is no other truth to refute Until now, the theory of mechanics, physics, relativity. and the theory of quantum physics mechanics. and applied it to the theory of psychic energy that combines the above two theoretical infrastructures. that included the observer as an integral part of the theory. to explain the behavior of quantum states in the form of particles-waves that behaves like a human mind therefore, it can be concluded that there are two kinds of scientific truths: one is the observer, the participant, the eyewitness or the human mind; the second is the phenomenon. Over 2,500 years ago, it was part of the evolution of the emergence of religion. that have arisen since humans lived on earth by definition, humans are afraid of ignorance. But from the academic evidence that appears in the Tripitaka found that when he had enlightened, he proclaimed and established a religion. There are disciples of different levels, enlightened accordingly. Which confirms the Buddha's enlightenment that human beings can practice in this life It has been compiled and compiled to collect the body of knowledge in the truth in the Tripitaka. It has been passed on to preserve the purity of the teachings as much as possible for as long as possible. From the study, it was found that the Buddha used the practice of spiritual meditation. By adhering to the middle path his highness considered with the principle of supremacy and then he enlightened the four noble truths An enlightened disciple was possible for a variety of reasons. and many dharmas do not have to be the same, they can be enlightened accordingly. Enlightenment or enlightenment is access to the truth of nature. Thus, it can be concluded that there are two truths in Theravada Buddhist philosophy, namely, the one who knows, the knowledge element or the human mind, and the second is the dharma state or the dharma element. From a comparison facts in science and in Theravada Buddhist Philosophy, it was found that the truths of the two sciences were synonymous. The difference is only in the form of explanation in academic language as follows: Scientific truth has 2 things: one is an observer, participant, an eyewitness two is a phenomenon. One is the one who knows, the element knows or is the human mind; the second is the state of Dharma or the Dharma element.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค 1) เพื่อศึกษาจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จำนวน 108 โรง โดยมีผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 3 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารงานวิชาการ และครูผู้สอน รวม 324 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ตามแนวความคิดของ อาคม มากมีทรัพย์ และการบริหารงานวิชาการ ตามแนวความคิดของ กระทรวงศึกษาธิการ สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบวา 1. จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม และรายดานทุกดานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่ามีการกระจายของข้อมูลน้อย แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขาคณิตจากมากไปน้อย พบว่า จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านความซื่อสัตย์ อยู่ในระดับมาก รองลงมา ด้านธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมาก ด้านความมีวินัย ด้านกัลยาณมิตร อยู่ในระดับมาก ด้านความเมตตา กรุณา อยู่ในระดับมาก ด้านความยุติธรรม อยู่ในระดับมาก และลำดับที่สุดท้ายด้านการเป็นผู้นำ อยู่ในระดับมากตามลำดับ 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม และรายดานทุกดานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่ามีการกระจายของข้อมูลน้อย แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขาคณิตจากมากไปน้อย พบว่า ด้านการจัดการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก รองลงมา ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับมาก ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก ด้านการวัดผลประเมินผล อยู่ในระดับมาก ด้านสื่อการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก และลำดับที่สุดท้ายด้านการวิจัยในชั้นเรียนอยู่ในระดับมากตามลำดับ 3.
วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค 1) เพื่อศึกษาจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จำนวน 108 โรง โดยมีผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 3 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารงานวิชาการ และครูผู้สอน รวม 324 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ตามแนวความคิดของ อาคม มากมีทรัพย์ และการบริหารงานวิชาการ ตามแนวความคิดของ กระทรวงศึกษาธิการ สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบวา 1. จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม และรายดานทุกดานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่ามีการกระจายของข้อมูลน้อย แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขาคณิตจากมากไปน้อย พบว่า จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านความซื่อสัตย์ อยู่ในระดับมาก รองลงมา ด้านธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมาก ด้านความมีวินัย ด้านกัลยาณมิตร อยู่ในระดับมาก ด้านความเมตตา กรุณา อยู่ในระดับมาก ด้านความยุติธรรม อยู่ในระดับมาก และลำดับที่สุดท้ายด้านการเป็นผู้นำ อยู่ในระดับมากตามลำดับ 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม และรายดานทุกดานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่ามีการกระจายของข้อมูลน้อย แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขาคณิตจากมากไปน้อย พบว่า ด้านการจัดการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก รองลงมา ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับมาก ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก ด้านการวัดผลประเมินผล อยู่ในระดับมาก ด้านสื่อการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก และลำดับที่สุดท้ายด้านการวิจัยในชั้นเรียนอยู่ในระดับมากตามลำดับ 3.
จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 คือ ด้านธรรมาภิบาล (X3) ด้านกัลยาณมิตร (X2) ด้านการเป็นผู้นำ (X6) และด้านความซื่อสัตย์ (X5) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) ในการทำนายภาพรวม (Ytot) เท่ากับ 0.879 ค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนาย ได้ร้อยละ 77.20 (R2 = 0.772) ค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับแล้ว (Adjusted R2) เท่ากับ 0.769 มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนาย (Standard Error) เท่ากับ 0.091 ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ภาพรวม (Ytot) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y' = 1.625 + 0.583(X3) + -0.355(X2) + 0.247(X6) + 0.141(X5) (R2 = 0.772) สมการคะแนนมาตรฐาน Zy′ = 0.787(X3) + -0.435(X2) + 0.334(X6) + 0.175(X5) (R2 = 0.772)
The research aimed to: 1) study the ethics of school administrators under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2 2)study the academic administration in schools under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2 3) study the ethics of school administrators affecting to academic administration in schools under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2 The results were found that: 1)Ethics of school administrators under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2. Honesty, good governance, discipline, friend, mercy please, justice, and leadership. 2)Academic Administration in Schools Under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2.Teaching management, Quality Assurance,curriculum development of educational institutions, supervision within educational institutions, evaluation, teaching materials, and classroom research. 3)Ethics of School Administrators Affecting to Academic Administration in Schools Under the Ratchaburi Primary Educational Service Area Office, 2.Good governance (X3) friend (X2) leadership (X6) and honesty (X5) with which the Ethics of School Administrators can be predicted with statistical significance at the level of .05, multiple correlation coefficient of 0.879, prediction coefficient of 77.20 (R2 = 0.772), Adjusted R2 of 0.769, and standard error of 0.091. The prediction equation in the form of raw score can be derived as follows: Y' = 1.625 + 0.583(X3) + -0.355(X2) + 0.247(X6) + 0.141(X5) (R2 = 0.772) And the prediction equation in the form of standardized score can be derived as follows: Zy′ = 0.787(X3) + -0.435(X2) + 0.334(X6) + 0.175(X5) (R2 = 0.772)
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) การบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 3) สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1จำนวนทั้งสิ้น 58 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 5 คน ประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือหัวหน้างานหรือหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 290 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะผู้บริหารตามแนวคิดของเฮลรีเกล,แจ็คสัน และสโลคัม และการบริหารงานบุคคลตามแนวคิดของคาสเต็ทเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ สมรรถนะในการวางแผนและการบริหารจัดการ สมรรถนะในการสื่อสาร สมรรถนะในการบริหารตนเอง สมรรถนะในการทำงานเป็นทีม สมรรถนะในการตระหนักรับรู้เรื่องโลกาภิวัตน์ และสมรรถนะในการปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ 2. การบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิต จากมากไปน้อยดังนี้การปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา การวางแผนกำลังคน การให้ความยุติธรรม ความมั่นคงในงาน การนำเข้าสู่หน่วยงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน การให้ข้อมูลข่าวสาร การคัดเลือก การให้ค่าตอบแทนหรือสิ่งจูงใจ การสรรหา และการเจรจาต่อรอง 3. สมรรถนะในการปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ สมรรถนะในการบริหารตนเอง และสมรรถนะในการวางแผนและการบริหารจัดการ ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนสมรรถนะในการสื่อสารและสมรรถนะในการตระหนักรับรู้เรื่องโลกาภิวัตน์ ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) การบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 3) สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1จำนวนทั้งสิ้น 58 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 5 คน ประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือหัวหน้างานหรือหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 290 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะผู้บริหารตามแนวคิดของเฮลรีเกล,แจ็คสัน และสโลคัม และการบริหารงานบุคคลตามแนวคิดของคาสเต็ทเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ สมรรถนะในการวางแผนและการบริหารจัดการ สมรรถนะในการสื่อสาร สมรรถนะในการบริหารตนเอง สมรรถนะในการทำงานเป็นทีม สมรรถนะในการตระหนักรับรู้เรื่องโลกาภิวัตน์ และสมรรถนะในการปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ 2. การบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิต จากมากไปน้อยดังนี้การปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา การวางแผนกำลังคน การให้ความยุติธรรม ความมั่นคงในงาน การนำเข้าสู่หน่วยงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน การให้ข้อมูลข่าวสาร การคัดเลือก การให้ค่าตอบแทนหรือสิ่งจูงใจ การสรรหา และการเจรจาต่อรอง 3. สมรรถนะในการปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ สมรรถนะในการบริหารตนเอง และสมรรถนะในการวางแผนและการบริหารจัดการ ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนสมรรถนะในการสื่อสารและสมรรถนะในการตระหนักรับรู้เรื่องโลกาภิวัตน์ ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
This research purposes were to determine 1) the administrator’s competencies of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 2) the personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 and 3) the administrator’s competencies affecting personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1. The samples were 58 private schools in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1. The 5 respondents of each school were; a licensee, a manager or a school director, adeputy school director, a head of department or an academic learning department’s head and three teachers, totally 290 respondents. The research instrument was a questionnaire concerning administrator’s competencies on Hellriegel, Jackson, and Slocum’s concept and personnel administration on Castetter’s concept. The statistics for analyzing the data were frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation and stepwise multiple regression analysis. The research findings were as follows; 1. The administrator’s competencies of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 as a whole, were at a high level. Ranking level with arithmetic mean from the highest to the lowest were; planning and administration competency, communication competency, self-management competency, teamwork competency, global awareness competency and strategic action competency. 2.The personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 as a whole, were at a high level. Ranking level with arithmetic mean from the highest to the lowest were; continuity, development, manpower planning, justice, induction, appraisal, information, selection, compensation, recruitment, and bargaining. 3. The administrator’s competencies affecting personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 were found that strategic action competency, self-management competency and planning and administration competency affected personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1 as a whole. 0.05 level at statistical significance, but communication competency and global awareness competency affecting personnel administration of School in the Bangkok Secondary Educational Service Area 1
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ และ รายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จำนวน 191 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-Way ANOVA) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร มีการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวัน โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากมาก ไปหาน้อยดังนี้ 1) ด้านยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกำลัง) 2) ด้านยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามที่ได้) และ 3) ด้านยถาสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร) ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันโดยรวม ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3) ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและ แนวทางแก้ไขการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวัน มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ด้านยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามที่ได้) มักจะกู้ยืมเพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ กระเป๋า เสื้อผ้า เกินฐานะหรือความเป็นอยู่ของตนเอง 2) ด้านยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกำลัง) มีความต้องการอยากได้อยากมีในวัตถุสิ่งของบางอย่างที่เกินกำลังต้องการความหรูหราทางสังคมทำให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินรายได้ที่หามาได้ และ 3) ด้านหลักสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร) เพื่อนร่วมอาชีพครูมีภาพลักษณ์ด้านฐานะในสังคมดูดีเกินหน้า ทำให้ต้องใช้จ่ายเกินความสมควร
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ และ รายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันของครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จำนวน 191 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-Way ANOVA) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร มีการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวัน โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากมาก ไปหาน้อยดังนี้ 1) ด้านยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกำลัง) 2) ด้านยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามที่ได้) และ 3) ด้านยถาสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร) ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวันโดยรวม ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3) ครูในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและ แนวทางแก้ไขการประยุกต์ใช้หลักสันโดษในชีวิตประจำวัน มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ด้านยถาลาภสันโดษ (ยินดีตามที่ได้) มักจะกู้ยืมเพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ กระเป๋า เสื้อผ้า เกินฐานะหรือความเป็นอยู่ของตนเอง 2) ด้านยถาพลสันโดษ (ยินดีตามกำลัง) มีความต้องการอยากได้อยากมีในวัตถุสิ่งของบางอย่างที่เกินกำลังต้องการความหรูหราทางสังคมทำให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินรายได้ที่หามาได้ และ 3) ด้านหลักสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร) เพื่อนร่วมอาชีพครูมีภาพลักษณ์ด้านฐานะในสังคมดูดีเกินหน้า ทำให้ต้องใช้จ่ายเกินความสมควร
The objectives of this research were: 1) to study the application of the solitude (santutthi) in daily life of teachers in Phasicharoen district of Bangkok, 2) to compare the application of the principle of solitude in daily life of teachers in Phasicharoen district of Bangkok based on their gender, age and income, and 3) to analyze suggestions regarding the problems and resolutions of the application of Solitude (Santutthi) of teachers in Phasicharoen district of Bangkok. 191 teachers in Phasicharoen district of Bangkok were the samples drawn randomly. The sample size (n = 380) was determined by using Krejcie and Morgan’s (1970) table of sample sizes, specifying a 5% margin of error. The experimental data was collected by questionnaire and summarized with descriptive statistics, such as frequency, percentage, mean and standard deviation, and compared groups by using independent-sample t-tests, F-tests and one-way analysis of variance (ANOVA). All of the data was analyzed by statistics software. The results of the study were found that: 1) The application of solitude (santutthi) in daily life of teachers in Phasicharoen district of Bangkok was at a high level in overall. When considering by each aspect, the mean was different and could be ranged from maximum to minimum as follows: 1) Yathabala Santutthi (Contentment with what one gets and deserves to get), 2) Yathalabha Santutthi (Contentment with what is within one’s capacity), and 3) Yathasaruppa Santutthi (Contentment with what is benefitting) respectively. 2) In comparison, there were no statistically significant difference in application of Santutthi of teachers in Phasicharoen district of Bangkok with different gender, age, education and monthly income. 3) The suggestions obtained were as follows: 1) Yathalabha Santutthi, they often borrow money from others to buy assets beyond their own status or livelihood, such as mobile phones, computers, bags, clothes, 2) Yathabala Santutthi, they desire to have something that exceeds their real need for social luxury, causing lavish spending that exceeds the income they earned, and 3) Yathasaruppa Santutthi, they want to keep up with their colleagues in image and luxury status in society, which cause them to spend more than their capacity.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้1)เพื่อศึกษาการประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ที่มี เพศ อายุ ระยะเวลาในการทำงาน ต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 66 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่(Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถาม การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 72.7 มีอายุระหว่าง 30-40 ปีจำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 39.4 มีระยะเวลาในการทำงานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 25.8 2) การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จโดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านฉันทะ ด้านวิริยะ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ที่มี เพศ แตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ โดยรวม แตกต่างกัน ส่วนที่มีอายุ และระยะเวลาในการทำงาน แตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ โดยรวม ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้ (1) ด้านฉันทะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีความภูมิใจในงานทำ (2) ด้านวิริยะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีความเพียร มุมานะ ในการทำหน้าที่ (3) ด้านจิตตะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีการตั้งใจถ่ายทอดความรู้ในการทำงาน (4) ด้านวิมังสา ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ไตร่ตรองงานที่ทำด้วยความเข้าใจ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้1)เพื่อศึกษาการประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ2) เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ที่มี เพศ อายุ ระยะเวลาในการทำงาน ต่างกัน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การประยุกต์อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 66 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่(Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถาม การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 72.7 มีอายุระหว่าง 30-40 ปีจำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 39.4 มีระยะเวลาในการทำงานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 25.8 2) การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จโดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านฉันทะ ด้านวิริยะ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ ที่มี เพศ แตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ โดยรวม แตกต่างกัน ส่วนที่มีอายุ และระยะเวลาในการทำงาน แตกต่างกัน มีการประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ โดยรวม ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การประยุกต์ใช้อิทธิบาท 4 ในการดำเนินชีวิตของพนักงานตัวแทนประกันชีวิตสู่ความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้ (1) ด้านฉันทะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีความภูมิใจในงานทำ (2) ด้านวิริยะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีความเพียร มุมานะ ในการทำหน้าที่ (3) ด้านจิตตะ ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ มีการตั้งใจถ่ายทอดความรู้ในการทำงาน (4) ด้านวิมังสา ข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ไตร่ตรองงานที่ทำด้วยความเข้าใจ
The objectives of this thesis are as follows: 1) to study the application of Iddhipada in living a life to success of life insurance agent employees, 2) to compare the application of Iddhipada in living a life to success of life insurance agent employees with different gender, age and work period, and 3) to study the suggestions on the application of Iddhipada in living a life to success of life insurance agent employees. 66 samples were used in this research. The data were collected by open-ended and close-ended questionnaires and analyzed by a ready-made computer program for frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, and F-test. The results of the study revealed that: 1) 48 respondents or 72.7 percent were men. 26 respondents or 39.4 percent were 30-40 years of age, and 17 respondents or 25.8 percent worked with the life insurance for more than 10 years. 2) The application of Iddhipada in living a life of life insurance agent employees was at a high level overall. In details, the highest level was on Chanda, followed by Viriya, Citta, and Vimamsa respectively. 3) The results comparison of genders base of insurance agents who apply Iddhipada for the prosperity of livelihood, is resulting in a different outcome. Thus, by focusing on a gender factor, the overall adjustment of Iddhipada to daily life by insurance agents are differing. However, the results of lifetime duration and working duration of the insurance agents who apply Iddhipada for a prosperous livelihood are not distinguishingly varying at .05 level. 4) Suggestions regarding the application of Iddhipada in living a life to success of life insurance agent employees are as follows: (1) In Chanda, the most suggestion is pride in the work. (2) In Viriya, the most suggestion is on the persistence in performing duty. (3) In Citta, the most suggestion is on intentional transfer of knowledge in the work to others. (4) In Vimamsa, the most suggestion is to reflect on the work done with a critical understanding.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2.) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขากับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยใช้สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 72 แห่งเป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระฯ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น จำนวน 419 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correiation Coeffieiont) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม ตามลำดับ 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการเปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้นการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการส่งเสริมการประเมินวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการดำเนินการเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้านการส่งเสริมและยกย่องเชิดชูเกียรติ ด้านการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตามลำดับ 3. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์การบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขากับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 ด้านไตรสิกขา และด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนายได้ร้อยละ 29.0 ในแต่ละด้านได้ดังนี้ 1) ด้านการวางแผนอัตรากำลังอยู่ที่ 0.70 2) ด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม อยู่ที่ 0.67 3)ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน อยู่ที่ 0.68 และ 4) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง อยู่ที่ 0.17
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2.) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขากับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยใช้สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 72 แห่งเป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระฯ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น จำนวน 419 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Athematic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correiation Coeffieiont) ผลการวิจัยพบว่า: 1. การบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม ตามลำดับ 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการเปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้นการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการส่งเสริมการประเมินวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้านการดำเนินการเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ด้านการส่งเสริมและยกย่องเชิดชูเกียรติ ด้านการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตามลำดับ 3. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์การบริหารเชิงกลยุทธ์ตามหลักไตรสิกขากับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 ด้านไตรสิกขา และด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์ในการทำนายได้ร้อยละ 29.0 ในแต่ละด้านได้ดังนี้ 1) ด้านการวางแผนอัตรากำลังอยู่ที่ 0.70 2) ด้านการส่งเสริมวินัย คุณธรรมจริยธรรม อยู่ที่ 0.67 3)ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน อยู่ที่ 0.68 และ 4) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง อยู่ที่ 0.17
The objectives of this research were 1) to study the strategic management according to the tri-sikkha principles of educational institute administrators. Under the Samut Prakan Primary Educational Service Area Office 1 2.) To study personnel management of educational institution administrators. under the SamutPrakan Primary Educational Service Area Office 1 3) to analyze the relationship of the thri-sixkha strategic management with the personnel management of educational institution administrators. under the SamutPrakan Primary Educational Service Area Office 1, using the educational institutions Under the SamutPrakan Primary Educational Service Area Office 1. Zone 72 locations are the Unit of Analysis. Group Leader Government teachers and educational personnel totaling 419 people. The instrument used was a questionnaire. Data analysis uses software packages. The statistics used to analyze the data are frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation. The results showed that: 1. Strategic management according to the threefold principles of school administrators Under the Samut Prakan Primary Educational Service Area Office 1, the overall picture is at a high level. By sorting the arithmetic mean value from highest to lowest is the power rate planning aspect. Evaluation of the performance of recruitment and appointment and the promotion of discipline morality, ethics, respectively 2. Personnel administration in educational institutions Under the Samut Prakan Primary Educational Service Area Office. the overall picture is at a high level. By sorting the arithmetic mean values from highest to lowest as follows: Change of position to a higher position, transfer of government teacher and education personnel Promotion of academic assessment of government teacher and education personnel Performance evaluation Development of government teachers and educational personnel Discipline promotion Moral and Ethics for Government Teachers and Educational Personnel Actions related to salary advancement Promotion and honour Promotion of professional standards and professional ethics, respectively. 3. Analysis of the relationship of strategic management according to the trisikkha principles and personnel management of educational institution administrators Under the Samut Prakan Primary Educational Service Area Office, Region 1, tri-sikkha in the field of manpower planning Performance appraisal Nomination and Appointment and the promotion of discipline morality Affects personnel management in educational institutions Under the Samut Prakan Primary Educational Service Area Office 1, the statistical significance at the .01 level had a predictive coefficient of 29.0% in each aspect as follows: 1) the power rate planning aspect was at 0.70; 2) the promote discipline Moral and Ethics at 0.67 3) Performance Assessment at 0.68 and 4) Nomination and Appointment at 0.17

... 2564

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ประชากร คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 103 โรง กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 86 โรง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวม และรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ไม่แตกต่างกัน 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร คือ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา (X3) ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (X1) และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (X4) โดยสามารถพยากรณ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าอำนาจในการพยากรณ์ร่วมกันร้อยละ 81.40 (R2=0.814) สามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y' = .881 + 0.433(X3) + 0.209(X1) + 0.175 (X4) (R2 = 0.814) สมการคะแนนมาตรฐาน Zy′ = 0.449(X3) + 0.216(X1) + 0.204 (X4) (R2 = 0.814)
วิทยานิพนธ์ นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ประชากร คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร จำนวน 103 โรง กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 86 โรง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวม และรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ไม่แตกต่างกัน 3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร คือ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา (X3) ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (X1) และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (X4) โดยสามารถพยากรณ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าอำนาจในการพยากรณ์ร่วมกันร้อยละ 81.40 (R2=0.814) สามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการคะแนนดิบ Y' = .881 + 0.433(X3) + 0.209(X1) + 0.175 (X4) (R2 = 0.814) สมการคะแนนมาตรฐาน Zy′ = 0.449(X3) + 0.216(X1) + 0.204 (X4) (R2 = 0.814)
The research aimed to: 1) study the transformational leadership integrated with Sangahavatthu principles of school administrators under Samut Sakhon Primary Educational service area office 2) study the academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office 3) study the transformational leadership integrated with Sangahavatthu principles of school administrators affecting the academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office. The peoples were 103 schools. The samples were 86 schools. The instrument is questionnaire. The statistics use for data analysis were frequency, percentage, means, standard deviation, Pearson’s product moment correation coefficient and stepwise multiple regression analysis. The results were found that: 1) Transformational leadership integrated with Sangahavatthu principles of school administrators affecting the academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office were a high level. When considering each aspect, it was found that it was at the high level. 2) The academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office were a high level, it not different. 3) Transformational leadership integrated with Sangahavatthu principles of school administrators affecting the academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office. Intellectual stimulation with Sangahavatthu principles (X3) Inspiration motivation with Sangahavatthu principles (X1) and Individualized consideration with Sangahavatthu principles (X4) with which the academic administration in schools under Samut Sakhon Primary Educational service area office can be predicted with statistical significance at the level of .05, and the prediction power they had together was 81.40 percent (R2 = 0.814). The prediction equation in the form of raw score can be derived as follows: Y' = .881 + 0.433(X3) + 0.209(X1) + 0.175 (X4) (R2 = 0.814) And the prediction equation in the form of standardized score can be derived as follows: Zy′ = 0.449(X3) + 0.216(X1) + 0.204 (X4) (R2 = 0.814)
หนังสือ

    วิทยาพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูในสถานศึกษา 9 แห่ง จำนวน 242 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านประสิทธิภาพ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการตอบสนอง 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน โดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นต้องเป็นไปด้วยเหตุส่วนดีและส่วนเสียและที่สำคัญต้องพยายามให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม มีการปรึกษาหารืออย่างต่อเนื่องร่วมตัดสินใจ มีการกระจายอำนาจ 4. ผลสัมภาษณ์ข้อคิดเห็นการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาเน้นในเรื่อการประหยัดทรัพยากรในการบริหารจัดการ คุ้มค่า กำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ทุกคนมีส่วนร่วม
วิทยาพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูในสถานศึกษา 9 แห่ง จำนวน 242 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านประสิทธิภาพ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการตอบสนอง 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน โดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นต้องเป็นไปด้วยเหตุส่วนดีและส่วนเสียและที่สำคัญต้องพยายามให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม มีการปรึกษาหารืออย่างต่อเนื่องร่วมตัดสินใจ มีการกระจายอำนาจ 4. ผลสัมภาษณ์ข้อคิดเห็นการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาเน้นในเรื่อการประหยัดทรัพยากรในการบริหารจัดการ คุ้มค่า กำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ทุกคนมีส่วนร่วม
The purposes of this study were to 1) study the Management condition of Good governance–based Administration of administrators in school under Vocational Institute of Northeast Region 3, 2) compare the Good governance–based Administration of administrators in school under Vocational Institute of Northeast Region 3, classified by gender, educational background, and work experience 3) gather Management recommendations of Good governance–based Administration of administrators in school under Vocational Institute of Northeast Region 3. The sample group in this research were 242 instructors form 9 institutes of Vocational Education Northeastern Region 3. The instrument used for data collection was a five-level estimation scale Questionnaire. The index of consistency between the questions and definations was between 0.67 – 1.00, and has a confidence of 0.95 The results of the research were as follows: 1. The overall state of management condition of the good governance – based Administration of administrators in school under Vocational Institute of Northeast Region 3 was at a high level. Ranked from high to low averages were morality, ethics, efficiency, and the side with the lowest mean is response side 2. Comparison of opinions on good governance – based administration of administrators classified by gender, educational background and work experience by overall. And in each aspect, there was a statistically significant difference at the .05 level. 3. Suggestions and opinions must be based on good and bad reasons. The most importantly, try to get everyone involved so as to focus on the benific of the public. There is ongoing consulation, decision making, and decentralized. 4. Interview results, opinions on good governance – based administration of administrators, emphasis on saving resources in management, worthy, clearly defined roles and responsibilities, everyone participates.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พระสังฆาธิการที่อยู่ในจังหวัดกาฬสินธ์ จำนวน 257 รูป โดยวิธีคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ยามาเน่ เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ มีระดับค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.817 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-test และ ค่า F-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. พระสังฆาธิการมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่าโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสามารถในการวิเคราะห์สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการจัดการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2. ผลเปรียบเทียบการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามสังกัดคณะสงฆ์ พรรษา ระดับการศึกษาทางธรรม และตำแหน่งทางคณะสงฆ์โดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นระดับการศึกษาทางโลกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ ควรจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ควรมีการวางแผนจัดอบรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ควรมีคุณธรรมจริยธรรมในการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และควรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการประชาสัมพันธ์
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พระสังฆาธิการที่อยู่ในจังหวัดกาฬสินธ์ จำนวน 257 รูป โดยวิธีคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ยามาเน่ เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ มีระดับค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.817 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-test และ ค่า F-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. พระสังฆาธิการมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่าโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสามารถในการวิเคราะห์สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการจัดการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2. ผลเปรียบเทียบการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามสังกัดคณะสงฆ์ พรรษา ระดับการศึกษาทางธรรม และตำแหน่งทางคณะสงฆ์โดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นระดับการศึกษาทางโลกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะการส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของพระสังฆาธิการในการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ ควรจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ควรมีการวางแผนจัดอบรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ควรมีคุณธรรมจริยธรรมในการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และควรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการประชาสัมพันธ์
The objectives of this thesis were to 1) study the level of promotion of skills in using information technology of the administrative monks for Sangha governance of Kalasin Province 2) study and compare the promotion of skills in using information technology of the administrative monks for Sangha governance of Kalasin Province and 3) study the recommendations on the promotion of skills in using information technology of the administrative monks for Sangha governance of Kalasin Province. It is a quantitative research. The sample group was 257 monks in Kalasin province by method of calculating the sample size according to the Taro Yamane formula. The data collection tool was a questionnaire on a 5-level estimation scale of 30 items with a confidence level of 0.817. The statistics used in the data analysis were percentage, mean, standard deviation, T-test and F-test. The statistical significance was set at the .05 level. The results of research were found that : 1. The administrative Sangha has promoted the use of information technology was found that the overall level was at a high level. When considering each aspect was found that the ability to analyze information technology media with the highest average, followed by the application of information technology, the use of information technology and in terms of management of information technology was the least average. 2. Comparative results of promoting skills in using information technology of administrative sangha in Sangha governance of Kalasin Province Classified by Sangha affiliation, age of monks, level of moral education and Sangha position were not statistically significantly different at the .05 level excepting secular education levels was statistically different at the .05 level. 3. Recommendations for promoting skills in using information technology of the administrative monks in Sangha governance of Kalasin Province as follow: Information technology budget should be allocated, there should be a plan to organize training on the use of information technology, there should have morals and ethics in the use of information technology media and there should apply information technology for public relations.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับประชาชนที่อาศัยอยู่เขตเทศบาลเมืองศิลา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ยามาเน่ ได้จำนวน 396 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรอิสระตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป เมื่อพบว่ามีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference : LSD) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ์อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ด้านเพศ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้าน อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ 1) การปกครอง พบว่า พระสงฆ์ควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินในการพัฒนาวัดในการปกครอง และในการปกครองควรมีคณะกรรมการชุมชนเข้าไปด้วย 2) การศาสนศึกษา พบว่า ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านการศึกษาในการระดมทุนเพื่อการศึกษาให้กับภิกษุสามเณร และควรมีการจัดให้มีการทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาให้กับภิกษุสามเณร 3) การเผยแผ่ พบว่า วัดควรมีการเผยแพร่ให้เกิดความทันสมัย เพื่อจูงใจเด็กและเยาวชนเข้าวัดให้มาก 4) การศึกษาสงเคราะห์ พบว่า วัดมีส่วนในการสงเคราะห์ชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งมีมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย 5) การสาธารณสงเคราะห์ พบว่า วัดมีส่วนในการสงเคราะห์ชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งมีมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย 6) การสาธารณูปการ พบว่า ทุกวัดควรมีลานกีฬาไว้ให้กับชุมชน
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับประชาชนที่อาศัยอยู่เขตเทศบาลเมืองศิลา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ยามาเน่ ได้จำนวน 396 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรอิสระตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป เมื่อพบว่ามีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference : LSD) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ์อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาวัดในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ด้านเพศ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้าน อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ 1) การปกครอง พบว่า พระสงฆ์ควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินในการพัฒนาวัดในการปกครอง และในการปกครองควรมีคณะกรรมการชุมชนเข้าไปด้วย 2) การศาสนศึกษา พบว่า ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านการศึกษาในการระดมทุนเพื่อการศึกษาให้กับภิกษุสามเณร และควรมีการจัดให้มีการทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาให้กับภิกษุสามเณร 3) การเผยแผ่ พบว่า วัดควรมีการเผยแพร่ให้เกิดความทันสมัย เพื่อจูงใจเด็กและเยาวชนเข้าวัดให้มาก 4) การศึกษาสงเคราะห์ พบว่า วัดมีส่วนในการสงเคราะห์ชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งมีมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย 5) การสาธารณสงเคราะห์ พบว่า วัดมีส่วนในการสงเคราะห์ชุมชนอยู่แล้ว ซึ่งมีมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย 6) การสาธารณูปการ พบว่า ทุกวัดควรมีลานกีฬาไว้ให้กับชุมชน
The objectives of this thesis are as follows: 1) to study the level of people's participation in the development of Sila Municipality; Mueang Khon Kaen District Khon Kaen Province 2) to compare the participation of people in the development of Sila Municipality Mueang Khon Kaen District and 3) to study the recommendations of people's participation in the development of Sila Municipality. Mueang Khon Kaen District Khon Kaen Province. The researcher studied the research by survey research method. Data were collected by using a questionnaire with people living in Mueang Sila Municipality. The sample group obtained by calculating the sample size according to the Taro Yamane formula was 396 people. The used tool for collecting data in this research was a questionnaire. Data were analyzed from questionnaires by using a package for social science research. The statistics of frequency, percentage, mean, standard deviation, and F-test were used by One Way ANOVA. ) in the case of three or more independent variables. When there is a difference, the difference is compared in pairs by means of (Least Significant Difference: LSD) by specifying the level with a statistical significance level of 0.05. The results of research were found that: 1. People have opinions on people's participation in the development of temples in Mueang Sila Municipality, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen Province as a whole was at a high level. It was found that the people had opinions on the people's participation in the development of temples in Mueang Sila Municipality, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen Province at a high level in all aspects 2. Comparison of people's opinions on people's participation in temple development in Mueang Sila Municipality, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen Province Classified by personal factors such as gender, age, education level, occupation and average monthly income which are different according to the assumptions set, it was found that the people had opinions on the people's participation in the development of temples in the Sila Municipality, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen Province, gender and average monthly income were no difference, age, education level and occupation were significantly different at 0.05 level. 3. Suggestions for people's participation in the development of Sila Municipality, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen Province: 1) Governance: It was found that monks should allow people to participate in decision-making in the development of temples in governance through a community committee. 2) Religious studies: It was found that an education committee should be established to raise funds for education for monks and novices and there should be an arrangement of robes for education for monks and novices. 3) Propagation: It was found that the temple should be disseminated to be modern to induce more children and youths to go to the temple. 4) Welfare education: It was found that the temple was already involved in helping the community which has since the grandparents. 5) Public Welfare: It was found that the temple was already involved in helping the community which has since grandparents. 6) Public utilities: It was found that every temple should have a sports field for the community.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษารัตนสูตร 3) เพื่อวิเคราะห์หลักจริยศาสตร์ที่ปรากฏในรัตนสูตร วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสาร ผลงานวิจัย และวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องแล้วนำมาวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย ผลจากการวิจัยพบว่า 1) หลักจริยศาสตร์นั้น ว่าด้วยเรื่องความประพฤติของมนุษย์ที่เกี่ยวกับเกณฑ์การตัดสินความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับความประพฤติของมนุษย์ และว่าด้วยการแสวงหาคุณค่าของชีวิตว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์ เป็นการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป 2) รัตนสูตร เป็นพระสูตรที่กล่าวถึงพระรัตนตรัย กล่าวคือ เป็นการพรรณนาสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นที่พึ่งที่ระลึก ด้วยการนำเอาคุณของพระรัตนตรัย คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรียกว่า ไตรสิกขา ไปประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งทำให้กายบริสุทธิ์ และจิตใจสงบ เป็นการพัฒนาชีวิตให้เกิดคุณค่าต่อการดำรงชีวิต ทำให้ผู้ที่นำไปประพฤติปฏิบัติ มีชีวิตที่ประเสริฐ มีความสุขบริบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ช่วยให้เกิดดวงตาเห็นธรรม จนกระทั่งเข้าถึงพระนิพพานหรือความพ้นทุกข์ในที่สุด 3) คุณค่าทางจริยศาสตร์ที่ปรากฏในรัตนสูตร เป็นคุณค่าที่มีผลต่อทางร่างกายและจิตใจ คือ ช่วยการพัฒนาความประพฤติของมนุษย์ด้วยการรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ด้วยการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เกิดความทุกข์ และสมบูรณ์ด้วยสมาธิและปัญญา ด้วยการทำจิตใจให้มีความหนักแน่นในคุณงามความดี ด้วยการเว้นจากความประพฤติชั่ว ประพฤติแต่ความดี เป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะใช้สมาธิเพื่อปัญญา ในการบําเพ็ญสมาธิให้จิตบริสุทธิ์ เป็นการสร้างคุณค่าด้วยหลักจริยศาสตร์ให้เป็นผู้มีชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิต
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษารัตนสูตร 3) เพื่อวิเคราะห์หลักจริยศาสตร์ที่ปรากฏในรัตนสูตร วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสาร ผลงานวิจัย และวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องแล้วนำมาวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย ผลจากการวิจัยพบว่า 1) หลักจริยศาสตร์นั้น ว่าด้วยเรื่องความประพฤติของมนุษย์ที่เกี่ยวกับเกณฑ์การตัดสินความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับความประพฤติของมนุษย์ และว่าด้วยการแสวงหาคุณค่าของชีวิตว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์ เป็นการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป 2) รัตนสูตร เป็นพระสูตรที่กล่าวถึงพระรัตนตรัย กล่าวคือ เป็นการพรรณนาสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นที่พึ่งที่ระลึก ด้วยการนำเอาคุณของพระรัตนตรัย คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรียกว่า ไตรสิกขา ไปประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งทำให้กายบริสุทธิ์ และจิตใจสงบ เป็นการพัฒนาชีวิตให้เกิดคุณค่าต่อการดำรงชีวิต ทำให้ผู้ที่นำไปประพฤติปฏิบัติ มีชีวิตที่ประเสริฐ มีความสุขบริบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ช่วยให้เกิดดวงตาเห็นธรรม จนกระทั่งเข้าถึงพระนิพพานหรือความพ้นทุกข์ในที่สุด 3) คุณค่าทางจริยศาสตร์ที่ปรากฏในรัตนสูตร เป็นคุณค่าที่มีผลต่อทางร่างกายและจิตใจ คือ ช่วยการพัฒนาความประพฤติของมนุษย์ด้วยการรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ด้วยการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เกิดความทุกข์ และสมบูรณ์ด้วยสมาธิและปัญญา ด้วยการทำจิตใจให้มีความหนักแน่นในคุณงามความดี ด้วยการเว้นจากความประพฤติชั่ว ประพฤติแต่ความดี เป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะใช้สมาธิเพื่อปัญญา ในการบําเพ็ญสมาธิให้จิตบริสุทธิ์ เป็นการสร้างคุณค่าด้วยหลักจริยศาสตร์ให้เป็นผู้มีชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิต
The objectives of this thesis are as follows 1) to study the principles of ethics 2)to study the Ratanasutta 3)to analyze the ethics principles appearing in the Ratanasutta involved and then analyzed and summarized the research results. The results of study wer found that: 1) The ethics of human conduct is concerned with the criteria for judging good and evil as a standard for human conduct and on the pursuit of the value of life as to what is best. For human life is the development of a more complete human being. 2) The Ratana Sutra is a sutra that mentions the Triple Gem, which is to describe the virtues of the Buddha, the Dharma, and the Sangha, which are relied upon by bringing the virtues of the Triple Gems, which is the virtue of meditation and wisdom known as the Trisikkha, to practice until the body Purity and peace of mind is the development of life to create value for living, enabling those who practice it to live a noble life, full of happiness both physically and mentally, because these are the noble refuges, the highest refuges. The eyes are born to see the Dharma until finally attaining Nirvana or cessation of suffering. 3)The ethical value that appears in the Ratana Sutra is the value that affects the body and mind, that is, it helps the development of human conduct by keeping the body and speech in order without hurting oneself and others to cause suffering and complete with concentration and wisdom by strengthening the mind in virtue by abstaining from evil conduct but goodness is to prepare the mind to use concentration for wisdom to practice meditation, to purify the mind, to create value through ethics, to become a noble life to achieve the highest goal of life.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจากเอกสาร (Documentary-Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพุทธศิลป์ 2) เพื่อศึกษาพุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ 3) เพื่อวิเคราะห์พุทธ์ศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ ผลการวิจัยพบว่า : พุทธศิลป์ เป็นศิลปะที่แฝงปรัชญาพุทธศาสนา เพื่อเป็นสื่อนำหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาหรือปริศนาธรรมให้ผู้พบเห็นเกิดศรัทธาในสิ่งดีงาม หรือน้อมใจให้เกิดความสงบ และมั่นคงในอุดมคติ ที่สามารถยกจิตสู่สภาวะเหนือโลกเหนือสามัญ (Transcendence) พุทธศิลป์มีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยตามลักษณะบรรทัดฐานและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นในรูปแบบสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และวรรณกรรม อันเป็นเครื่องน้อมนำไปสู่การศึกษาและปฏิบัติธรรม พุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ เป็นศิลปะที่สามารถสื่อปรัชญาคำสอนพุทธตันตระได้ตามวัตถุประสงค์ สถูปถูกสร้างขึ้นตามคติจำลองจักรวาล สะท้อนให้เห็นถึงการเทิดทูนสิ่งสำคัญที่สุด ณ จุดศูนย์กลาง เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า จิตรกรรมมันดาลา เป็นภาพแปลนของสถูปที่จำลองการกำเนิดภพภูมิต่าง ๆ ตามคติ “ไตรภูมิพระร่วง” จิตรกรรมทังกา เป็นสื่อนำจิตเข้าสู่สมาธิด้วย “การมอง” และ “การกระตุ้นเตือนจิตใจ” ปฏิมากรรมพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ สื่อความหมายทำให้ผู้คนเข้าใจในธรรมาธิษฐานของบุคลาธิษฐานนั้น และปรัชญาปารมิตาเป็นคำสอนแนวการปฏิบัติโยคะว่าด้วยเรื่องสุญญตา พุทธศิลป์ลัทธิตันตระแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติโยคะและน้อมนำให้ผู้พบเห็นเข้าใจปรัชญาพุทธตันตระได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์พุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ ความกลมกลืนระหว่างสรรพสิ่งที่ตรงกันข้ามเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้รู้ (Subject) และสิ่งที่ถูกรู้ (Object) ตามปรัชญาสหภาพนิยม (Unificationism) มีสภาวะสุญญตา เป็นสภาวะแห่งอัลติมะจิต ที่ไม่ยึดติดถือมั่นในรูปขันธ์และนามขันธ์ของบุคคลและสรรพสิ่งเป็นสาระ ดังนั้น เมื่อผู้ปฏิบัติโยคะเพ่งพิจารณาพุทธศิลป์ยับยุมซึ่งเป็นอารมณ์รูปขันธ์ภายนอกจนเกิด ‘สุญญตาภายนอก’ แล้ว และพิจารณาขันธ์ห้าของตนจนเกิด ‘สุญญตาภายใน’ สะท้อนให้เห็น ‘ความว่าง’ ที่หมายความว่า ‘ว่างจากสวภาวะ เป็นความว่างจากการอิงอาศัยเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งให้อุบัติขึ้น’
วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจากเอกสาร (Documentary-Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพุทธศิลป์ 2) เพื่อศึกษาพุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ 3) เพื่อวิเคราะห์พุทธ์ศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ ผลการวิจัยพบว่า : พุทธศิลป์ เป็นศิลปะที่แฝงปรัชญาพุทธศาสนา เพื่อเป็นสื่อนำหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาหรือปริศนาธรรมให้ผู้พบเห็นเกิดศรัทธาในสิ่งดีงาม หรือน้อมใจให้เกิดความสงบ และมั่นคงในอุดมคติ ที่สามารถยกจิตสู่สภาวะเหนือโลกเหนือสามัญ (Transcendence) พุทธศิลป์มีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยตามลักษณะบรรทัดฐานและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นในรูปแบบสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และวรรณกรรม อันเป็นเครื่องน้อมนำไปสู่การศึกษาและปฏิบัติธรรม พุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ เป็นศิลปะที่สามารถสื่อปรัชญาคำสอนพุทธตันตระได้ตามวัตถุประสงค์ สถูปถูกสร้างขึ้นตามคติจำลองจักรวาล สะท้อนให้เห็นถึงการเทิดทูนสิ่งสำคัญที่สุด ณ จุดศูนย์กลาง เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า จิตรกรรมมันดาลา เป็นภาพแปลนของสถูปที่จำลองการกำเนิดภพภูมิต่าง ๆ ตามคติ “ไตรภูมิพระร่วง” จิตรกรรมทังกา เป็นสื่อนำจิตเข้าสู่สมาธิด้วย “การมอง” และ “การกระตุ้นเตือนจิตใจ” ปฏิมากรรมพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ สื่อความหมายทำให้ผู้คนเข้าใจในธรรมาธิษฐานของบุคลาธิษฐานนั้น และปรัชญาปารมิตาเป็นคำสอนแนวการปฏิบัติโยคะว่าด้วยเรื่องสุญญตา พุทธศิลป์ลัทธิตันตระแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติโยคะและน้อมนำให้ผู้พบเห็นเข้าใจปรัชญาพุทธตันตระได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์พุทธศิลป์ที่ปรากฏในลัทธิตันตระ ความกลมกลืนระหว่างสรรพสิ่งที่ตรงกันข้ามเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้รู้ (Subject) และสิ่งที่ถูกรู้ (Object) ตามปรัชญาสหภาพนิยม (Unificationism) มีสภาวะสุญญตา เป็นสภาวะแห่งอัลติมะจิต ที่ไม่ยึดติดถือมั่นในรูปขันธ์และนามขันธ์ของบุคคลและสรรพสิ่งเป็นสาระ ดังนั้น เมื่อผู้ปฏิบัติโยคะเพ่งพิจารณาพุทธศิลป์ยับยุมซึ่งเป็นอารมณ์รูปขันธ์ภายนอกจนเกิด ‘สุญญตาภายนอก’ แล้ว และพิจารณาขันธ์ห้าของตนจนเกิด ‘สุญญตาภายใน’ สะท้อนให้เห็น ‘ความว่าง’ ที่หมายความว่า ‘ว่างจากสวภาวะ เป็นความว่างจากการอิงอาศัยเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งให้อุบัติขึ้น’
The objectives of this documentary qualitative research are: 1) to study Buddhist arts, 2) to study Buddhist arts in Tantricism, and 3) to analyze the Buddhist arts in Tantricism. The results of the study were found that: Buddhist arts are the arts implying Buddhist philosophy to bring Buddhist teachings or Dhamma puzzle to viewers and lead them to goodness, mental peace and ideal stability until they can raise their mental level into transcendence. The Buddhist arts are adjusted and adapted to the local cultural criteria and ways of life in the form of architecture, painting, sculpture, and literature in order to lead to Dhamma learning and practice. The Buddhist arts in Tantricism are the arts able to convey Tantric philosophy. Stupas were built according to the concept of cosmology reflecting significant situations in the life of the Buddha. Mandala painting reflects stupa plan of birth and rebirth in planes of existence in the Three Worlds according to King Ruang. Painting is a media leading and prompting the mind into concentration by seeing. Sculpture of the Buddha or Bodhisatva can lead viewers to understand teachings with reference to ideas from personification. Paramita philosophy is the teaching method by yoga practice concerning Suññatā. Each of Buddhist arts in Tantricism is an instrument for yoga practice and leads the practitioners to understand Tantric Buddhist philosophy easier. The analysis of Buddhist arts in Tantricism, harmony of opposite things is unity between subject and object. According to Unificationism, the state of emptiness is the state of ultimate mind detaching from mind and matter of man and material. When the yoga practitioners concentrate and reflect Yabyum Buddhist art which is the sense object of external matter until they access external emptiness, then they continue consideration on one’s own five aggregates until achieving internal emptiness. The internal emptiness reflects the emptiness of existence without factors of causality.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาการพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ๓) เพื่อศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยกำหนดขอบเขตการศึกษาค้นคว้าจาก คัมภีร์พระไตรปิฏก อรรถกถา วิทยานิพนธ์ หนังสือและเอกสารที่เกี่ยวข้องและข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบเฉพาะเจาะจง ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในวิชาการทางพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า กิเลส เป็นต้นเหตุให้สัตว์โลก ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อย่างไม่มีวันสิ้นสุด พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ ด้วยหลัก ๓ ประการคือ ๑) ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๒) อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์ ๘ ๓) การเจริญกรรมฐาน คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน วิธีการดำเนินชีวิตเพื่อพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท มีดังนี้ คือ ๑) ด้วยการปฏิบัติธรรมให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมไม่ประพฤติล่วงละเมิดทางกาย วาจา และใจ ซึ่งกันและกัน ๒) พัฒนาจิตให้ประพฤติธรรมสม่ำเสมอให้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจโดยแยบคายด้วยความคิดอย่างถูกวิธี ๓) บรรลุธรรมที่เป็นอริยบุคคล จากการปฏิบัติในหนทางประเสริฐ หรือหนทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคมีองค์ ๘ ๔) สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว ด้วยการปฏิบัติธรรม และรักษาคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถาวรสืบไป
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาการพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ๓) เพื่อศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยกำหนดขอบเขตการศึกษาค้นคว้าจาก คัมภีร์พระไตรปิฏก อรรถกถา วิทยานิพนธ์ หนังสือและเอกสารที่เกี่ยวข้องและข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบเฉพาะเจาะจง ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในวิชาการทางพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า กิเลส เป็นต้นเหตุให้สัตว์โลก ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อย่างไม่มีวันสิ้นสุด พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ ด้วยหลัก ๓ ประการคือ ๑) ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๒) อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์ ๘ ๓) การเจริญกรรมฐาน คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน วิธีการดำเนินชีวิตเพื่อพ้นภัยในวัฏสงสารตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท มีดังนี้ คือ ๑) ด้วยการปฏิบัติธรรมให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมไม่ประพฤติล่วงละเมิดทางกาย วาจา และใจ ซึ่งกันและกัน ๒) พัฒนาจิตให้ประพฤติธรรมสม่ำเสมอให้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจโดยแยบคายด้วยความคิดอย่างถูกวิธี ๓) บรรลุธรรมที่เป็นอริยบุคคล จากการปฏิบัติในหนทางประเสริฐ หรือหนทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคมีองค์ ๘ ๔) สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว ด้วยการปฏิบัติธรรม และรักษาคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถาวรสืบไป
The objectives of this thesis were as follows: (1) to study the Danger of the Samsara (transmigration or rebirth cycle) in the Theravada Buddhism; (2) to study the release from the Danger of the Samsara as in the Theravada Buddhism view point and (3) to study the way of life that free from the Danger of the Samsara according to the Theravada Buddhism view point. This research is a qualitative study with framework in search of the Tipitaka, Atthakatha , books, relevant documents, and purposive in-depth interviews with key informants who have academic experiences in Buddhism. The results of research were found that: The defilement (Kilesa) is the cause that make every life revolve in the round of rebirth. According to the teaching of the Buddha, there are 3 ways to the gid rid of the defilement: (1) the Threefold Learning (Tri Sikkha) which were trained in morality, concentration and wisdom; (2) the Four Noble Truths, the ways to overcome dangers in the life circle were Dukkha (suffering), Dukkha-samudaya (the origin of suffering), Dukkha-nirodha (the cessation of suffering) and Dukkha-nirodha-gamini patipada (the path to the cessation of suffering) and (3) the 2 meditation principles were 1) Samatha-Kammatthana or the act of mind calming to bring the right concentration and 2) Vipassana-Kammatthana or the act of meditation or contemplation to raise the concentration that bring the wisdom to see everything in the true condition. The benefits of practice to free from the Danger of the Samsara according to the Theravada Buddhism view point: (1) By living with no violate in any way (body, speech or mind) to each other is to make peace. Living without any bias is an optimistic way of life. (2) For the mind develops, the Critical Reflection (Yonisomanasikara) is the way to apply the mind skillfully, or wise reflection leading to wiser decisions. Ultimately, it is the conscious use of thought to bring the mind to peace. (3) For being a noble one by living in the moderate practice (Mashima Patipata) or the Noble Eightfold Path (Atthangika-magga).(4) To extend the age of the Buddhism by practice with the Threefold Learning (Tri Sikkha). This way of living is not only make life happy, but also keep the teaching and prolong the Buddhism too.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์คุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ ในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 397 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามโดยใช้ค่า ไคสแควร์ (Chi - square) โดยใช้นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความซื่อสัตย์ รองลงมาคือ ด้านความมีวินัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านความรับผิดชอบ 2. ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคลกับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล อาชีพ มีความสัมพันธ์กับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ คือ ผู้นำควรประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น และผู้นำควรมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์คุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ ในเขตเทศบาลเมืองศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 397 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามโดยใช้ค่า ไคสแควร์ (Chi - square) โดยใช้นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความซื่อสัตย์ รองลงมาคือ ด้านความมีวินัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านความรับผิดชอบ 2. ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคลกับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล อาชีพ มีความสัมพันธ์กับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่นตามแนววิถีพุทธ คือ ผู้นำควรประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น และผู้นำควรมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
The objectives of this thesis are as follows: 1) the moralites and ethics of local leaders in Buddhist concept in Muang Sila Municipality, Muang Khon Kaen district, KhonKaen province, 2) the moralities and ethic relation of local leaders in Buddhist concept and 3) the suggestion and recommendation of local leaders to develop moralities and ethics in Buddhist concept in Muang Sila Municipality, Muang Khon Kaen district, KhonKaen Province. The researcher collected the data from 397 sampling Data were analyzed using descriptive statistics such as percentages respondents, mean, standard deviation statistics. The researcher tested the relation between independent variances and dependence variance with Chi-square statistics with 0.05 significant statistic. The results of research were found that: 1. People's opinions on morality and ethics of local leaders according to the Buddhist way of life, including 5 aspects, were at a high level. When considering each aspect, it was found that the side with the highest mean was Integrity, followed by discipline and the side with the lowest mean is Responsibility 2. From the test of personal factors with moralities and ethics in Buddhist concept of the local leaders, it was found that professionals had the relation with the moralities and ethics in Buddhist concept with significant level 0.05. 3. There were 2 suggestions form this study. the leaders should do benefits for oneself and others, and the leader should help other without reciprocal benefits.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้างานบริหารวิชาการ และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 315 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า: 1. บทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการแต่งตั้งที่ปรึกษา หรือคณะอนุกรรมการ เพื่อการดำเนินงานตามระเบียบนี้ตามที่เห็นสมควร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนในเขตบริการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและได้มาตรฐาน 2. การบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี 3. บทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 คือ ด้านการส่งเสริมให้มีการพิทักษ์สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความสามารถพิเศษให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ (X6) ด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชนและมีส่วนในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น (X9) ด้านการเสนอแนวทางและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านวิชาการด้านงบประมาณด้านบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไปของสถานศึกษา (X7) ด้านการให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานประจำปี ของสถานศึกษาก่อนเสนอต่อสาธารณชน (X10) และด้านการให้ความเห็นชอบในการจัดทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น (X3) ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการคะแนนมาตรฐาน Z ̂tot = 0.257(Z6) + 0.128(Z9) + 0.177(Z7) + 0.194(Z10) + 0.128(Z3) สมการคะแนนดิบ Y ̂tot= 1.464 + 0.186(X6) + 0.103(X 9) + 0.112(X 7) + 0.152(X 10) + 0.041(X 3)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้างานบริหารวิชาการ และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 315 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า: 1. บทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการแต่งตั้งที่ปรึกษา หรือคณะอนุกรรมการ เพื่อการดำเนินงานตามระเบียบนี้ตามที่เห็นสมควร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนในเขตบริการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและได้มาตรฐาน 2. การบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี 3. บทบาทการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 คือ ด้านการส่งเสริมให้มีการพิทักษ์สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความสามารถพิเศษให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ (X6) ด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชนและมีส่วนในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น (X9) ด้านการเสนอแนวทางและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านวิชาการด้านงบประมาณด้านบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไปของสถานศึกษา (X7) ด้านการให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานประจำปี ของสถานศึกษาก่อนเสนอต่อสาธารณชน (X10) และด้านการให้ความเห็นชอบในการจัดทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น (X3) ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการคะแนนมาตรฐาน Z ̂tot = 0.257(Z6) + 0.128(Z9) + 0.177(Z7) + 0.194(Z10) + 0.128(Z3) สมการคะแนนดิบ Y ̂tot= 1.464 + 0.186(X6) + 0.103(X 9) + 0.112(X 7) + 0.152(X 10) + 0.041(X 3)
This thesis has the objectives 1) to study the role of participation in basic education committees. Under the Samutprakan Primary Educational Service Area Office, Region 1 2) to study academic administration Under the Samutprakan Elementary Education Service Area Office, Regions 1 and 3) to study the role of participation of basic education committees affecting academic administration. Under the Samutprakan Primary Educational Service Area Office 1, the sample group used in this research was the school director. Head of Academic Administration and 315 teachers in educational institutions under Samutprakan Primary Educational Service Area Office 1. The research instrument was a questionnaire. Data were analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation. Finding the Pearson Correlation Coefficient and stepwise multiple regression analysis. The results of research were found that: 1. Role of participation of basic education committees under the Samutprakan primary Educational Service Area Office, Region 1 overall, at a high level. When considering each aspect, it was found that The aspect with the highest average was the appointment of consultants. or sub-committee for the implementation of this regulation as it deems appropriate and the aspect with the lowest average was the aspect of promoting and supporting all children in the service area to receive a thorough, quality and standard basic education. 2. Academic administration under the Samutprakan Primary Educational Service Area Office, Region 1 overall, at a high level. When considering each aspect, it was found that The side with the highest mean is in the development of learning processes The areas with the lowest averages were media development, innovation and technology. 3. The role of participation of the Board of Fundamental Education Institutions affecting Academic administration under the Samutprakan Primary Educational Service Area Office, Region 1 in promoting the protection of children's rights care for disabled children Underprivileged and gifted children to be developed to their full potential (X6) in enhancing the relationship between the school and the community as well as coordinating with the organization public and private sectors To make educational institutions as a source of knowledge for the community and take part in community and local development (X9) in offering guidelines and participating in academic management, budgeting, personnel management. and the general administration of educational institutions (X7). The approval of the annual performance report. of educational institutions before presenting them to the public (X10) and the approval of the preparation of curriculum contents in accordance with local needs (X3) affecting academic administration. Under the Samutprakan Primary Educational Service Area Office 1, the statistical significance at the .01 level and the .05 level of the statistical significance can be written as follows: The Predictive Equation in Standardized score: Z ̂tot = 0.257(Z6) + 0.128(Z9) + 0.177(Z7) + 0.194(Z10) + 0.128(Z3) The Predictive Equation in Unstandardized score: Y ̂tot= 1.464 + 0.186(X6) + 0.103(X 9) + 0.112(X 7) + 0.152(X 10) + 0.041(X 3)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัญหาในการสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุ ตำบลขี้เหล็กอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามหลักเบญจศีลในการสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุ ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเสนอแนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะตามหลักเบญจศีลของผู้สูงอายุ ตำบล ขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้สูงอายุในตำบลขี้เหล็ก 15 คน นายกเทศบาลตำบลขี้เหล็ก กำนันตำบลขี้เหล็ก และนักพัฒนาชุมชน โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง จากโรงเรียนผู้สูงอายุตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: ผู้สูงอายุมีปัญหาในการสร้างเสริมสุขภาวะทั้งทางด้านร่างกายทางจิตใจ ทางสังคมและทางสติปัญญา อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายจิตใจสังคมและสติปัญญา ดีและแข็งแรง ภาวะเศรษฐกิจเป็นส่วนที่กระทบในการส่งเสริมการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพได้ประโยชน์เกื้อกูลไม่เกิดโทษ อารมณ์ดีจิตใจดี สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นครอบครัวเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านกรณีเจ็บป่วยช่วยให้ฟื้นตัวจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วขึ้น มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจชีวิตและโลกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง สามารถอยู่กับความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้อย่างปกติสุข การปฏิบัติตามหลักเบญจศีลในการสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุในปัจจุบันทำให้ผู้สูงอายุมีการปฏิบัติตามหลักเบญจศีล เข้าใจชีวิตมากขึ้น พัฒนาตนเองให้เป็นคนทันสมัย ทันโลกทันเหตุการณ์ วางตัวให้เป็นที่น่าเคารพนับถือ มีศักยภาพไปช่วยชุมชน ไม่ปล่อยเวลาว่างให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ และผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไม่ประมาท แนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะตามหลักเบญจศีลของผู้สูงอายุ ยังต้องอาศัยหลักการดำเนินงานกิจกรรม/งานโครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามคติความเชื่อของพระพุทธศาสนา รวมทั้งการดำเนินการตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาเป็นกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชุมชน โดยอาศัยวัดเป็นสถานที่ดำเนินการ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ รวมทั้งอาศัยวัฒนธรรมท้องถิ่นดำเนินกิจกรรม เช่น โครงการอบรมธรรมะ แก่อุบาสก อุบาสิกา และประชาชน ทั่วไป กิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การสวดมนต์ข้ามปี การตักบาตรเที่ยงคืน โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ภาษาล้านนา ตำรายาสมุนไพร การปรุงและรับประทานอาหารพื้นเมือง การหัตถกรรม เป็นต้น การดำเนินกิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้น เป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาวะที่ดีต่อผู้สูงอายุทั้งสิ้น
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัญหาในการสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุ ตำบลขี้เหล็กอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามหลักเบญจศีลในการสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุ ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเสนอแนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะตามหลักเบญจศีลของผู้สูงอายุ ตำบล ขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้สูงอายุในตำบลขี้เหล็ก 15 คน นายกเทศบาลตำบลขี้เหล็ก กำนันตำบลขี้เหล็ก และนักพัฒนาชุมชน โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง จากโรงเรียนผู้สูงอายุตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: ผู้สูงอายุมีปัญหาในการสร้างเสริมสุขภาวะทั้งทางด้านร่างกายทางจิตใจ ทางสังคมและทางสติปัญญา อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายจิตใจสังคมและสติปัญญา ดีและแข็งแรง ภาวะเศรษฐกิจเป็นส่วนที่กระทบในการส่งเสริมการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพได้ประโยชน์เกื้อกูลไม่เกิดโทษ อารมณ์ดีจิตใจดี สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นครอบครัวเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านกรณีเจ็บป่วยช่วยให้ฟื้นตัวจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วขึ้น มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจชีวิตและโลกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง สามารถอยู่กับความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้อย่างปกติสุข การปฏิบัติตามหลักเบญจศีลในการสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุในปัจจุบันทำให้ผู้สูงอายุมีการปฏิบัติตามหลักเบญจศีล เข้าใจชีวิตมากขึ้น พัฒนาตนเองให้เป็นคนทันสมัย ทันโลกทันเหตุการณ์ วางตัวให้เป็นที่น่าเคารพนับถือ มีศักยภาพไปช่วยชุมชน ไม่ปล่อยเวลาว่างให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ และผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไม่ประมาท แนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะตามหลักเบญจศีลของผู้สูงอายุ ยังต้องอาศัยหลักการดำเนินงานกิจกรรม/งานโครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามคติความเชื่อของพระพุทธศาสนา รวมทั้งการดำเนินการตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาเป็นกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชุมชน โดยอาศัยวัดเป็นสถานที่ดำเนินการ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ รวมทั้งอาศัยวัฒนธรรมท้องถิ่นดำเนินกิจกรรม เช่น โครงการอบรมธรรมะ แก่อุบาสก อุบาสิกา และประชาชน ทั่วไป กิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การสวดมนต์ข้ามปี การตักบาตรเที่ยงคืน โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งในเรื่องของการเรียนรู้ภาษาล้านนา ตำรายาสมุนไพร การปรุงและรับประทานอาหารพื้นเมือง การหัตถกรรม เป็นต้น การดำเนินกิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้น เป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาวะที่ดีต่อผู้สูงอายุทั้งสิ้น
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study problems in enhancing health of elderly in Khilek sub-district, Maetaeng district, Chiang Mai province, 2) to study observance of 5 precepts for enhancing health of the elderly in Khilek sub-district, Maetaeng district, Chiang Mai province, and 3) to propose guidelines for health enhancement according to 5 precepts of the elderly in Khilek sub-district, Maetaeng District, Chiang Mai province. The target group consisted of 15 elderly people in Khilek sub-district, mayor, sub-district headman and community developer by purposive selection from Senior School, Khilek sub-district, Maetaeng district, Chiang Mai province. Tool for data collection was in-depth interview and data were analyzed in descriptive manner. The results of research were found that: The elderly had problems in enhancing their physical and mental health, society and intellect .Food was essential in keeping body, mind, society and intellect healthy and strong. Economic condition played a role in promoting healthy consumption. Contacts related to the physical environment were beneficial and harmless. Good mood and happy mind enabled to live with others, family, friends colleagues and neighbors. In case of illness, they helped them recover from illness faster. The elderly gained knowledge, opinions and an accurate understanding of life and the world as they were and they were able to live normally with reality of the world and life. The practice of 5 precepts in enhancing health of elderly at present had made the elderly to practice the 5 precepts. They understood life better and developed themselves to be modern and kept up with the world. They were made respectful people with potential to help the community. They spent no free time in vain and they regularly exercised. The elderly could carefully spend the rest of their lives. Guidelines for enhancing health according to the 5 principles of the elderly still needed to rely on the principles of activities/projects related to Buddhist activities as mental anchor for participants in the activities according to their beliefs of Buddhism including the implementation of local culture that had been passed down as a mechanism in driving to be consistent with the beliefs and way of life of the community by relying on the temple as a place of operation. This was to develop and enhance the health of the elderly as well as relying on local culture to carry out activities such as Dhamma training programs for Buddhist laymen and the general public. Activities on important Buddhist days such as Buddhist chanting over the year and midnight alms by relying on local wisdom including learning Lanna language, herbal medicine textbook, cooking and eating local food, handicrafts and etc. as earlier mentioned became the guidelines to enhance good health for all elderly people.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) 3) เพื่อวิเคราะห์หลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล)งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร โดยสำรวจข้อมูลชั้นปฐมภูมิโดยการสัมภาษณ์ และข้อมูลทุติยภูมิ จากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำราวิชาการ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า: หลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาเถรวาท ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติตามหลักของไตรสิกขา คือ สมถกัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน และข้อปฏิบัติธุดงค์ เพื่อเข้าถึงประโยชน์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน หลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) เน้นความเข้าใจปริยัติจากการศึกษาพระไตรปิฎก และการปฏิบัติจริงให้สมบูรณ์ในไตรสิกขาในรูปแบบของสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พร้อมข้อปฏิบัติธุดงค์ เพื่อให้เข้าถึงความสมบูรณ์พร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ถึงพร้อมแห่งวิปัสสนาญาณ กระทำโพธิปักขิธรรม 37 ประการให้บริบูรณ์ มีเป้าหมายสูงสุด คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน และ หลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาเถรวาทกับหลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) มีความสอดคล้องกัน และแตกต่างกัน ในการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พร้อมข้อปฏิบัติธุดงค์
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) 3) เพื่อวิเคราะห์หลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล)งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร โดยสำรวจข้อมูลชั้นปฐมภูมิโดยการสัมภาษณ์ และข้อมูลทุติยภูมิ จากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำราวิชาการ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า: หลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาเถรวาท ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติตามหลักของไตรสิกขา คือ สมถกัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน และข้อปฏิบัติธุดงค์ เพื่อเข้าถึงประโยชน์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน หลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) เน้นความเข้าใจปริยัติจากการศึกษาพระไตรปิฎก และการปฏิบัติจริงให้สมบูรณ์ในไตรสิกขาในรูปแบบของสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พร้อมข้อปฏิบัติธุดงค์ เพื่อให้เข้าถึงความสมบูรณ์พร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ถึงพร้อมแห่งวิปัสสนาญาณ กระทำโพธิปักขิธรรม 37 ประการให้บริบูรณ์ มีเป้าหมายสูงสุด คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน และ หลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาเถรวาทกับหลักปฏิบัติของพระอริยเวที (เขียน ฐิตฺสีโล) มีความสอดคล้องกัน และแตกต่างกัน ในการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พร้อมข้อปฏิบัติธุดงค์
The objectives of this qualitative research were 1) to study the practice of Buddhism, 2) to study the practice of Phra Ariyavedhí (Khian Thittasilo), and 3) to analyze the practice of Phra Ariyavedhí (Khian Thittasilo). Data were collected in two ways, namely; collecting primary source data by interviewing; and collecting secondary source data from the Tipitaka, commentaries, academic texts, documents and related research by documentary research method. The results of the research were found that: The practice of Theravada Buddhism is the practice of the Threefold Principles including Samatha meditation, Vipassanā meditation, and Dhutanga Meditation to achieve the ultimate goal, Nirvana; The practice of the Phra Ariyavedhí (Khian Thittasilo)emphasizes the understanding of the Buddhist scriptures from the study of the Tipitaka and the practice of the Threefold Principles in the form of Samatha meditation, Vipassanā meditation, and Dhutanga Meditation to attain the perfection of wholesome virtues, insight, Bodhipakkhiyā Dhammā 37, and attain Nirvana; and The practice of Theravada Buddhism and the practice of the Phra Ariyavedhí (Khian Thittasilo)are both consistent and different in the practice of Samatha meditation, Vipassanā meditation, and Dhutanga Meditation.
หนังสือ

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 2) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 และ 3) การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 จำนวน 94 แห่ง กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 94 คน ข้าราชการครู จำนวน 282 คน บุคลากรในโรงเรียนจำนวน 94 คน รวมทั้งสิ้น 470 คน โดยการสุ่มหลายขั้นตอน (Multistate Random) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ดัชนีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.974 และ 0.981 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต ("X" ̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า. 1. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยจัดอันดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ การรักษาวินัยในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การสรรหาในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การจัดสวัสดิการในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การวางแผนในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การพัฒนาบุคลากรในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ ตามลำดับ 2. บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยจัดอันดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความรับผิดชอบงาน (Responsibility) โครงสร้างการปฏิบัติงาน (Structure) การสนับสนุนการปฏิบัติงาน (Support) มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standards) การมุ่งเน้นรางวัล (Reward orientation) ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ การรักษาวินัยในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X4) การวางแผนในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X1) การจัดสวัสดิการในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X5) การสรรหาในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X2) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทํานายหรืออำนาจพยากรณ์ร้อยละ 73.70 (R2 = 0.737) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการรูปคะแนนดิบ "Y" ̂ = 0.524 + 0.305 (X4) + 0.225 (X1) + 0.202 (X5) + 0.147 (X2) สมการรูปคะแนนมาตรฐาน "Z" ̂ = 0.323 (X4) + 0.217 (X1) + 0.215 (X5) + 0.163 (X2)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 2) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 และ 3) การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 จำนวน 94 แห่ง กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 94 คน ข้าราชการครู จำนวน 282 คน บุคลากรในโรงเรียนจำนวน 94 คน รวมทั้งสิ้น 470 คน โดยการสุ่มหลายขั้นตอน (Multistate Random) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ดัชนีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.974 และ 0.981 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต ("X" ̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า. 1. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยจัดอันดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ การรักษาวินัยในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การสรรหาในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การจัดสวัสดิการในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การวางแผนในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ การพัฒนาบุคลากรในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ ตามลำดับ 2. บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยจัดอันดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความรับผิดชอบงาน (Responsibility) โครงสร้างการปฏิบัติงาน (Structure) การสนับสนุนการปฏิบัติงาน (Support) มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standards) การมุ่งเน้นรางวัล (Reward orientation) ตามลำดับ 3. การบริหารงานบุคคลเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ การรักษาวินัยในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X4) การวางแผนในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X1) การจัดสวัสดิการในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X5) การสรรหาในการบริหารงานบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ (X2) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทํานายหรืออำนาจพยากรณ์ร้อยละ 73.70 (R2 = 0.737) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถเขียนความสัมพันธ์ในรูปสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ สมการรูปคะแนนดิบ "Y" ̂ = 0.524 + 0.305 (X4) + 0.225 (X1) + 0.202 (X5) + 0.147 (X2) สมการรูปคะแนนมาตรฐาน "Z" ̂ = 0.323 (X4) + 0.217 (X1) + 0.215 (X5) + 0.163 (X2)
The objectives of this thesis were to study 1) Integrated Personnel Management in Sangahavattha Principles in schools under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2. 2) Organizational Atmosphere of schools under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2. and 3) Integrated Personnel Management in Sangahavattha Principles Affecting Organizational Atmosphere in Schools under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2. The sample consisted of 94 Schools under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2. The group of informants consisted of 94 school administrators, 282 government teachers, 94 school personnel, a total of 470 people, by multistate randomization. The instrument used was a questionnaire, a rating scale with a content validity index between 0.80–1.00 and a confidence index of 0.974 and 0.981. The statistics used in the data analysis were frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation, and stepwise multiple regression analysis. The results of research were found that: 1. Integrated Personnel Management on Sangahavattha Principles in Schools Under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2, the overall is at a high level. When considering each aspect, it was at a high level in every aspect. The average is ranked from highest to lowest as follows: Maintaining discipline, Recruitment, Welfare, Planning and Development in personnel management according to Sangahavattha principles, respectively. 2. Organizational atmosphere of Schools Under the Office of Phetchaburi Primary Educational Service Area 2, the overall is at a high level. When considering each aspect, it was at a high level in every aspect. The average is ranked from highest to lowest as follows: Responsibility, Structure, Performance Support, Standards, Reward orientation, respectively. 3. The integration of personnel management with Sangahavathu principles affecting organizational atmosphere in schools under Phetchaburi Primary Educational Service Area Office 2, The average is ranked from highest to lowest as follows: Maintaining discipline (X4), Planning (X1), Welfare (X5) and Recruitment (X2) in personnel management according to Sangahavattha principles. The predictive coefficient or predictive power of 73.70% (R2 = 0.737) was statistically significant at the .01 level. The relationship can be written in the form of a forecast equation as follows. Raw score form equation "Y" ̂ = 0.524 + 0.305 (X4) + 0.225 (X1) + 0.202 (X5) + 0.147 (X2). Standard score equation "Z" ̂ = 0.323 (X4) + 0.217 (X1) + 0.215 (X5) + 0.163 (X2).
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาแนวคิดระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย 2) ศึกษาแนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ 3) วิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทย เป็นการวิจัยเชิงเอกสารแล้ววิเคราะห์ ประมวลผลเนื้อหาว่าระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยเป็นปัญหาเชิงพุทธจริยศาสตร์หรือไม่อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์พรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. ลักษณะระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยมีลักษณะการกระทำในสองลักษณะคือ การกระทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยชอบด้วยกฎหมายและการกระทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 2. แนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ ถือหลักการว่าการจะตัดสินการกระทำใดเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีใช้การกระทำหรือกรรมเป็นเครื่องชี้วัด และการกระทำที่จะถือว่าเป็นกรรมได้นั้น จักต้องเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงสภาพของจิตใจของผู้กระทำ สำนึกมโนธรรม หลักความสันโดษ ความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ ผลของการกระทำและหลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติศีล 3. เมื่อวิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทยโดยใช้หลักมูลเหตุอันเป็นการส่อถึงเจตนาที่เป็นกุศลมูลหรืออกุศลมูล หลักความสันโดษ หลักมโนธรรมสำนึก หลักการฟังความเห็นหรือพิจารณาความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ และหลักพิจารณาลักษณะและผลของการกระทำหรือดูผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองลักษณะนี้เป็นสิ่งที่พุทธศาสนา ไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อพิจารณาตามสภาวะว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ การกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ ส่วนการกระทำลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ เมื่อใช้หลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติของศีลในระดับโลกิยะธรรมคือ ศีล 5 พบว่าไม่ล่วงละเมิดศีล ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 อาจละเมิดศีลข้อที่ 4 และไม่ละเมิดศีลข้อที่ 5
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาแนวคิดระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย 2) ศึกษาแนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ 3) วิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทย เป็นการวิจัยเชิงเอกสารแล้ววิเคราะห์ ประมวลผลเนื้อหาว่าระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยเป็นปัญหาเชิงพุทธจริยศาสตร์หรือไม่อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์พรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. ลักษณะระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยมีลักษณะการกระทำในสองลักษณะคือ การกระทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยชอบด้วยกฎหมายและการกระทำที่เอื้อประโยชน์กันโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 2. แนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ ถือหลักการว่าการจะตัดสินการกระทำใดเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีใช้การกระทำหรือกรรมเป็นเครื่องชี้วัด และการกระทำที่จะถือว่าเป็นกรรมได้นั้น จักต้องเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงสภาพของจิตใจของผู้กระทำ สำนึกมโนธรรม หลักความสันโดษ ความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ ผลของการกระทำและหลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติศีล 3. เมื่อวิเคราะห์ปัญหาพุทธจริยศาสตร์ ในระบบอุปถัมภ์ของระบบราชการไทยโดยใช้หลักมูลเหตุอันเป็นการส่อถึงเจตนาที่เป็นกุศลมูลหรืออกุศลมูล หลักความสันโดษ หลักมโนธรรมสำนึก หลักการฟังความเห็นหรือพิจารณาความยอมรับของวิญญูชนหรือนักปราชญ์ และหลักพิจารณาลักษณะและผลของการกระทำหรือดูผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองลักษณะนี้เป็นสิ่งที่พุทธศาสนา ไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อพิจารณาตามสภาวะว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ การกระทำในลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ หรือไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ ส่วนการกระทำลักษณะที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ เมื่อใช้หลักของการล่วงละเมิดหลักการแห่งบทบัญญัติของศีลในระดับโลกิยะธรรมคือ ศีล 5 พบว่าไม่ล่วงละเมิดศีล ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 อาจละเมิดศีลข้อที่ 4 และไม่ละเมิดศีลข้อที่ 5
The objectives of this thesis were as follows 1) to study concept of patronage system in Thai bureaucracy, 2) to study concept of Buddhist ethics, and 3) to analyze problems in Buddhist ethics in patronage system of Thai government system. It was a documentary research with analysis and content assessment to find out how patronage system in Thai bureaucracy became Buddhist ethical problem. The data were analyzed in descriptive manner. The results of research were found that: 1. Characteristics of patronage system in Thai bureaucratic system were characterized by two types of actions; acts of lawful mutual benefit and acts of unlawful mutual benefit. 2. The concept of Buddhist ethics held the principle of deciding what action was good or bad by using actions or karma as a measure and the act that could be regarded as karma must be an act of intent. It also considered a state of mind of the doer, a sense of conscience, the principle of solitude, an acceptance of wise man or scholar, result of action and the principle of transgression of principles of precepts. 3. when analyzing Buddhist ethical problems in the patronage system of the Thai bureaucracy with the cause that implied wholesome ior unwholesome intention, principle of solitude, principle of conscience, principles of listening to opinions or considering the acceptance of wise man or scholar and the principle of considering nature and consequence of action or its effect on oneself and others whether it was acting in a manner that provided a legitimate interest or an unlawful benefit, these 2 characteristics were things that Buddhism did not accept and It was considered a bad thing. When considering according to the condition whether it was beneficial to the spiritual life or not, acting in a manner that benefited with law still couldn’t judge whether it was contributing to the spiritual life or not. As for the act of unlawful mutual benefit, it was considered unfavorable to one's life. When applying the principle of transgression of the precepts in the secular world, the 5 precepts, it was found that it did not violate the 1st precept, 2nd precept and the 3rd precept. But, it might violate the 4th precept and it again did not violate the 5th precept.
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตาม เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ประชากรในการวิจัยครั้งนี้เป็นครูผู้สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 105 คน และผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านกรุณา รองลงมาคือ ด้านอุเบกขา ด้านมุทิตา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ด้านเมตตา 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำแนกตาม เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า โดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ยกเว้น ประสบการณ์การทำงาน ที่ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรมได้แนวทาง ดังนี้ (1) การแสดงออกถึงความรักความปรารถนาดี ให้ความช่วยเหลือให้ทุกคนประสบแต่ประโยชน์และมีความสุขโดยทั่วกัน และยึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม (2) หากการทำงานเกิดปัญหาหรืออุปสรรค สิ่งแรกที่หัวหน้าควรทำ คือการพูดคุย สอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมชี้แนะแนวทางการแก้ไขและพูดให้กำลังใจ โดยไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง (3) ความยินดี พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีได้รับความสำเร็จ มีความสุขมีความเจริญก้าวหน้า ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับ ไม่มีความอิจฉาริษยากันในความสำเร็จของผู้อื่นด้วยการพูดแสดงความยินดี (4) เมื่อประสบกับอุปสรรคในการทำงานใด ๆ ต้องให้ความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ไม่ซ้ำเติมด้วยการลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ลงโทษโดยไร้เหตุผล
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตาม เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ประชากรในการวิจัยครั้งนี้เป็นครูผู้สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 105 คน และผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านกรุณา รองลงมาคือ ด้านอุเบกขา ด้านมุทิตา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ด้านเมตตา 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำแนกตาม เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า โดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ยกเว้น ประสบการณ์การทำงาน ที่ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรมได้แนวทาง ดังนี้ (1) การแสดงออกถึงความรักความปรารถนาดี ให้ความช่วยเหลือให้ทุกคนประสบแต่ประโยชน์และมีความสุขโดยทั่วกัน และยึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม (2) หากการทำงานเกิดปัญหาหรืออุปสรรค สิ่งแรกที่หัวหน้าควรทำ คือการพูดคุย สอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมชี้แนะแนวทางการแก้ไขและพูดให้กำลังใจ โดยไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง (3) ความยินดี พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีได้รับความสำเร็จ มีความสุขมีความเจริญก้าวหน้า ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับ ไม่มีความอิจฉาริษยากันในความสำเร็จของผู้อื่นด้วยการพูดแสดงความยินดี (4) เมื่อประสบกับอุปสรรคในการทำงานใด ๆ ต้องให้ความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ไม่ซ้ำเติมด้วยการลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ลงโทษโดยไร้เหตุผล
The objectives of the research were 1) to study personnel management based on the Four Sublime States of Mind by administrators of the General Education Section of Phrapariyattidhamma School in Kalasin Province, 2) to compare the personnel management based on the Four Sublime States of Mind by administrators classified by gender, age and working experiences, and 3) to find out the guidelines for personnel management based on the Four Sublime States of Mind by administrators as mentioned. Population were the teachers, totally 105 in number and 5 interviews. The instrument for collecting the data was the five-rating scale questionnaire, with its reliability value at 0.98 and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices composed of Frequency, percentage, mean, standard deviation. The hypothesis was tested with t-test. The research results were as follows: 1) personnel management based on the Four Sublime States of Mind by administrators of the General Education Section of Phrapariyattidhamma School In Kalasin Province was found, in both overall and individual aspects, to stand at a 'MUCH' level. The leading aspect was that of compassion, followed by equanimity, sympathetic joy and loving-kindness, respectively. 2) The comparison of personnel management based on the Four Sublime States of Mind by administrators in mention classified by gender and age was found to show statistically significant difference of .05 in both overall and individual dimensions, with exception to the comparison in the aspect of working experiences that showed no difference. 3) The guidelines for application of the Four Sublime States of Mind to personnel administration by administrators as suggested by the responses were: (1) The participatory administration should be implemented and the expression of loving-kindness and compassion should be all-covering without discrimination. (2) In case there have been arisen either problems or obstacles, the administrator should help solve them by providing advices and solutions instead of leaving them to be redressed by the subordinates themselves. (3) The expression of congratulations or sympathetic joy should be performed in case of any rewards or success being received or achieved by some colleagues. (4) In case of wrongdoings committed by any staff members, the clear and fair investigation and probation should be undertaken in order to prevent unjust punishment.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 3) เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสารโดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น ควรพัฒนาทั้ง 3 ด้าน คือการพัฒนาตนให้เป็นคนที่มีศักยภาพ มีความพร้อม มีความรู้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนา สมรรถนะอันจะนำไปสู่การพัฒนาคนในองค์กร การพัฒนาคนให้มีความพร้อมมีความสามารถในปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนด มีความสุขในการทำงาน การพัฒนางานเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาตน และ พัฒนาคนในองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์จากการพัฒนาทั้ง 3 ด้านไปพร้อมกัน หลักพุทธปรัชญาเถรวาทสำหรับนำมาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลักธรรมที่มุ่งพัฒนาตน ได้แก่เบญจศีล-เบญจธรรม หลักธรรมที่นำมาพัฒนาคนได้แก่ภาวนา 4 และหลักธรรมที่นำมาพัฒนางานได้แก่ อิทธิบาท 4 หลักธรรมทั้ง 3 นี้ เป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาชีวิตของมนุษย์ที่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างชัดเจน และมีความสำคัญในการพัฒนามนุษย์ให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ มีศักยภาพพร้อมในการปฏิบัติงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ต้องพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน เพราะว่าการที่จะพัฒนาตนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลนั้นบุคคลจะต้องมีศีลธรรมก่อนด้วยการทำตนให้เป็นคนดี จึงจะนำไปสู่การพัฒนาคนอื่นได้ เมื่อบุคคลในองค์กรได้รับการพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะเกิดการพัฒนางานให้ประสบความสำเร็จด้วยการใช้หลักพุทธปรัชญามาสนับส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพเพราะ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญขององค์กรทุกองค์กร
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 3) เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสารโดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น ควรพัฒนาทั้ง 3 ด้าน คือการพัฒนาตนให้เป็นคนที่มีศักยภาพ มีความพร้อม มีความรู้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนา สมรรถนะอันจะนำไปสู่การพัฒนาคนในองค์กร การพัฒนาคนให้มีความพร้อมมีความสามารถในปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนด มีความสุขในการทำงาน การพัฒนางานเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาตน และ พัฒนาคนในองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์จากการพัฒนาทั้ง 3 ด้านไปพร้อมกัน หลักพุทธปรัชญาเถรวาทสำหรับนำมาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลักธรรมที่มุ่งพัฒนาตน ได้แก่เบญจศีล-เบญจธรรม หลักธรรมที่นำมาพัฒนาคนได้แก่ภาวนา 4 และหลักธรรมที่นำมาพัฒนางานได้แก่ อิทธิบาท 4 หลักธรรมทั้ง 3 นี้ เป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาชีวิตของมนุษย์ที่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างชัดเจน และมีความสำคัญในการพัฒนามนุษย์ให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ มีศักยภาพพร้อมในการปฏิบัติงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ต้องพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน เพราะว่าการที่จะพัฒนาตนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลนั้นบุคคลจะต้องมีศีลธรรมก่อนด้วยการทำตนให้เป็นคนดี จึงจะนำไปสู่การพัฒนาคนอื่นได้ เมื่อบุคคลในองค์กรได้รับการพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะเกิดการพัฒนางานให้ประสบความสำเร็จด้วยการใช้หลักพุทธปรัชญามาสนับส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพเพราะ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญขององค์กรทุกองค์กร
The objectives of this thesis are: 1) to study the development of human resources, 2) to study the Thevada Buddhist Philosophy in Human Resource Development, and 3) to analyze the development of human resources based on Theravada Buddhist philosophy. The data of this qualitative research were collected from documents. The results of the study were as follows: Human resource development should come together under 3 areas; developing oneself to be potential, ready, and knowledgeable for work, developing people to be ready and able to perform tasks according to the specified goals with happiness and satisfaction, and developing work that is a consequence of personal development and human development in the organization. This will lead to the achievement of development in all three areas simultaneously. Theravada Buddhist philosophy for human resource development in self-improvement is the Five Precepts and the Five Virtues, the four principles of Bhavana for human development, and Iddhipada for work development. All these Buddhist principles are suitable for human resources development because they have clear steps in human life development. Human resources development can be complete in both physical and mental development at the same time. Self- development can be effective with having morals first, and then the achievement of person development and work development will come along. The application of Buddhist philosophy in Human resource development is necessary because human resources are significant factors of organizations.
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 338 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One – Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F – test หากพบว่าความแตกต่าง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติจะทําการทดสอบด้วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบพหุคูณ (Multiple Comparison Test) ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe's Method) ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านจริยธรรม (Ethics) รองลงมาคือด้านจิตวิญญาณ (Spirituality) ด้านวิสัยทัศน์ (Vision) และด้านการใฝ่บริการ (Service Mind) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านสมรรถนะ (Competency) 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษา แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นตำแหน่งประสบการณ์การทำงาน ที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) แนวทางเกี่ยวกับการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษา ได้แนวทาง ดังนี้ (1) ผู้บริหารสร้างวิสัยทัศน์ต้องมีความชัดเจน เผยแพร่วิสัยทัศน์ให้บุคลากรและบุคคลภายนอกทราบ สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง (2) การให้เกียรติและไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีความจริงใจคอยให้ความช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้บุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมบริหารกิจกรรมนักเรียน (3) การให้ความรักและเอาใจใส่กับเพื่อนร่วมงาน ทุ่มเทเสียสละการทำงานในหน้าที่อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดี แสดงออกทางกาย วาจา อย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ (4) รับรู้ถึงความสามารถของตนเองในการนำองค์กรไปสู่การพัฒนา มีความรอบรู้ รู้กว้าง รู้ไกล ช่างสังเกต รู้จักฟังอยู่เสมอ (5) ผู้บริหารต้องบริหารสถานศึกษาอย่างโปร่งใส ยึดถือคุณธรรม ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน วางใจเป็นกลางเพื่อรักษาความยุติธรรม
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 338 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One – Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F – test หากพบว่าความแตกต่าง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติจะทําการทดสอบด้วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบพหุคูณ (Multiple Comparison Test) ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe's Method) ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านจริยธรรม (Ethics) รองลงมาคือด้านจิตวิญญาณ (Spirituality) ด้านวิสัยทัศน์ (Vision) และด้านการใฝ่บริการ (Service Mind) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านสมรรถนะ (Competency) 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษา แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นตำแหน่งประสบการณ์การทำงาน ที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) แนวทางเกี่ยวกับการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษา ได้แนวทาง ดังนี้ (1) ผู้บริหารสร้างวิสัยทัศน์ต้องมีความชัดเจน เผยแพร่วิสัยทัศน์ให้บุคลากรและบุคคลภายนอกทราบ สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง (2) การให้เกียรติและไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีความจริงใจคอยให้ความช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้บุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมบริหารกิจกรรมนักเรียน (3) การให้ความรักและเอาใจใส่กับเพื่อนร่วมงาน ทุ่มเทเสียสละการทำงานในหน้าที่อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดี แสดงออกทางกาย วาจา อย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ (4) รับรู้ถึงความสามารถของตนเองในการนำองค์กรไปสู่การพัฒนา มีความรอบรู้ รู้กว้าง รู้ไกล ช่างสังเกต รู้จักฟังอยู่เสมอ (5) ผู้บริหารต้องบริหารสถานศึกษาอย่างโปร่งใส ยึดถือคุณธรรม ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน วางใจเป็นกลางเพื่อรักษาความยุติธรรม
The objectives of the research were 1) to study leadership based on the seven principles of Kalayanamittadhamma of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office Surin, 2) to compare leadership based on the seven principles of Kalayanamittadhamma of school administrators classified by positions, education and working experiences and, 3) to find out the guidelines for development leadership based on the seven principles of Kalayanamittadhamma of the said schools. Samples were the administrators and teachers, totally 338 in number and 10 interviews. The instrument for collecting the data was the questionnaire, with its reliability value at 0.98 and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices composed of Frequency, percentage, mean ( ), standard deviation (S.D.) The hypothesis was tested with t-test and One-way ANOVA F-test. The research results were as follows: 1) The leadership based on the seven principles of Kalyanamittadhamma of school administrators under the Secondary Educational Service Office Surin was found, in both overall and individual aspects, to stand at a 'MUCH' level. The leading aspect was that of ethics, followed by spirituality, vision, service mind and competency, respectively. 2) The comparison of the leadership of the school administrator in mention classified by education was found to show no difference in both overall and individual dimensions. The statistically significant difference of .05 was found in the comparison in terms of position and job experiences. 3) The guidelines for developing the leadership as suggested by the responses were (1) The executive vision should be designed clearly, made own to the staff members and could be brought into practice. (2) The honor and merit system together with participatory management should be followed. (3) The administrators should be fair and sincere to colleagues, work hard and faithfully, and be a good example for the staff members to follow suit. (4) The administrators should always keep fresh his competency and knowledge to ensure the progressive development of the school. (5) The principle of transparency, integrity and honesty should be implemented in school management to maintain impartiality.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมการทำบุญในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการทำบุญแซนโฎนตาของชาวจังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรมในการทำบุญแซนโฎนตาของชาวจังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวบรวมข้อมูล แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า: ที่มาด้านความเชื่อของชุมชนที่มีต่อประเพณีแซนโฎนตาของชาวไทยเชื้อสายเขมร มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติและพลังลึกลับ โดยเฉพาะความเชื่อต่อดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ว่ายังมีการวนเวียนและดูแลครอบครัวและสมาชิก และเชื่อว่าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษนี้สามารถให้คุณและโทษได้แก่ครอบครัวและสมาชิกได้ และมีการยอมรับนับถือนี้ได้เป็นบ่อเกิดที่มาของประเพณีของชุมชนจนมาถึงปัจจุบัน พิธีกรรมแซนโฎนตาของชาวไทยเชื้อสายเขมร ตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญของประเพณี ครอบครัวและลูกหลาน พี่น้อง เครือญาติมักให้ความสำคัญกับการจัดพิธีแซน มี 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) การจัดในบริเวณบ้านของตนเอง (2) การจัดในชุมชนเพื่อประกอบพิธีกรรม และ(3) การจัดการทำบุญในวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลตามแบบทางพระพุธศาสนามีขั้นตอน ได้แก่ (1) การสื่อสารถึงลูกหลานเพื่อบอกกล่าวล่วงหน้า (2) การกำหนดสถานที่ประกอบพิธี (3) เตรียมสิ่งของเพื่อเซ่นไหว้ (4) ไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มีรูปแบบ ได้แก่ การเซ่นไหว้มักเป็นการรวมตัวกับสมาชิกครอบครัวและเครือญาติเพื่อประกอบพิธีกรรมในวัน เวลา ดังกล่าว และลักษณะในการประกอบพิธีกรรมและมีรูปแบบในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อทำบุญอุทิศตามแนวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีสมาชิกในครอบครัวร่วมกันไปทำบุญอุทิศ และทำพิธีกรรมชักผ้าบังสุกุลให้กับผู้ตาย มีความเชื่อว่าผลบุญที่ทำจะส่งถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษให้มีความสุขและปราศจากความหิวโหยและคุณค่าจากประเพณีแซนโฎนตา จะให้ความสำคัญทางด้านจิตใจ และการควบคุมจิตและประพฤติกรรมของชุมชนและสังคม
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมการทำบุญในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการทำบุญแซนโฎนตาของชาวจังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรมในการทำบุญแซนโฎนตาของชาวจังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวบรวมข้อมูล แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า: ที่มาด้านความเชื่อของชุมชนที่มีต่อประเพณีแซนโฎนตาของชาวไทยเชื้อสายเขมร มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติและพลังลึกลับ โดยเฉพาะความเชื่อต่อดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ว่ายังมีการวนเวียนและดูแลครอบครัวและสมาชิก และเชื่อว่าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษนี้สามารถให้คุณและโทษได้แก่ครอบครัวและสมาชิกได้ และมีการยอมรับนับถือนี้ได้เป็นบ่อเกิดที่มาของประเพณีของชุมชนจนมาถึงปัจจุบัน พิธีกรรมแซนโฎนตาของชาวไทยเชื้อสายเขมร ตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญของประเพณี ครอบครัวและลูกหลาน พี่น้อง เครือญาติมักให้ความสำคัญกับการจัดพิธีแซน มี 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) การจัดในบริเวณบ้านของตนเอง (2) การจัดในชุมชนเพื่อประกอบพิธีกรรม และ(3) การจัดการทำบุญในวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลตามแบบทางพระพุธศาสนามีขั้นตอน ได้แก่ (1) การสื่อสารถึงลูกหลานเพื่อบอกกล่าวล่วงหน้า (2) การกำหนดสถานที่ประกอบพิธี (3) เตรียมสิ่งของเพื่อเซ่นไหว้ (4) ไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มีรูปแบบ ได้แก่ การเซ่นไหว้มักเป็นการรวมตัวกับสมาชิกครอบครัวและเครือญาติเพื่อประกอบพิธีกรรมในวัน เวลา ดังกล่าว และลักษณะในการประกอบพิธีกรรมและมีรูปแบบในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อทำบุญอุทิศตามแนวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีสมาชิกในครอบครัวร่วมกันไปทำบุญอุทิศ และทำพิธีกรรมชักผ้าบังสุกุลให้กับผู้ตาย มีความเชื่อว่าผลบุญที่ทำจะส่งถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษให้มีความสุขและปราศจากความหิวโหยและคุณค่าจากประเพณีแซนโฎนตา จะให้ความสำคัญทางด้านจิตใจ และการควบคุมจิตและประพฤติกรรมของชุมชนและสังคม
The objectives of this thesis were : 1) to study the beliefs and rituals of making merit in Buddhism, 2) to study the Sandonta merit-making of people in Surin Province and 3) to analyze the beliefs and rituals of Sandonta making of people in Surin Province. It was qualitative research by studying the Tipitaka, commentary, books, documents, and related research, collecting data and then presented the research results by descriptive analysis. The results of this research found that On the side of the community’s beliefs towards Sandota tradition of Thai -Khmer people which belief in supernatural and mystical powers. Especially the belief in ancestral spirits, there were still having a circulation of spirit and taking care of all members in the family. And it was also believed that this ancestral spirit can give you both of benefit and blame your family and members. This recognition has been the resource of community traditions until the present-day. Sandonta rituals of Thai -Khmer people is corresponds to the 14th of waning day on every year. When it comes to the important moment of the cultures, family, and relatives often attaches importance to the arrangement of the sanctuary, divided into 3 features: (1) arrangement in the area of your own home, (2) organizing in the community for ceremonies and (3) philanthropy in temple to dedicate a charity according to the Buddhist religion included of 4 steps as follows: (1) communicating to the descendants in advance notification, (2) determining the place of worship, (3) preparing items for worship, and (4) making merit at the temple to dedicate the merit as follows : offerings were usually a gathering with family members and relatives to perform ceremonies such date and time. Including the characteristics in performing rituals and having a form of organizing Buddhist activities to make merit in accordance with the Buddhist guidelines with having family members together to make merit and perform are requisition ceremony for the deceased. There was a belief that the good. There is a belief that the merit had done will send the souls of the ancestors to be happy and free from hunger together with the value of Sandonta rituals will pay attention to psychological, mental control and behavior of community and society.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 132 รูป/คน และผู้เชี่ยวชาญที่ให้สัมภาษณ์ จำนวน 10 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.94 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F-test ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านมนุษย์สัมพันธ์ : นิสสยสมฺปนฺโน ด้านการมีวิสัยทัศน์ : จักขุมา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีเป้าหมายการบริหารอย่างชัดเจน : วิธูโร ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามตำแหน่ง บุคลากรมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน บุคลากรมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้บริหารควรจัดทำแผนงาน/โครงการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม และจริยธรรม เพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน มีกลยุทธ์ พันธกิจ เป้าประสงค์ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานของบุคลากร ให้กำลังใจ ยกย่อง เชิดชูบุคลากรตามสมควรแก่โอกาส 4. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ : จักขุมา ควรมีนโยบายสร้างขวัญกำลังใจให้กับบุคลากร 2) ด้านการมีเป้าหมายการบริหารอย่างชัดเจน : วิธูโร ควรนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการวางแผนบริหารสถานศึกษา 3) ด้านมนุษย์สัมพันธ์ : นิสสยสมฺปนฺโน ควรนำเทคโนโลยี การสื่อสารมาใช้ในการบริหารช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่บรรลุเป้าหมาย
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 132 รูป/คน และผู้เชี่ยวชาญที่ให้สัมภาษณ์ จำนวน 10 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.94 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F-test ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านมนุษย์สัมพันธ์ : นิสสยสมฺปนฺโน ด้านการมีวิสัยทัศน์ : จักขุมา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีเป้าหมายการบริหารอย่างชัดเจน : วิธูโร ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามตำแหน่ง บุคลากรมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน บุคลากรมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้บริหารควรจัดทำแผนงาน/โครงการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม และจริยธรรม เพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน มีกลยุทธ์ พันธกิจ เป้าประสงค์ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานของบุคลากร ให้กำลังใจ ยกย่อง เชิดชูบุคลากรตามสมควรแก่โอกาส 4. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ : จักขุมา ควรมีนโยบายสร้างขวัญกำลังใจให้กับบุคลากร 2) ด้านการมีเป้าหมายการบริหารอย่างชัดเจน : วิธูโร ควรนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการวางแผนบริหารสถานศึกษา 3) ด้านมนุษย์สัมพันธ์ : นิสสยสมฺปนฺโน ควรนำเทคโนโลยี การสื่อสารมาใช้ในการบริหารช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่บรรลุเป้าหมาย
The objectives of this thesis were 1) to study the Buddhism-based leadership of administrators of the General Education Section Phrapariyattidhamma School in Kalasin province, 2) to compare the General Buddhism-based leadership of administrators of the school in mention, classified by gender, position, and work experiences and 3) to explore the suggestions and the leadership development guidelines for the administrators of the so-said schools in Kalasin province. The samples used in this research were 132 administrators and teachers of the schools as mentioned, together with 10 interviews. The tools used for data collection were a 5-rating scale questionnaire with content validity between 0.67-1.00 , and reliability at 0.94, and a semi-structured interviews. The statistics used to analyze the data were percentage, mean, and standard deviation. Statistics used to test the hypothesis were t-tests and One Way ANOVA using F-test statistics. The results found can be summarized as follows: 1) The Buddhism-Based Leadership of Administrators of the Education Section Section Phrapariyattidham School in Kalasin Province was in an overall dimension found to be at a high level. In terms of individual aspects as sorted from the highest to the lowest average, it was found that human relationship (Nissayasampanno) stood on top of the scale, followed by vision (Cakkhuma)), with the clearly fixed management goal (Vidhuro) being at the bottom. 2) The comparison of opinions about the Buddhism-based leadership of the administrators in the so-said schools, classified by gender, position and job experiences, was found that the comparison in terms of sex showed a statistically significant difference at the 0.5 level, while the comparison classified by position and work experiences displayed no statistically significant difference. 3) The suggestions as suggested by the respondents were as follows: 1) The administers should organize training plans or projects to implant discipline, morality, and ethics into students’ hearts so as to correct undesirable behaviors. 2) The strategies, missions and target should be established and brought into practiced effectively and efficiently. 3) The administrators were advised to realize the problems lying in the ways to achievement as well as their solutions. 4) The measures to encourage, promote and reward the saff members should be set up appropriately. 4) The leadership development guidelines as recommended by constructed interviews comprised:1) For vision (Jakkhuma), there should be a policy to encourage the staff members to work with dedication. 2) Regarding administrative technics (Vidhuro), the management goal should be mutually set up, and any plan for school administration should be relied on sufficient and reliable information. 3) As for human relationship (Nissayasampanno), information and communication technology should be implemented in order to achieve goals as set.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม โดยจำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 323 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงระหว่าง 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง กลุ่มเป้าหมายจำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า : 1. ทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ (เมตตา) รองลงมา คือ ด้านทักษะการทำงานเป็นทีม (กรุณา) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านทักษะทางเทคโนโลยี และการใช้ดิจิทัล (กรุณา) 2. การเปรียบเทียบทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม วางแผนจัดสรรงบประมาณ กำหนดแนวทาง การสืบค้นสื่อ การใช้สื่อ การพัฒนาและการส่งเสริมสื่อของครูให้ตรงกับตัวชี้วัด ใช้ข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยจากหลากหลาย ยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมทีม
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม โดยจำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 323 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงระหว่าง 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง กลุ่มเป้าหมายจำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า : 1. ทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มหาสารคาม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ (เมตตา) รองลงมา คือ ด้านทักษะการทำงานเป็นทีม (กรุณา) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านทักษะทางเทคโนโลยี และการใช้ดิจิทัล (กรุณา) 2. การเปรียบเทียบทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม วางแผนจัดสรรงบประมาณ กำหนดแนวทาง การสืบค้นสื่อ การใช้สื่อ การพัฒนาและการส่งเสริมสื่อของครูให้ตรงกับตัวชี้วัด ใช้ข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยจากหลากหลาย ยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมทีม
The objects of this thesis were 1) to study the administrative skills based on Four Sublime States of Mind of school administrators under the secondary educational service area office Mahasarakham 2) to compare the administrative skills based on four sublime states of mind of school administrators under the secondary educational service area office Mahasarakham, classified in educational level, work experience, and the size of the school 3) to suggest guidelines for Administrative Skill development based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Secondary Educational Service Area Office Mahasarakham. The sample group used in this research was the 323 of school administrators and instructors of the secondary educational service area office Mahasarakham. The instruments used for data collection was a 5-level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.67 – 1.00, a confidence level of 0.89, and a semi-structured interview. The target group was 5 participants. The results showed that 1.Administrative skills based on four sublime states of mind of school administrators under the secondary educational service area office Mahasarakam. Overall, it was at a high level, considering from each side in order from the highest to the lowest average were human relations skills (merciful), followed by the team work skills (kindly), whereas the lowest was Technology skills and digital usage (kindly). 2.Comparison the Administrative skills based on four sublime states of mind of school administrators under the secondary educational service area office Mahasarakam, classified by educational level, work experience, and the size of the school. By overall was a statistically significant difference at the 0.05 level. 3.Guidelines for Administrative Skill development based on four sublime states of mind of school administrators under the secondary educational service area office Mahasarakam. Budget allocation planning, guideline determination for media search, media usage, developing and promoting teachers’ media to match the indicators, usage an up-to-date information from variety of sources, including accepting the different opinions of team works.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยจำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 342 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหาเท่ากับ 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รองลงมา คือ ด้านการวางแผนกำหนดตำแหน่ง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านวินัยและการรักษาวินัย 2) การเปรียบเทียบระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด มีการวางแผนกำหนดตำแหน่ง การบรรจุและการแต่งตั้งบุคลากรเข้าปฏิบัติหน้าที่ต้องให้เป็นไปตามคำสั่ง สพฐ. สนับสนุนส่งเสริมในการทำงาน กำกับติดตามการนิเทศงาน ให้คำชี้แนะให้อยู่ในระเบียบวินัย ควรให้ความรู้การปฏิบัติงานตามระเบียบราชการ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยจำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 342 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหาเท่ากับ 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า : 1) การบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รองลงมา คือ ด้านการวางแผนกำหนดตำแหน่ง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านวินัยและการรักษาวินัย 2) การเปรียบเทียบระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด มีการวางแผนกำหนดตำแหน่ง การบรรจุและการแต่งตั้งบุคลากรเข้าปฏิบัติหน้าที่ต้องให้เป็นไปตามคำสั่ง สพฐ. สนับสนุนส่งเสริมในการทำงาน กำกับติดตามการนิเทศงาน ให้คำชี้แนะให้อยู่ในระเบียบวินัย ควรให้ความรู้การปฏิบัติงานตามระเบียบราชการ
The objectives of this thesis were as follows 1) to study the levels of Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office 2) to compare the levels of Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office, classified by educational level, work experience, and school size 3) to study guidelines for Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office. The sample group used in this research was 342 of the secondary school instructors under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office. The instrument used for data collection was a 5-level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.67 – 1.00, a confidence level of 0.98, and interview. The results showed that: 1) The levels of Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office. Overall, it was at a high level, considering from each side in order from the highest to the lowest average. It was found that the highest average was enhancing operational efficiency (kindly), followed by the positioning planning (prosperity), whereas the lowest was the discipline and the maintenance of discipline (merciful), respectively. 2) A comparison of the levels of Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office, classified by educational level, work experience, and school size. There was a statistically significant difference at the 0.05 level. 3) Guidelines for Personnel Administration based on Four Sublime States of Mind of School Administrators under the Roi Et Secondary Educational Service Area Office were Position planning, Personnel recruitment, and Personnel appointment to perform duties need to be in accordance with the Office of the Basic Education Commission Order (OBEC), work supporting and promoting, following up supervision, and giving advice about disciplined and providing knowledge of the operation according to government regulations.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาความเชื่อเรื่องพญานาคของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1. ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ผลการศึกษา พบว่า พญานาคเป็นสัตว์กึ่งเทพ เสวยทิพย์สมบัติบนสวรรค์วิมานดุจดั่งเทวดาถ้าปรากฏในลักษณะกึ่งเทพก็จะมีลักษณะเป็นมนุษย์ ถ้าปรากฏในลักษณะเป็นสัตว์ก็เป็นงูที่แผ่พังพานมีขนาดยาวใหญ่กว่างูธรรมดา มีกายสีต่างกันตามตระกูล เช่น ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นนาคมีผิวกายสีทองเป็นราชาของนาคทั้งสี่ประเภท พญานาคแบ่งตามหน้าที่ออกเป็น 4 พวก คือ (1) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทวดา (2) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน (3) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร และ (4) นาครักษาขุมทรัพย์ มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์ในดินและป่าไม้ พญานาคแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ (1) กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ และ (2) อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ นอกจากนี้ยังได้แบ่งพญานาคออกเป็นตระกูลย่อยๆ ออกไปอีกถึง 1,024 ชนิด 2. ความเชื่อเรื่องพญานาคของชาวบ้านด่าน ผลการศึกษาพบว่า ชาวบ้านด่านและประชาชนที่อาศัยในแถบลุ่มน้ำโขงเคารพบูชาพญานาคว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรให้ป้องกันภัย ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และขอโชคลาภ จากความเชื่อดังกล่าว ทำให้สังคมไทยแถบลุ่มน้ำโขง เกิดแนวคิดใหม่ในพิธีกรรม ศิลปกรรมประเพณีกรรม เช่น การปล่อยเรือไฟบูชาแม่น้ำและเจ้าแห่งน้ำ คือพญานาคพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวควบคู่กันไป พญานาคก็ยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยเคารพเชื่อถือเป็นเครื่องร้อยรัดคนไทยเข้ากับความเชื่อที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด 3. วิเคราะห์ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า ชาวบ้านด่าน เชื่อในความมีอยู่จริง และความมีอิทธิฤทธิ์ของพญานาค เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น รอยแยกตัวของผิวถนนขึ้น มีผู้ถ่ายภาพรอยถนนแยกไว้ เป็นภาพประหลาดคลายหลังพญานาค ปรากฏการณ์รอยประหลาดที่เกิดขึ้นริมฝั่งโขงและอีกรอยบนหน้ารถของชาวบ้านที่จอดหน้าวัดสุมังคลาราม บ้านด่าน ส่งผลให้ชาวบ้านด่านบูชาพญานาคเพื่อของฝนขอน้ำมาทำการเกษตรและบูชาเพื่อโชคลาภจากพญานาคตามสมัยนิยมในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านด่านเคารพพญานาคในฐานะของเทพผู้มีอิทธิฤทธิ์และบันดาลสิ่งที่พวกเขาต้องการให้สำเร็จได้ มากกว่าฐานะที่เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นมนุษย์ และผู้มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนายอมรับนับถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และค่อยดูแลปกป้องพระพุทธสาสนาตามหน้าที่ของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาความเชื่อเรื่องพญานาคของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1. ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ผลการศึกษา พบว่า พญานาคเป็นสัตว์กึ่งเทพ เสวยทิพย์สมบัติบนสวรรค์วิมานดุจดั่งเทวดาถ้าปรากฏในลักษณะกึ่งเทพก็จะมีลักษณะเป็นมนุษย์ ถ้าปรากฏในลักษณะเป็นสัตว์ก็เป็นงูที่แผ่พังพานมีขนาดยาวใหญ่กว่างูธรรมดา มีกายสีต่างกันตามตระกูล เช่น ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นนาคมีผิวกายสีทองเป็นราชาของนาคทั้งสี่ประเภท พญานาคแบ่งตามหน้าที่ออกเป็น 4 พวก คือ (1) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานของเทวดา (2) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน (3) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร และ (4) นาครักษาขุมทรัพย์ มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์ในดินและป่าไม้ พญานาคแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ (1) กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ และ (2) อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ นอกจากนี้ยังได้แบ่งพญานาคออกเป็นตระกูลย่อยๆ ออกไปอีกถึง 1,024 ชนิด 2. ความเชื่อเรื่องพญานาคของชาวบ้านด่าน ผลการศึกษาพบว่า ชาวบ้านด่านและประชาชนที่อาศัยในแถบลุ่มน้ำโขงเคารพบูชาพญานาคว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรให้ป้องกันภัย ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และขอโชคลาภ จากความเชื่อดังกล่าว ทำให้สังคมไทยแถบลุ่มน้ำโขง เกิดแนวคิดใหม่ในพิธีกรรม ศิลปกรรมประเพณีกรรม เช่น การปล่อยเรือไฟบูชาแม่น้ำและเจ้าแห่งน้ำ คือพญานาคพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวควบคู่กันไป พญานาคก็ยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยเคารพเชื่อถือเป็นเครื่องร้อยรัดคนไทยเข้ากับความเชื่อที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด 3. วิเคราะห์ความเชื่อในพญานาคตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ของชาวบ้านด่าน ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า ชาวบ้านด่าน เชื่อในความมีอยู่จริง และความมีอิทธิฤทธิ์ของพญานาค เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น รอยแยกตัวของผิวถนนขึ้น มีผู้ถ่ายภาพรอยถนนแยกไว้ เป็นภาพประหลาดคลายหลังพญานาค ปรากฏการณ์รอยประหลาดที่เกิดขึ้นริมฝั่งโขงและอีกรอยบนหน้ารถของชาวบ้านที่จอดหน้าวัดสุมังคลาราม บ้านด่าน ส่งผลให้ชาวบ้านด่านบูชาพญานาคเพื่อของฝนขอน้ำมาทำการเกษตรและบูชาเพื่อโชคลาภจากพญานาคตามสมัยนิยมในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านด่านเคารพพญานาคในฐานะของเทพผู้มีอิทธิฤทธิ์และบันดาลสิ่งที่พวกเขาต้องการให้สำเร็จได้ มากกว่าฐานะที่เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นมนุษย์ และผู้มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนายอมรับนับถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และค่อยดูแลปกป้องพระพุทธสาสนาตามหน้าที่ของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
The objectives of this thesis were as follows : 1) to study the belief on King Nagas according to the Theravada Buddhist philosophy, 2) to study the belief on King Nagas of Ban Dan villagers, Sam Yaek Sub-district, Loeng Nok Tha District, Yasothon Province and 3) to analyze the belief on King Nagas according to the Theravada Buddhist Philosophy of Ban Dan villagers, Sam Yaek Sub-district, Loeng Nok Tha District, Yasothon Province. This study was a qualitative research study and using the data obtained in inductive descriptive analysis. The results of research found that : 1. Belief in the Naga according to Theravada Buddhist Philosophy, The results of the study revealed that King Nagas were a semi-divine animal, eat the heavenly treasures like angels. When they appeared in a semi-divine form, they would look like human beings. When they appeared in the form of an animal, it would be a snake that spread a rooster with a length larger than a normal snake. Having a different body colors according to their species, such as the Virupaksa, a King Naga with a golden skin is the king of the four types of King Nagas. King Nagas were divided according to their duties into 4 groups: (1) the heavenly King Nagas were responsible for guarding the heavens of the deity, (2) King Nagas in the middle of the hail were responsible for the wind and rain, (3) the Nagalokaban Nagas were responsible for protecting rivers and streams and (4) the treasure preservation King Nagas were responsible for maintaining treasures in the soil and forests. King Nagas divided into 2 major types: (1) Kama Rupee Naga, having sensual for pleasures and (2) Apama Rupee King Naga who is without having sensual for pleasures. In addition, the King Nagas divided into sub-families of up to 1,024 species. 2. The results of a study on beliefs in the King Nagas of Ban Dan villagers found that the villagers of Ban Dan and people living in the Mekong region worship the King Nagas as sacred. Pray for safety from danger, abundance and fortune. From such beliefs, it was occurred a new idea for rituals traditional arts to Thai society in the Mekhong region such as light boat flowing to worship the river and lord of river, namely the King Nagas which evolved into tourism concurrently. The serpent is still something that Thai people respect and trust as a string tying the Thai people in line with the belief that has always occurred. 3. To analysis of beliefs in the King Nagas based on Theravada Buddhist Philosophy of Ban Dan villagers, Sam Yaek Sub-district, Loeng Nok Tha District, Yasothon Province. The results found that the villagers believed in the story of the King Nagas and their power cause of various events such as the fissure in the road which someone took them which looked like the King Nagas’ back. The phenomenon of strange occurred along the Mekong’s banks, and another marks on front of the villagers’car parked in front of Wat Sumangkhalaram, Ban Dan, Yasothon Province. As a result, villagers worship the King Nagas to request for rain for as to get some water for farming and worship for fortune from the King Nagas according to the current popular in Thai society. So Ban Dan villagers respected the King Naga as a magical powerful God which enable to inspire what they wanted to be accomplished rather than being a demigod that had to rebirth a human being, and those who believes in Buddhism, respecting the Triple Gem, took care and protected the Buddhism in accordance with the duties of those who believed in Buddhism.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกความงามเชิงสุนทรียศาสตร์หอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์ของหอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธรการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1. ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ การศึกษาพบว่า หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบพม่า สร้างโดยช่างลาวที่อพยพมาครั้งตั้งหมู่บ้าน ตัวอาคารสร้างด้วยไม้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก หลังคามุงด้วยไม้ซ้อนลดหลั่นกัน 4 ชั้น บานประตูแกะสลักลวดลาย ความงามของหอไตรมิได้เกิดขึ้นโดยตัวอาคารตามลำพังหากมีแต่สภาพแวดล้อมหนองน้ำด้วย 2. แนวคิดและทฤษฎีความงามทางสุนทรียศาสตร์ การศึกษาพบว่า สุนทรียศาสตร์คือศาสตร์ที่แสวงหาความจริงเกี่ยวกับความงาม และเกณฑ์ตัดสินความงาม คือ เกณฑ์ตัดสินความงาม 3 ทฤษฎี 1) ทฤษฎีจิตวิสัยนิยม 2) ทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม และ 3) ทฤษฎีสัมพัทธนิยม 3. วิเคราะห์ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์ของหอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ผลการวิเคราะห์พบว่า ความงาม ตามทฤษฎีจิตวิสัยนิยม เป็นความงามเมื่อได้เห็นหอไตรนี้แล้วจะมีความรู้สึกว่าสะดุดตาด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพม่า ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำทำให้เกิดความรู้สึกแปลกตา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นว่าหอไตรนี้งามทุกคน บางคนอาจจะบอกว่าหอไตรนี้ก็เป็นอาคารธรรมดาหลังหนึ่ง ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือพิเศษอะไร ความงามของหอไตรตามทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม พบว่า ความงามเกิดจาวัสดุที่นำมาสร้างที่เป็นไม้ ล้วนเป็นไม้ที่ถูกคัดสรรค์เอาไม้ที่มีคุณภาพทำให้ได้ไม้ที่ตามที่ต้องการมีความทนทานมีความสวยงามตามธรรมชาติของไม้เหล่านั้น ความงามของหอไตรตามทฤษฎีสัมพัทธนิยม พบว่า หอไตรนี้มีความงามตามเกณฑ์ตัดสินของสัมพัทธนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่า หอไตรนี้โดดเด่นอยู่กลางสระน้ำ ทั้งวัสดุที่ใช้ในการสร้างคือไม้ที่ได้คุณภาพทำให้ได้ไม้ที่ทนทานและเนื้อไม้ที่งามตามธรรมชาติ และเหตุผลที่สำคัญคือการนำเอาความเชื่อด้านศาสนาวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านนาเวียงมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินความงามนี้ด้วย จากการวิเคราะห์ความงามของหอไตรวัดสระไตรนุรักษ์บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง จังหวัดยโสธร ด้วยทฤษฎีจิตวิสัยนิยม ทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม และทฤษฎีสัมพัทธนิยม ผลการวิเคราะห์จากทฤษฎีทั้ง 3 ทฤษฎีที่เหมาะสมที่จะใช้ตัดสินความงามของหอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ คือ ทฤษฎีสัมพัทธนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่า ทฤษฎีนี้ใช้สภาพแวดล้อมคือ ความเชื่อด้านศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ของสังคมนั้นมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการตัดสินความงามทางสุนทรียศาสตร์ของศิลปะนั้นๆ
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกความงามเชิงสุนทรียศาสตร์หอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์ของหอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธรการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1. ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ การศึกษาพบว่า หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบพม่า สร้างโดยช่างลาวที่อพยพมาครั้งตั้งหมู่บ้าน ตัวอาคารสร้างด้วยไม้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก หลังคามุงด้วยไม้ซ้อนลดหลั่นกัน 4 ชั้น บานประตูแกะสลักลวดลาย ความงามของหอไตรมิได้เกิดขึ้นโดยตัวอาคารตามลำพังหากมีแต่สภาพแวดล้อมหนองน้ำด้วย 2. แนวคิดและทฤษฎีความงามทางสุนทรียศาสตร์ การศึกษาพบว่า สุนทรียศาสตร์คือศาสตร์ที่แสวงหาความจริงเกี่ยวกับความงาม และเกณฑ์ตัดสินความงาม คือ เกณฑ์ตัดสินความงาม 3 ทฤษฎี 1) ทฤษฎีจิตวิสัยนิยม 2) ทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม และ 3) ทฤษฎีสัมพัทธนิยม 3. วิเคราะห์ความงามเชิงสุนทรียศาสตร์ของหอไตร วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ผลการวิเคราะห์พบว่า ความงาม ตามทฤษฎีจิตวิสัยนิยม เป็นความงามเมื่อได้เห็นหอไตรนี้แล้วจะมีความรู้สึกว่าสะดุดตาด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพม่า ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำทำให้เกิดความรู้สึกแปลกตา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นว่าหอไตรนี้งามทุกคน บางคนอาจจะบอกว่าหอไตรนี้ก็เป็นอาคารธรรมดาหลังหนึ่ง ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือพิเศษอะไร ความงามของหอไตรตามทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม พบว่า ความงามเกิดจาวัสดุที่นำมาสร้างที่เป็นไม้ ล้วนเป็นไม้ที่ถูกคัดสรรค์เอาไม้ที่มีคุณภาพทำให้ได้ไม้ที่ตามที่ต้องการมีความทนทานมีความสวยงามตามธรรมชาติของไม้เหล่านั้น ความงามของหอไตรตามทฤษฎีสัมพัทธนิยม พบว่า หอไตรนี้มีความงามตามเกณฑ์ตัดสินของสัมพัทธนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่า หอไตรนี้โดดเด่นอยู่กลางสระน้ำ ทั้งวัสดุที่ใช้ในการสร้างคือไม้ที่ได้คุณภาพทำให้ได้ไม้ที่ทนทานและเนื้อไม้ที่งามตามธรรมชาติ และเหตุผลที่สำคัญคือการนำเอาความเชื่อด้านศาสนาวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านนาเวียงมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินความงามนี้ด้วย จากการวิเคราะห์ความงามของหอไตรวัดสระไตรนุรักษ์บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง จังหวัดยโสธร ด้วยทฤษฎีจิตวิสัยนิยม ทฤษฎีวัตถุวิสัยนิยม และทฤษฎีสัมพัทธนิยม ผลการวิเคราะห์จากทฤษฎีทั้ง 3 ทฤษฎีที่เหมาะสมที่จะใช้ตัดสินความงามของหอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ คือ ทฤษฎีสัมพัทธนิยม ด้วยเหตุผลที่ว่า ทฤษฎีนี้ใช้สภาพแวดล้อมคือ ความเชื่อด้านศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ของสังคมนั้นมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการตัดสินความงามทางสุนทรียศาสตร์ของศิลปะนั้นๆ
The objectives of this thesis were : 1) to study the aesthetic beauty of Hor Trai wat Sa Trai Nurak 2) to study the concept and aesthetic theory 3. to analyze the aesthetic beauty of Hor Trai Wat Sa Trai Nurak, Ban Na Wiang, Na Wiang Sub-district, Sai Mun District, Yasothon Province. This research is a qualitative research using the data obtained for descriptive analysis. The results of the research found that : 1. Aesthetic beauty of Hor Trai wat Sa Trai Nurak. From the study found that Hor Trai wat Sa Trai Nurak was built by Burmese architecture, Lao craftsmen who migrated to establish the village, the building was made of wood, facing to the west. The roof made of 4 tiered wooden cascades, the door panels were carved in patterns. The beauty of Hor Trai was not only the building but also the swamp environment. 2. Concept and theory of aesthetic beauty. From the study found that Aesthetics was the science that sought for the truth about beauty and the criteria for judging the beauty were 3 theories the criteria for determining the beauty : 1) theory of psychology, 2) the theory of materialism and 3) theory of relativity. 3. Analysis of the aesthetic beauty of Hor Trai wat Sa Trai Nurak, Ban Na Wiang, Na Wiang Sub-district, Sai Mun District, Yasothon Province.From the analysis found that the beauty of the theory of Psychology were the beauty when seeing this Hor Tri, you felt eye-catching with the style of Burmese architecture. The prominent location in the middle of the water created a strange feeling. But not everyone will agree with it was beautiful. Someone said that this it was a only a simple building, nothing particular outstanding. The beauty of Hor Trai according to materialistic theory found that beauty derived from the wood used for building. All of them were selected from a quality wood to create the wood to be as beautiful as we desired, durable, with natural beauty of woods. The beauty of Hor Trai according to the theory of relativity found that this tower had beauty according to the criteria of relativism for the reason that it stood out in the middle of the swamp. All materials used for construction were a good quality, durable and built of beauty natural wood and one of the important reason was to take the religious beliefs, culture, traditions of the Na Wiang villagers as an important portion in determining the beauty. From the analysis of the beauty of Wat Sa Trai Nurak Temple at Ban Na Wiang, Na Wiang Sub-district, Yasothon Province with the theory of idealism, materialistic theory and the theory of relativity. The result of analysis from the three theories that appropriated to determine the beauty of Wat Sa Trai Nurak was the theory of relativity for the reason that this theory used the environment religious beliefs, cultures, and traditions of the society were important portions in determining the aesthetic beauty of arts.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหน้าที่ของอาจารย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาหน้าที่ของศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท และ 3) เพื่อวิเคราะห์หน้าที่ของอาจารย์และศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ ผลการศึกษาพบว่า หน้าที่ของอาจารย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ของตนต่อศิษย์ ดังนี้ 1) การแนะนำดี 2) ให้เรียนดี 3) บอกศิษย์ด้วยดีด้วยศิลปวิทยาทั้งหมด 4) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง และ 5) ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย หน้าที่ของศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ของตนต่อครูอาจารย์ ดังนี้ 1) ลุกขึ้นต้อนรับ 2) เข้าไปคอยรับใช้ใกล้ชิด 3) เชื่อฟังคำสั่งสอน 4) ปรนนิบัติรับใช้ และ 5) ศึกษาหรือเรียนศิลปวิทยาด้วยความเคารพ ผลการวิเคราะห์หน้าที่ของอาจารย์และศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์และศิษย์ที่ดีตามหน้าที่ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละเวลาที่เป็นส่วนตัวของตนเอง พร้อมยอมมอบเวลาให้กับศิษย์ได้ตลอดเวลา ด้วยความรักความเมตตากรุณาต่อศิษย์ อยากเห็นศิษย์ของตนเองสำเร็จการศึกษาและนำวิชาความรู้ที่ได้รับนั้นไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านอาชีพการงานที่ใช้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ทั้งในส่วนของกิริยามารยาทในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ทั้งศิษย์ต้องมีความกตัญญูรู้คุณของครูอาจารย์ ด้วยการประพฤติตัวเป็นคนดีมีความรู้คู่คุณธรรมของสังคมด้วย
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหน้าที่ของอาจารย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาหน้าที่ของศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท และ 3) เพื่อวิเคราะห์หน้าที่ของอาจารย์และศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือ เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ ผลการศึกษาพบว่า หน้าที่ของอาจารย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ของตนต่อศิษย์ ดังนี้ 1) การแนะนำดี 2) ให้เรียนดี 3) บอกศิษย์ด้วยดีด้วยศิลปวิทยาทั้งหมด 4) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง และ 5) ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย หน้าที่ของศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ของตนต่อครูอาจารย์ ดังนี้ 1) ลุกขึ้นต้อนรับ 2) เข้าไปคอยรับใช้ใกล้ชิด 3) เชื่อฟังคำสั่งสอน 4) ปรนนิบัติรับใช้ และ 5) ศึกษาหรือเรียนศิลปวิทยาด้วยความเคารพ ผลการวิเคราะห์หน้าที่ของอาจารย์และศิษย์ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์และศิษย์ที่ดีตามหน้าที่ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละเวลาที่เป็นส่วนตัวของตนเอง พร้อมยอมมอบเวลาให้กับศิษย์ได้ตลอดเวลา ด้วยความรักความเมตตากรุณาต่อศิษย์ อยากเห็นศิษย์ของตนเองสำเร็จการศึกษาและนำวิชาความรู้ที่ได้รับนั้นไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านอาชีพการงานที่ใช้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ทั้งในส่วนของกิริยามารยาทในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ทั้งศิษย์ต้องมีความกตัญญูรู้คุณของครูอาจารย์ ด้วยการประพฤติตัวเป็นคนดีมีความรู้คู่คุณธรรมของสังคมด้วย
The objectives of this thesis were : 1) to study the duty of teachers in Theravada Buddhist philosophy, 2) to study the duty of students in Theravada Buddhist philosophy and 3) to analyze the duty of teachers and students in Theravada Buddhist philosophy which was a qualitative research by studying the Tripitaka, commentaries, books, documents, related research and another. The results of research found that 1) The duty of teachers in Theravada Buddhist philosophy were to perform their duty to their students as follows: 1) giving good advice, 2) studying well, 3) teaching students well with all the arts, 4) praising them to their friends and 5) making defenses in all directions. 2) The duty of the disciples in Theravada Buddhist philosophy was to perform their duty to teachers as follows: 1) getting up to welcome, 2) serving closely, 3) obeying the instruction, 4) serving and 5) studying all the arts with respect. 3) The results of an analysis of the duty of teachers and students in Theravada Buddhist philosophy were who known as good teachers and students according to their duties in Buddhism must be a person who has sacrificed their own private time at any time with love and kindness towards the disciples. Yearning to appreciate the achievements of the disciples and be able to apply the knowledge gained in daily life. Both in terms of career that were used to support themselves and their families, the etiquette of social coexistence, gratitude to the teachers by behaving a good person with knowledge and morality of society. Keywords : Duty, Teachers and students, Theravada Buddhist philosophy
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลและสมัยปัจจุบัน 2) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และ 3) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลและปัจจุบันเพื่อเข้าถึงเป้าหมาย หลักการและวิธีที่ใช้ประกาศพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ในฐานะธรรมราชา ทรงมีรูปแบบและวิธีการเผยแผ่ที่หลากหลาย และทรงประกอบด้วยคุณสมบัติของนักเผยแผ่ผู้ยอดเยี่ยม โดยการคำนึงถึงประโยชน์สุขอย่างยั่งยืนของผู้ฟังเป็นสำคัญ ทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาด้วยวิธีการเชิงรุก จากการศึกษาทรรศนะและวิธีการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น พบว่ากระทำโดยคณะสงฆ์เป็นหลัก มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน เป็นผู้นำทัพธรรมพร้อมด้วยการสนับสนุนของเหล่าอุบาสกอุบาสิกา โดยมีองค์ประกอบของแนวทาง คือ เป้าหมาย เพื่อประกาศแบบแผนในการดำรงชีวิตที่ดีงามตามที่พระองค์ทรงค้นพบให้ชาวโลกได้รับรู้และนำไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข และเพื่อสันติภาพของมวลมนุษย์โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน หลักการเผยแผ่แยกเป็นสามส่วน คือ (1) หลักการแห่งพระธรรมวินัยทั้งมวล (2) หลักการเผยแผ่ และ (3) หลักการว่าด้วยคุณธรรมของผู้ทำการเผยแผ่ แม้ในสมัยหลังพุทธกาลถึงปัจจุบันพระธรรมกถึกก็ยังปฏิบัติตามหลักการเป็นนักเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแบบเชิงรุกโดยการประยุกต์หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน และให้ทันสมัยอยู่ทุกเมื่อจนเป็นที่ยอมรับของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกว่า เป็นการเผยแผ่เชิงรุกอย่างแท้จริง 2) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นงานที่ดำเนินตามกฎ ระเบียบ และคำสั่งของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึก มีรูปแบบและวิธีการการเผยแผ่ที่หลากหลาย แต่ละรูปแบบก็มีวิธีการแตกต่างกันออกไป ตามคตินิยม ความเชื่อสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนเนื้อหาหลักธรรมที่ใช้ในการเผยแผ่นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวซึ่งพระธรรมกถึกสามารถประยุกต์หลักธรรมมาใช้ในการเผยแผ่ได้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่อเทคนิควิธีการเผยแผ่ เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล และการหมั่นพัฒนาความสามรถในการเผยแผ่ของตนเอง และเทคนิควิธีสมัยใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟัง 3) พระธรรมกถึกมีการใช้เนื้อหาหลักธรรมหลายหมวด รวมทั้งข้อคิดคำคมในสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเพศ วัย อาชีพ สภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง มีการใช้หลักธรรมร่วมกับการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ สื่อการสอนประกอบในการเผยแผ่ที่นำมาใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ ความชำนาญของพระธรรมกถึกแต่ละรูป และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟัง ในส่วนของการได้รับประโยชน์และคุณค่านั้นโดยภาพรวม พบว่าผู้ฟังได้รับประโยชน์ทั้งด้านกายภาพ ด้านจิตภาพ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมในระดับที่ดีขึ้น
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลและสมัยปัจจุบัน 2) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และ 3) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลและปัจจุบันเพื่อเข้าถึงเป้าหมาย หลักการและวิธีที่ใช้ประกาศพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ในฐานะธรรมราชา ทรงมีรูปแบบและวิธีการเผยแผ่ที่หลากหลาย และทรงประกอบด้วยคุณสมบัติของนักเผยแผ่ผู้ยอดเยี่ยม โดยการคำนึงถึงประโยชน์สุขอย่างยั่งยืนของผู้ฟังเป็นสำคัญ ทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาด้วยวิธีการเชิงรุก จากการศึกษาทรรศนะและวิธีการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น พบว่ากระทำโดยคณะสงฆ์เป็นหลัก มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน เป็นผู้นำทัพธรรมพร้อมด้วยการสนับสนุนของเหล่าอุบาสกอุบาสิกา โดยมีองค์ประกอบของแนวทาง คือ เป้าหมาย เพื่อประกาศแบบแผนในการดำรงชีวิตที่ดีงามตามที่พระองค์ทรงค้นพบให้ชาวโลกได้รับรู้และนำไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข และเพื่อสันติภาพของมวลมนุษย์โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน หลักการเผยแผ่แยกเป็นสามส่วน คือ (1) หลักการแห่งพระธรรมวินัยทั้งมวล (2) หลักการเผยแผ่ และ (3) หลักการว่าด้วยคุณธรรมของผู้ทำการเผยแผ่ แม้ในสมัยหลังพุทธกาลถึงปัจจุบันพระธรรมกถึกก็ยังปฏิบัติตามหลักการเป็นนักเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแบบเชิงรุกโดยการประยุกต์หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน และให้ทันสมัยอยู่ทุกเมื่อจนเป็นที่ยอมรับของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกว่า เป็นการเผยแผ่เชิงรุกอย่างแท้จริง 2) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นงานที่ดำเนินตามกฎ ระเบียบ และคำสั่งของศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมกถึก มีรูปแบบและวิธีการการเผยแผ่ที่หลากหลาย แต่ละรูปแบบก็มีวิธีการแตกต่างกันออกไป ตามคตินิยม ความเชื่อสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนเนื้อหาหลักธรรมที่ใช้ในการเผยแผ่นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวซึ่งพระธรรมกถึกสามารถประยุกต์หลักธรรมมาใช้ในการเผยแผ่ได้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่อเทคนิควิธีการเผยแผ่ เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล และการหมั่นพัฒนาความสามรถในการเผยแผ่ของตนเอง และเทคนิควิธีสมัยใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟัง 3) พระธรรมกถึกมีการใช้เนื้อหาหลักธรรมหลายหมวด รวมทั้งข้อคิดคำคมในสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับเพศ วัย อาชีพ สภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง มีการใช้หลักธรรมร่วมกับการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ สื่อการสอนประกอบในการเผยแผ่ที่นำมาใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ ความชำนาญของพระธรรมกถึกแต่ละรูป และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟัง ในส่วนของการได้รับประโยชน์และคุณค่านั้นโดยภาพรวม พบว่าผู้ฟังได้รับประโยชน์ทั้งด้านกายภาพ ด้านจิตภาพ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมในระดับที่ดีขึ้น
The objectives of this thesis were : 1) to study the propagation of Buddhism in the Buddhist era and the present time 2) to study the propagation Buddhism of the Northeastern Phradhammakatuk Training Center (Preacher Training Center) at Wat Bueng Phra Lan Chai, Phra Aram Luang, Muang Roi Et District, Roi Et Province and 3) to analyze the pattern of Buddhism propagation of the Northeastern Phradhammakatuk Training Center at Wat Bueng Phra Lan Chai, Phra Aram Luang, Muang Roi Et District, Roi Et Province and use the data to analyze the contents. The results of the research found that: 1)The propagation of Buddhism in the Buddhist time and present time to approach the goal. Principles and methods used to preach the Dharma and discipline of Buddha as a Dharma Raja which had various forms and methods of propagation and possessed the qualities of a great missionary by considering to the sustainable benefits of listeners. Let us know that the Buddha preached his religion with an aggressive approach. From the study of his views and methods of preaching on his religion found that acts mainly by the clergy. The Buddha was a president, the leader of the Dharma Army with support with churchman and churchwoman. The elements of the approach were the goal for announcing the pattern of a good living as he discovered as he discovered for human to know and implement for the benefit, happiness, and peace of human, with the ultimate goal was Nirvana. The principle of propagation divided into 3 parts: (1) Principles of all disciplines, (2) principles of propagation and (3) principles of the whole morality of missionaries. Even in the post-Buddhist era until at present, Phradhammakatuk still following the principle of proactive doctrinal missionary principles by applying Buddhist doctrines to keep up with current events and to be up-to-date at all times until it is accepted by proactive Buddhist propaganda by applying Buddhist doctrines to keep up with current events. 2) Propagation of Buddhism at the Northeastern Phradhammakatuk Training Center Wat Bueng Phra Lan Chai, Phra Aram Luang, Muang Roi Et District, Roi Et Province was performed according to the rules, regulations and orders of the Pradhammakatuk Training Center. There were various forms and methods of propagation. It was different from each other based on ideology, beliefs, social environment, economy and politics. In part of the contents of the dharma principles used in propagating, there was no fixed form which the Phradhammakatuk could apply the dharma principles can be used to propagate by their own. In case of techniques of propagation, it was an individual ability and diligently developing the ability to propagate their own and modern techniques for the greatest benefit to the listeners. 3) Phradharmakatuek used the content of dharma principles in many categories. Including of thought and quotes in the current situation to use by considering gender suitability, age, occupation, economic environment, society and politics. The principles of dharma were used in conjunction with creative activities, teaching materials used in propagation differ depending on the knowledge, proficiency of each Phradhammakathuk, and depends on the environment in which the listener is involved. In terms of the benefits and values by are overall, It was found that the listeners benefited both physically, mentally, economically, and socially at a better level.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษของบิดามารดา 3) เพื่อหาแนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท กลุ่มเป้าหมาย คือ บิดามารดาที่เลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษ จำนวน 15 ครอบครัว ที่เลี้ยงดูบุตรธิดาที่เป็นออทิสติก โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง จากสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1) การเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท พบว่า หลักธรรมในพุทธศาสนาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว เพื่อการเลี้ยงดูบุตรธิดา คือ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 ฆราวาสธรรม 4 เบญจศีล ทิศ 6 และไตรสิกขา 3 2) การเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษของบิดามารดา พบว่า บิดามารดาปฏิบัติตามแนวทางการเลี้ยงดูเด็กพิเศษ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการรักษาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ โดยเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการที่บกพร่องให้เป็นไปตามหลักพัฒนาการเด็ก 4 ด้าน คือ ด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์ และสังคม 3) แนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทพบว่า บิดามารดา ได้นำแนวทางการเลี้ยงดูเด็กพิเศษมาเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจ และความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรธิดา พร้อมศึกษาหาแนวทางในการเลี้ยงดูบุตรธิดาทุกระยะ ซึ่งหลักการปฏิบัติของบิดามารดา ตรงกับหลักธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาท ในหลักไตรสิกขา 3 คือ การมี อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษของบิดามารดา 3) เพื่อหาแนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท กลุ่มเป้าหมาย คือ บิดามารดาที่เลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษ จำนวน 15 ครอบครัว ที่เลี้ยงดูบุตรธิดาที่เป็นออทิสติก โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง จากสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1) การเลี้ยงดูบุตรธิดาตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท พบว่า หลักธรรมในพุทธศาสนาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว เพื่อการเลี้ยงดูบุตรธิดา คือ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 ฆราวาสธรรม 4 เบญจศีล ทิศ 6 และไตรสิกขา 3 2) การเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษของบิดามารดา พบว่า บิดามารดาปฏิบัติตามแนวทางการเลี้ยงดูเด็กพิเศษ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการรักษาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ โดยเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการที่บกพร่องให้เป็นไปตามหลักพัฒนาการเด็ก 4 ด้าน คือ ด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์ และสังคม 3) แนวทางการเลี้ยงดูบุตรธิดาที่มีความต้องการพิเศษตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทพบว่า บิดามารดา ได้นำแนวทางการเลี้ยงดูเด็กพิเศษมาเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจ และความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรธิดา พร้อมศึกษาหาแนวทางในการเลี้ยงดูบุตรธิดาทุกระยะ ซึ่งหลักการปฏิบัติของบิดามารดา ตรงกับหลักธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาท ในหลักไตรสิกขา 3 คือ การมี อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study the raising of children according to Theravada Buddhist Philosophy, 2) to study the guidelines for raising children with special needs of parents, 3) to find guidelines for raising children according to Theravada Buddhist philosophy. The target group was parents of 15 families raising their children with special needs who were raising their children with autism by purposive selection from Rajanagarindra Institute of Child Development, Mae Rim district, Chiang Mai. The instrument used for data collection was an in-depth interview and data were analyzed by descriptive method. The results of research were found that: 1) In raising children according to Theravada Buddhist philosophy, it was found that Buddhist principles could be applied in families for raising children, namely, 4 Brahmavihārās, 4 Saṅgahavatthus, 4 Gharāvāsadhammas, 5 Sīlas, 6 Disas and 3 Sikkhās. 2) In raising children with special needs of parents, it was found that parents followed the guidelines for raising special children from specialists in treating and promoting the development of special children from Rajanagarindra Institute of Child Development by raising and promoting developmental defects in accordance with the principles of child development in 4 areas; physical, mental, emotional and social. 3) The guidelines for raising children with special needs according to Theravada Buddhist philosophy was found that parents had continually adopted special childcare guidelines as a guideline with intention and discipline, responsibility for raising children. They were ready to study and find guidelines to raise children at every stage and the principles of conduct of parents corresponded to the Buddhist principles in Theravada Buddhist philosophy as 3 Sikkhās, namely, the upholding of Sīlasikkhā, Cittasikkhā and Paññāsikhā.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการทำสมาธิในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และ 3) เพื่อวิเคราะห์การทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท วิทยานิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา และปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค รวมทั้งเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) สมาธิในพุทธศาสนา คือการมีจิตตั้งมั่นในอารมณ์มี 3 ระดับ คือ ขนิกสมาธิเป็นสมาธิขั้นต้นสำหรับบุคคลทั่วไป อุปจารสมาธิเป็นสมาธิขั้นระงับเป็นการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบจนตั้งมั่นเป็นสมาธิ อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิดำรงอยู่นานสงบนิ่งแน่วแน่เป็นเอกัคคตา และวิปัสสนากรรมฐานเป็นข้อปฏิบัติในการฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งในรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ 2) การทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านเน้นการปฏิบัติจริง ไม่เน้นความเข้าใจในหลักปริยัติ เน้นการปฏิบัติที่สมบูรณ์ในไตรสิกขา มีคำบริกรรม “พุทโธ” กำกับในอิริยาบถต่างๆ โดยกำหนดลมหายใจตามหลักอานาปานสติกัมมัฏฐาน และเน้นการปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา เพื่อช่วยบุคคลทั้งหลายให้มีการดำเนินชีวิตอย่างปกติ 3) หลวงปู่มั่นเน้นเรื่องการพิจารณากายหรือกายนุปัสสนาสติปัฏฐาน เริ่มจากมูลกัมมัฏฐานหรือกัมมัฏฐาน 5 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง ใช้อสุภกัมมัฏฐานพิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลของน่าเกลียด การปฏิบัติดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติเพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา นั่นคือการ ฝึกหัดจิตให้พิจารณากาย เมื่อพิจารณากายเห็นแจ้งประจักษ์ดังนี้ จิตของแต่ละบุคคลก็จะพ้นจากสมมติและอยู่ในวิมุตติ (ความหลุดพ้นจากความทุกข์)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการทำสมาธิในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และ 3) เพื่อวิเคราะห์การทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท วิทยานิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา และปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค รวมทั้งเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) สมาธิในพุทธศาสนา คือการมีจิตตั้งมั่นในอารมณ์มี 3 ระดับ คือ ขนิกสมาธิเป็นสมาธิขั้นต้นสำหรับบุคคลทั่วไป อุปจารสมาธิเป็นสมาธิขั้นระงับเป็นการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบจนตั้งมั่นเป็นสมาธิ อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิดำรงอยู่นานสงบนิ่งแน่วแน่เป็นเอกัคคตา และวิปัสสนากรรมฐานเป็นข้อปฏิบัติในการฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งในรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ 2) การทำสมาธิสายพุทโธของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านเน้นการปฏิบัติจริง ไม่เน้นความเข้าใจในหลักปริยัติ เน้นการปฏิบัติที่สมบูรณ์ในไตรสิกขา มีคำบริกรรม “พุทโธ” กำกับในอิริยาบถต่างๆ โดยกำหนดลมหายใจตามหลักอานาปานสติกัมมัฏฐาน และเน้นการปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา เพื่อช่วยบุคคลทั้งหลายให้มีการดำเนินชีวิตอย่างปกติ 3) หลวงปู่มั่นเน้นเรื่องการพิจารณากายหรือกายนุปัสสนาสติปัฏฐาน เริ่มจากมูลกัมมัฏฐานหรือกัมมัฏฐาน 5 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง ใช้อสุภกัมมัฏฐานพิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลของน่าเกลียด การปฏิบัติดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติเพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา นั่นคือการ ฝึกหัดจิตให้พิจารณากาย เมื่อพิจารณากายเห็นแจ้งประจักษ์ดังนี้ จิตของแต่ละบุคคลก็จะพ้นจากสมมติและอยู่ในวิมุตติ (ความหลุดพ้นจากความทุกข์)
The objectives of this thesis were : 1) to study meditation in Buddhism, 2) to study the Buddho meditation of Luang Pu Mun Phuritatto, and 3) to analyze the Buddho meditation of Luang Pu Mun Phuritatto, based on Theravada Buddhist philosophy. This thesis is a documentary research by studying and analyzing data from Buddhist scriptures such as the Tripitaka, Commentary and Pakorn Vises Visuddhimagga including academic papers and related research and then presented with an analytical description. The results of the research found that: 1) Mediation in Buddhism included of 3 levels of emotional confidence namely momentary concentration(Khanikasamadhi)which means to an initial meditation for the general people, proximate concentration (Upacarasamadhi) means to calming mediation that trains the mind to be calm until it developed to concentrated, fixed concentration (Uppanasamadhi) means to a long-standing meditation, calm and firm was one-pointedness of mind, and Vipassana meditation means to the practice of training to develop wisdom to achieve enlightenment in the noun by the three characteristics(Ti-lakkhana). 2) The Buddho meditation of Luang Pu Mun Phuritatto, emphasized practicality, not focus on understanding the rules, emphasis on complete practice in threefold training (Ti-Sikkha), with the blessing of "Buddho" directed in various gestures by setting the breath according to the principle of the Anapanasati Meditation (Three fold training) and emphasized the practice in alms, precepts, and prays to help people to live a normal life. 3) Luang Pu Mun emphasizes on physical considerations, or Kayanupassana mindfulness starting from 5 Mulakammathanas included of hair, fur, nails, teeth, and skin. He uses the undesirable nature for considering to the sewage. This practice is to consistent with the practice of purifying the mind in Buddhism which is how to train the mind to consider the body. Whenever considering the enlightened body, the mind of the individual will be freed from the assumption and in liberation (free from the suffering).
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสังคมอุดมคติตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาสังคมอุดมคติตามหลักปรัชญาตะวันตก และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบสังคมอุดมคติตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาตะวันตก การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1) สังคมอุดมคติในพุทธปรัชญาเถรวาท นั้นเริ่มต้นจากพระพุทธเจ้าต้องการล้มเลิกระบบสังคมเดิมและสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมาในอินเดียสมัยพุทธการ โดยวิธีการปฏิเสธระบบวรรณะในสังคมอินเดียที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมในสมัยนั้นอย่างชัดเจน โดยมีข้อสังเกตทีเด่นชัด คือ (1) การสร้างพระธรรมวินัยสงฆ์เพื่อเป็นทางเลือกในการปลดปล่อยตัวเองจากวรรณะต่ำทางสังคมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยหลักพระวินัยทั้งหมดจะเน้นความเสมอภาคในทุกด้านของสังคมสงฆ์ และ (2) การชี้นำมนุษย์ให้เข้าถึงสังคมแห่งพระศรีอริยเมตไตยที่มนุษย์อยู่ได้อย่างสงบสุขซึ่งทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวต่างก็เป็นสังคมมนุษย์ที่มีลักษณะการดำเนินชีวิตด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน 2) สังคมอุดมคติตามหลักปรัชญาตะวันตก ปรัชญาการเมืองของเพลโตก่อรูปแนวคิดขึ้นจากสภาพความปั่นป่วนทางการเมืองของเอเธนส์ และสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่อยู่ในสังคมชั้นสูง เพลโตมีทัศนะว่า อุดมรัฐเป็นสังคมอุดมคติที่ดีที่สุดมีจุดหมายทางการเมืองคือความยุติธรรม เพลโตให้ความสำคัญกับระบอบอภิชนาธิปไตยที่เป็นระบอบการปกครองที่ใกล้เคียงกับอุตมรัฐมากที่สุดจึงมีความสำคัญกับบุคคลผู้ที่จะมาเป็นผู้นำรัฐ โดยเขาเชื่อว่าลักษณะผู้นำทางการเมืองที่ดีจะต้องเป็นผู้นำที่มีทั้งความรู้และคุณธรรมที่เรียกว่า ราชาปราชญ์ และแนวความคิดจินตนาการเกินความจริง ความเข้มแข็งทางการเมืองอยู่ที่การจัดตั้งองค์กรแบบมีส่วนร่วมอิทธิพลของมนุษย์ที่มีต่อการพัฒนาสังคมการเมืองก็คือการพัฒนาจิตและการพัฒนาการศึกษาที่ดีลักษณะสังคมของเพลโตจึงเป็นสังคมนิยม แต่เป็นสังคมนิยมที่เป็นไปเพื่อการเมือง ศีลธรรม และการศึกษา ส่วนสังคมนิยมทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้กับชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้พิทักษ์ สังคมอุดมคติของเพลโต เป็นสังคมปลายปิด คือมีรูปแบบจำกัดตายตัวและแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก 3) เมื่อนำแนวคิดของพุทธทาสภิกขุและเพลโตมาเปรียบเทียบแล้วเห็นว่ามีประเด็นที่เหมือนกัน คือการปกครองที่ดีให้ถือตัวผู้ปกครองที่สมบูรณ์เป็นหลัก มีจุดมุ่งหมายของประโยชน์ของสังคมเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองท่านมีแนวคิดทางการเมืองแบบวิวัฒนาการเน้นที่การพัฒนาจิตใจ และคุณธรรมของผู้ปกครองหรือผู้นำทางการเมือง ซึ่งสังคมการเมืองที่ดีต้องเกิดจากผู้นำที่มีคุณธรรม ทั้งสองท่านปฏิเสธการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยแบบคนหมู่มาก และแตกต่างกันคือ เพลโตนำเสนอปรัชญาการเมืองที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากความเป็นจริง แต่ใช้วิธีการโต้แย้งด้วยเหตุผลเพื่อเข้าถึงสังคมอุดมคติ ให้ความสำคัญรูปแบบการปกครองเผด็จการ ที่อำนาจอยู่กับชนชั้นปกครองเพียงกลุ่มเดียว และผู้ปกครองต้องผ่านการศึกษาที่กำหนดเท่านั้น ส่วนพุทธทาสภิกขุไม่ให้ความสำคัญกับระบอบปกครองใดๆ เป็นพิเศษแต่ยอมรับวิธีเผด็จการโดยธรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่รวดเร็วในการปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมการเมืองเท่านั้น
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสังคมอุดมคติตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาสังคมอุดมคติตามหลักปรัชญาตะวันตก และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบสังคมอุดมคติตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทและปรัชญาตะวันตก การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1) สังคมอุดมคติในพุทธปรัชญาเถรวาท นั้นเริ่มต้นจากพระพุทธเจ้าต้องการล้มเลิกระบบสังคมเดิมและสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมาในอินเดียสมัยพุทธการ โดยวิธีการปฏิเสธระบบวรรณะในสังคมอินเดียที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมในสมัยนั้นอย่างชัดเจน โดยมีข้อสังเกตทีเด่นชัด คือ (1) การสร้างพระธรรมวินัยสงฆ์เพื่อเป็นทางเลือกในการปลดปล่อยตัวเองจากวรรณะต่ำทางสังคมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยหลักพระวินัยทั้งหมดจะเน้นความเสมอภาคในทุกด้านของสังคมสงฆ์ และ (2) การชี้นำมนุษย์ให้เข้าถึงสังคมแห่งพระศรีอริยเมตไตยที่มนุษย์อยู่ได้อย่างสงบสุขซึ่งทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวต่างก็เป็นสังคมมนุษย์ที่มีลักษณะการดำเนินชีวิตด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน 2) สังคมอุดมคติตามหลักปรัชญาตะวันตก ปรัชญาการเมืองของเพลโตก่อรูปแนวคิดขึ้นจากสภาพความปั่นป่วนทางการเมืองของเอเธนส์ และสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่อยู่ในสังคมชั้นสูง เพลโตมีทัศนะว่า อุดมรัฐเป็นสังคมอุดมคติที่ดีที่สุดมีจุดหมายทางการเมืองคือความยุติธรรม เพลโตให้ความสำคัญกับระบอบอภิชนาธิปไตยที่เป็นระบอบการปกครองที่ใกล้เคียงกับอุตมรัฐมากที่สุดจึงมีความสำคัญกับบุคคลผู้ที่จะมาเป็นผู้นำรัฐ โดยเขาเชื่อว่าลักษณะผู้นำทางการเมืองที่ดีจะต้องเป็นผู้นำที่มีทั้งความรู้และคุณธรรมที่เรียกว่า ราชาปราชญ์ และแนวความคิดจินตนาการเกินความจริง ความเข้มแข็งทางการเมืองอยู่ที่การจัดตั้งองค์กรแบบมีส่วนร่วมอิทธิพลของมนุษย์ที่มีต่อการพัฒนาสังคมการเมืองก็คือการพัฒนาจิตและการพัฒนาการศึกษาที่ดีลักษณะสังคมของเพลโตจึงเป็นสังคมนิยม แต่เป็นสังคมนิยมที่เป็นไปเพื่อการเมือง ศีลธรรม และการศึกษา ส่วนสังคมนิยมทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้กับชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้พิทักษ์ สังคมอุดมคติของเพลโต เป็นสังคมปลายปิด คือมีรูปแบบจำกัดตายตัวและแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก 3) เมื่อนำแนวคิดของพุทธทาสภิกขุและเพลโตมาเปรียบเทียบแล้วเห็นว่ามีประเด็นที่เหมือนกัน คือการปกครองที่ดีให้ถือตัวผู้ปกครองที่สมบูรณ์เป็นหลัก มีจุดมุ่งหมายของประโยชน์ของสังคมเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองท่านมีแนวคิดทางการเมืองแบบวิวัฒนาการเน้นที่การพัฒนาจิตใจ และคุณธรรมของผู้ปกครองหรือผู้นำทางการเมือง ซึ่งสังคมการเมืองที่ดีต้องเกิดจากผู้นำที่มีคุณธรรม ทั้งสองท่านปฏิเสธการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยแบบคนหมู่มาก และแตกต่างกันคือ เพลโตนำเสนอปรัชญาการเมืองที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากความเป็นจริง แต่ใช้วิธีการโต้แย้งด้วยเหตุผลเพื่อเข้าถึงสังคมอุดมคติ ให้ความสำคัญรูปแบบการปกครองเผด็จการ ที่อำนาจอยู่กับชนชั้นปกครองเพียงกลุ่มเดียว และผู้ปกครองต้องผ่านการศึกษาที่กำหนดเท่านั้น ส่วนพุทธทาสภิกขุไม่ให้ความสำคัญกับระบอบปกครองใดๆ เป็นพิเศษแต่ยอมรับวิธีเผด็จการโดยธรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่รวดเร็วในการปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมการเมืองเท่านั้น
ท่านให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ปกครองที่มีคุณธรรมด้วยตัวเอง อุตมรัฐเป็นรูปแบบของสังคมนิยมแบบโบราณ ที่เน้นความสัมพันธ์ ระหว่างประชาชนกับสังคม ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองแบบสาธารณะ แตกต่างจากธัมมิกสังคมนิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะ ที่ต้องการให้มนุษย์ดำเนินชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และแตกต่างจาก สังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ที่ให้ความสำคัญกับผลผลิตและเศรษฐกิจ เป็นการปกครองที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง แนวคิดของพุทธทาสภิกขุและเพลโต คือการแก้ไขปัญหาของสังคมแบบพัฒนาการ และระบบจริยธรรมทางสังคม แนวคิดของพุทธทาสและเพลโตมีความเป็นอุดมคติเกินไปโดยที่ไม่ยอมรับระบบประชาธิปไตยแบบคนหมู่มาก ทั้งสองท่านเห็นความบกพร่องของระบบประชาธิปไตย โดยที่พุทธทาสภิกขุเห็นว่า ระบบประชาธิปไตยเป็นระบบที่ส่งเสริมให้แต่ละคนทำตามกิเลสของตนอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการเอาเปรียบและการขัดแย้งกัน เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็เป็นประเทศทุนนิยมเสรีด้วย โดยที่ผลสำเสร็จและร่ำรวยจะตกอยู่กับคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่จะได้ส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยเพราะเป็นระบบที่ส่งเสริมให้ปัจเจกบุคคลกระทำตามความต้องการของตนเองอย่างเต็มที่และส่งเสริมทุนในการผลิตก่อให้เกิดการแบ่งชนชั้นขึ้นคือชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ เหมือนทัศนะเพลโตเชื่อว่าคนเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทัดเทียมกัน การปกครองหรือการเมืองเป็นศิลปะ ซึ่งคนจำนวนน้อยที่มีคุณสมบัติทางด้านความเฉลียวฉลาดเท่านั้นเรียนรู้บุคคลหรือกลุ่มคนที่เรียนรู้และเข้าถึงศาสตร์ แห่งการปกครองเท่านั้นจึงสมควรที่จะเป็นผู้ปกครอง
The objectives of this thesis were : 1) to study the ideal based on the Theravada Buddhist Philosophy 2) to study the ideal society based on the Western Philosophy and 3) to compare the ideal society based on the Theravada Buddhist Philosophy and the Western Philosophy. This research was a qualitative research by studying from documents and research. The results of the research found that : 1) The beginning of Ideal society in Theravada Buddhist Philosophy was the Buddha’s needs to give up the old social system and created a new social system in India in the Buddhist era. By rejection of the caste system in Indian society that created social inequality at that time evidently with prominent observation were (1) the creation of the Dharma-Vinai Sangha for as to be an alternative to liberate themselves from low castes that cannot be denied with all disciplines emphasized equality in all aspects of monastic society, and (2) guiding human to reach the society of Phra Sri Ariyametai, which human still be alive peacefully, both issues were all were human society that having a life style with equality and parallelism. 2) An ideal society based on western philosophy, Plato's political philosophy was conceptualized from the political turmoil of Athens and the family environment in the high society. Plato views that the state was an idealistic society was the best, the political goal of justice. Plato emphasized the aristocratic regime that was the closet to the Republic. It was important to the one who will be the leader. He believed that a good political leader’s characteristics must be a leader with both of knowledge and morality, known as a philosopher, and the concept of imagination was exaggerated. Political strength lied in participatory organization, human influence on the development of socio-political was the development of the mind and the development of good education. Plato’s social character was socialism but it was socialism that was for politics, morality, and education. Economic socialism was applied to the ruling and guardian, a closed society. It was a form that was fixed and cannot be changed. 3) When comparing the concepts of Buddhadasa Bhikkhu and Plato, the same issue was a good governance, to hold the perfect ruler as the basis. The aim of the benefits of society was in the same direction; both of them had evolutionary political ideas, focusing on mental development, and the virtues of political leaders. A good political society must be born from a leader with virtue, Both of them rejected democratic regime, and the difference was, Plato presented a political philosophy that was not base on the truth. But using a rational argument to reach the ideal society. Pat attention to the form of dictatorship which power lies with only one ruling class and parents must pass the required education only. For as the different from the characteristic socialist theory that wanted humans to live dependent on each other and different from Marxist socialism focused on productivity and economy. It was the rule that arose from the conflict. The concept of Buddhadasa Bhikkhu and Plato were to solve problems of developmental society and social ethical systems. The ideas of Buddhadasa Bkikkhu and Plato were too ideological without accepting mass democracy. Both of them known the short comings of the democratic system. Most people got a small share because it was a system that encouraged the individual to act fully to his or her own desires and to promote capital in production, causing the division of classes into the bourgeoisie and the proletariat. Like Plato’s view, we weren’t created equal. Governance or politics was not art. In which only a small group of people with intelligence qualifications learn the individual or group of people who learn and gain access to science of the government only therefore deserved to be a ruler.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเสนอแนวทางปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 17 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มย่อย การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. การปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กระบวนการพยาบาลด้านการส่งเสริม การป้องกันโรค การรักษา การฟื้นฟู ตามมาตรฐานวิชาชีพ ด้วยการรักษาสิทธิผู้ป่วย โดยยึดหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ การปฏิบัติการพยาบาลและผดุงครรภ์ มีการพัฒนาคุณภาพ โดยยึดหลักผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง มีการวางแผนร่วมกับทีมสุขภาพ ด้วยความรัก ความสามัคคี มีเมตตา ให้อภัย และมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้ป่วย มีการบันทึกและรายงานการพยาบาลและผดุงครรภ์ อย่างครบถ้วนตามมาตรฐานวิชาชีพ 2. การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด มีการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรัก ความพอใจ ภาคภูมิใจในวิชาชีพ ด้วยความขยัน ไม่ย่อท้อ เอาใจใส่ มีจิตจดจ่ออยู่กับภารกิจนั้น ๆ ด้วยความมุ่งมั่น ใช้ปัญญาพินิจพิเคราะห์อย่างรอบคอบและแยบยล 3. แนวทางปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด ควรมีความรักความศรัทธา ความภาคภูมิใจในวิชาชีพ มีความขยันในการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่ย่อท้อ มีการทบทวนและตรวจสอบภารกิจอย่างจดจ่อ รอบครอบ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีสติ โดยใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองก่อนการปฏิบัติหน้าที่ ขณะปฏิบัติหน้าที่ และหลังปฏิบัติหน้าที่อย่างบูรณาการ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเสนอแนวทางปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 17 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มย่อย การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. การปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพของพยาบาลห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กระบวนการพยาบาลด้านการส่งเสริม การป้องกันโรค การรักษา การฟื้นฟู ตามมาตรฐานวิชาชีพ ด้วยการรักษาสิทธิผู้ป่วย โดยยึดหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ การปฏิบัติการพยาบาลและผดุงครรภ์ มีการพัฒนาคุณภาพ โดยยึดหลักผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง มีการวางแผนร่วมกับทีมสุขภาพ ด้วยความรัก ความสามัคคี มีเมตตา ให้อภัย และมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้ป่วย มีการบันทึกและรายงานการพยาบาลและผดุงครรภ์ อย่างครบถ้วนตามมาตรฐานวิชาชีพ 2. การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด มีการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรัก ความพอใจ ภาคภูมิใจในวิชาชีพ ด้วยความขยัน ไม่ย่อท้อ เอาใจใส่ มีจิตจดจ่ออยู่กับภารกิจนั้น ๆ ด้วยความมุ่งมั่น ใช้ปัญญาพินิจพิเคราะห์อย่างรอบคอบและแยบยล 3. แนวทางปฏิบัติหน้าที่ตามหลักอิทธิบาท 4 ของพยาบาลห้องผ่าตัด ควรมีความรักความศรัทธา ความภาคภูมิใจในวิชาชีพ มีความขยันในการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่ย่อท้อ มีการทบทวนและตรวจสอบภารกิจอย่างจดจ่อ รอบครอบ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีสติ โดยใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองก่อนการปฏิบัติหน้าที่ ขณะปฏิบัติหน้าที่ และหลังปฏิบัติหน้าที่อย่างบูรณาการ
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study performing duties according to professional standards of nurses in operation room of Nakhon Phing hospital, Maerim district, Chiang Mai province, 2) to study performing duties according to 4 iddhipadas of nurses in operation room of Nakhon Phing hospital, Maerim district, Chiang Mai province, and 3) to propose guidelines for performing duties according to 4 iddhipadas of nurses in operation room of Nakhon Phing hospital, Maerim district, Chiang Mai province. It was a qualitative research with the target of 17 nurses in operation room of Nakhon Phing hospital, Chiang Mai province. The data were collected through interview, focus group discussion and participant observation. The analysis and research results were presented in descriptive manner. The results of research were found that: 1.Performing duties according to professional standards of nurses in operation room of Nakhon Phing hospital, Maerim district, Chiang Mai province enclosed performing duties with the process of nursing in the fields of promotion, disease prevention, treatment, and rehabilitation according to professional standards by maintaining patient’s rights by adhering to ethical principles and professional ethics. Nursing and midwifery practice required quality development based on the patient-centered principle and planning with health team with love, unity, compassion, forgiveness and a focus on patient’s benefits. Nursing and midwifery were fully recorded and reported in accordance with professional standards. 2. Performing duties according to 4 iddhipadas of nurses in operation room enclosed performing duties with love, satisfaction, pride in profession, diligence, indomitableness and mental concentration on mission with determination as well as application of wisdom with careful and wise consideration. 3. Guidelines for performing duties according to 4 Iddhipadas of nurses in operating room should include love, faith, pride in profession, diligence in performing duties with responsibility, indomitableness, careful and thoughtful review and examination of the mission with conscious determination as well as application of wisdom to consider and reflect before and after performing duties in integrated manner.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 67 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการจัดการความรู้ ด้านภาวะผู้นำร่วมการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ ด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชนการปฏิบัติที่มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน ด้านการมีเงื่อนไขที่สนับสนุน ด้านการแบ่งปันบทเรียนส่วนบุคคล ด้านการจัดการสภาพเอื้ออำนวย ด้านการเปิดรับการชี้แนะในการปฏิบัติงาน ด้านวิสัยทัศน์ร่วม ด้านชุมชนกัลยาณมิตรและด้านทีมร่วมแรงร่วมใจ ตามลำดับ 2. การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิต จากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านพื้นฐานการเรียนรู้สาระวิชาหลัก (3R) ด้านทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ด้านความรู้เชิงบูรณาการสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะชีวิตและอาชีพ ด้านคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 และด้านทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ตามลำดับ 3 การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการมีเงื่อนไขที่สนับสนุน (X10) ด้านการจัดการความรู้ (X8) ด้านทีมร่วมแรงร่วมใจ (X2) ด้านการแบ่งปันบทเรียนส่วนบุคคล (X7) และด้านวิสัยทัศน์ร่วม (X1) ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.842 ประสิทธิภาพในการทำนายเท่ากับ 0.709 โดยภาพรวม (Ytot) ได้ร้อยละ 71 ค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับแล้ว (Adjusted R Square) เท่ากับ .704 โดยภาพรวม (Ytot) ที่มีการปรับแล้ว ได้ร้อยละ 70 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนายเท่ากับ .1743 สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอยได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Ytot) = -1.859 + 0.728 (X10) + 0.408 (X8) + 0.239 (X2) + 0.480 (X7) + -0.432 (X1) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตราฐาน (Zy) (Zy) = 0.602 (X10) + 0.225 (X8) + 0.239 (X2) + 0.457 (X7) + -0.422 (X1)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 67 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการจัดการความรู้ ด้านภาวะผู้นำร่วมการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ ด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชนการปฏิบัติที่มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน ด้านการมีเงื่อนไขที่สนับสนุน ด้านการแบ่งปันบทเรียนส่วนบุคคล ด้านการจัดการสภาพเอื้ออำนวย ด้านการเปิดรับการชี้แนะในการปฏิบัติงาน ด้านวิสัยทัศน์ร่วม ด้านชุมชนกัลยาณมิตรและด้านทีมร่วมแรงร่วมใจ ตามลำดับ 2. การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิต จากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านพื้นฐานการเรียนรู้สาระวิชาหลัก (3R) ด้านทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ด้านความรู้เชิงบูรณาการสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะชีวิตและอาชีพ ด้านคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 และด้านทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ตามลำดับ 3 การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ ด้านการมีเงื่อนไขที่สนับสนุน (X10) ด้านการจัดการความรู้ (X8) ด้านทีมร่วมแรงร่วมใจ (X2) ด้านการแบ่งปันบทเรียนส่วนบุคคล (X7) และด้านวิสัยทัศน์ร่วม (X1) ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.842 ประสิทธิภาพในการทำนายเท่ากับ 0.709 โดยภาพรวม (Ytot) ได้ร้อยละ 71 ค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับแล้ว (Adjusted R Square) เท่ากับ .704 โดยภาพรวม (Ytot) ที่มีการปรับแล้ว ได้ร้อยละ 70 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนายเท่ากับ .1743 สามารถเขียนเป็นรูปสมการวิเคราะห์การถดถอยได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (Ytot) = -1.859 + 0.728 (X10) + 0.408 (X8) + 0.239 (X2) + 0.480 (X7) + -0.432 (X1) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตราฐาน (Zy) (Zy) = 0.602 (X10) + 0.225 (X8) + 0.239 (X2) + 0.457 (X7) + -0.422 (X1)
The objectives of this research were 1) to study the management of professional learning communities of administrators of educational institutions under the Bangkok Secondary Education Service Area Office 1 2) to study the development of learning management in the 21st century of educational institutions. Study under the Bangkok Secondary Education Service Area Office, Region 1 3) to study the management of professional learning communities of administrators affecting the development of learning management in the 21st century of educational institutions under the Bangkok Secondary Education Service Area Office 1, the sample groups were administrators and teachers of educational institutes under the Bangkok Secondary Education Service Area Office 1, 67 schools the tools used in this research were research questionnaires. Data analysis uses software packages. The statistics used to analyze the data are: Percentage, Frequency, Mean, Standard Deviation The correlation coefficient and multiple regression analysis were used. by using a stepwise regression analysis method. The results showed that 1. Community Management of professional learning Under the Bangkok secondary education eervice area office 1 the overall level was at the highest level. When considering each aspect by sorting the arithmetic mean value from highest to lowest as follows knowledge management Leadership in learning and professional development on the structural aspect it supports a community of practices that share a common goal for student learning. supporting conditions personal lesson sharing management of favorable conditions openness for guidance in operation shared vision for the community of friends and for the team together, respectively. 2. The development of learning management in the 21st century under the Bangkok Secondary Education Service Area Office 1 as a whole is at the highest level when considering each side by sorting the arithmetic mean from highest to lowest as follows Fundamentals of learning the main subject (3R) information, media and technology skills integrated knowledge for the 21st century life and career skills. 21st century attributes and learning skills and innovations, respectively. 3. The management of professional learning communities of administrators had a statistically significant effect on the development of learning management in the 21st century of educational establishments under the Bangkok secondary education service area office 1 at the . 01 ranked in order of importance, they are having support conditions (X10) knowledge management (X8) teamwork (X2) individual lesson sharing (X7) and shared vision (X1) respectively. statistically significant at the .01 level. The multiple correlation coefficient was 0.842. The predictive efficiency was 0.709. Overall (Ytot) was 71%. The adjusted prediction efficiency (Adjusted R Square) was .704. Overall (Ytot) adjusted 70%, the standard error for prediction was .1743. It can be written as a regression analysis equation as follows. Forecast equations in raw score form (Ytot) = -1.859 + 0.728 (X10) + 0.408 (X8) + 0.239 (X2) + 0.480 (X7) + -0.432 (X1) Forecast equation in standard score form (Zy) (Zy) = 0.602 (X10) + 0.225 (X8) + 0.239 (X2) + 0.457 (X7) + -0.422 (X1)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน 2) เพื่อศึกษาประโยชน์ของการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องและการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง (เป้าหมาย) จำนวน 73 คน โดยการเลือกเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วยผู้ที่แต่งงานไม่เกิน 2 ปี 8 คู่ ผู้ที่แต่งงานมากกว่า 10 ปี 24 คู่ และผู้ที่หย่าร้าง 8 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า: 1. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากได้ครองเรือนตามหลักฆราวาสธรรม แต่มีบางส่วนในกลุ่มเป้าหมายผู้ที่หย่าร้างไม่ได้นำหลักฆราวาสธรรม 4 ไปประยุกต์ใช้ในการครองเรือน หรือบางคนนำเอาหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่งไปประยุกต์ใช้ในการครองเรือน 2. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากส่วนมากได้ประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือน และได้ผลประโยชน์ต่อการครองเรือนอย่างชัดเจน และนำเอาผลประโยชน์ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ต่อการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นแบบอย่างอันดีแก่บุตรหลาน 3. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากได้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการครองเรือนตามประสบการณ์ที่ตนได้พบเจออย่างเจาะจงซึ่ง ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับหลักฆราวาสธรรม และสามารถเอาไปเป็นแบบเรือน (อย่าง) ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อที่จะทำให้ชีวิตการครองเรือนเกิดพัฒนาดี และสามารถเป็นแบบดีแก่คนข้าง ๆ เพื่อความสงบสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน 2) เพื่อศึกษาประโยชน์ของการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือนของชาวไทลื้อในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องและการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง (เป้าหมาย) จำนวน 73 คน โดยการเลือกเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วยผู้ที่แต่งงานไม่เกิน 2 ปี 8 คู่ ผู้ที่แต่งงานมากกว่า 10 ปี 24 คู่ และผู้ที่หย่าร้าง 8 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า: 1. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากได้ครองเรือนตามหลักฆราวาสธรรม แต่มีบางส่วนในกลุ่มเป้าหมายผู้ที่หย่าร้างไม่ได้นำหลักฆราวาสธรรม 4 ไปประยุกต์ใช้ในการครองเรือน หรือบางคนนำเอาหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่งไปประยุกต์ใช้ในการครองเรือน 2. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากส่วนมากได้ประยุกต์ใช้หลักฆราวาสธรรมในการครองเรือน และได้ผลประโยชน์ต่อการครองเรือนอย่างชัดเจน และนำเอาผลประโยชน์ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ต่อการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นแบบอย่างอันดีแก่บุตรหลาน 3. ชาวไทลื้อในหมู่บ้านเจียงฮ้า ส่วนมากได้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการครองเรือนตามประสบการณ์ที่ตนได้พบเจออย่างเจาะจงซึ่ง ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับหลักฆราวาสธรรม และสามารถเอาไปเป็นแบบเรือน (อย่าง) ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อที่จะทำให้ชีวิตการครองเรือนเกิดพัฒนาดี และสามารถเป็นแบบดีแก่คนข้าง ๆ เพื่อความสงบสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study the application of Gharãvãsadhamma in household life of Tai Lue people in Xishuangbanna Autonomous Region, People's Republic of China, 2) to study the benefits of applying Gharãvãsadhamma in household life of Tai Lue people in Xishuangbanna Autonomous Region, The People's Republic of China 3) to study recommendations for applying Gharãvãsadhamma in household life of Tai Lue people in Xishuangbanna Autonomous Region, People's Republic of China. It was a qualitative research by studying relevant documents and purposive in-depth interviews. A target group of 73 people that was selected by purposive sampling consisted of 8 couples who were married for less than 2 years, 24 couples who were married for more than 10 years, and 8 couples who were divorced. Research tools included relevant papers and researches as well as purposive in-depth interview. The results of research were found that: 1. Most of Tai Lue people in Jiang Ha village held their household life according to Gharãvãsadhamma. But, there were some in the target group of divorced people who did not apply 4 principles of Gharãvãsadhamma in their household life, or some people applied one principle in their household life. 2. Most of Tai Lue people in Jiang Ha village applied Gharãvãsadhamma in their household life and they clearly got benefits in their household life. They took benefits from the application in life to become a good example for their children. 3. Most of Tai Lue people in Jiang Ha Village gave their opinions and suggestions on how to have household life on the basis of their specific experiences. The suggestions were consistent with the principles of Gharãvãsadhamma and could be taken as a model in everyday life in order to make better develop the household life. They could be a good model for the people for peace of co-existence in society.
หนังสือ

หนังสือ

หนังสือ

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบด้วยวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากร ได้แก่ ประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 4,037คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie and Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง 375 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายเปิดและแบบปลายปิด สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผู้ที่ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) แล้วนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านฉันทะ(สุขภาพ) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x ̅ = 2.75) รองลงมา ได้แก่ ด้านวิมังสา (สติปัญญา) (x ̅ = 2.70) ส่วนด้านจิตตะ (ความสัมพันธ์ทางสังคม) (x ̅ = 2.64) และด้านวิริยะ (อารมณ์) มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (x ̅ = 2.40) ตามลำดับ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช คือ ประชาชนไม่ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชุมชนจัดขึ้น คนในชุมชนมีการเอารัดเอาเปรียบกัน ความไม่เสมอภาคในการอยู่ร่วมกัน เกิดความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขาดความรู้ความเข้าใจในการเลือกบริโภคอาหารหลัก 5 หมู่ ที่ถูกต้อง ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ไม่ได้รับคำแนะนำเพื่อเสริมสร้างทักษะและประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ และติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างถูกต้อง 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการสัมภาษณ์ พบว่าหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำการพัฒนาคุณภาพชีวิตและหลักพุทธธรรมแก่ชุมชนทั้งในมิติด้านสุขภาพ ด้านอารมณ์ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมและด้านสติปัญญา โดยใช้แนวทางในการให้คำแนะนำการสนับสนุนส่งเสริมและการอบรมเพิ่มพูนปัญญาและคุณธรรม
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบด้วยวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากร ได้แก่ ประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 4,037คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie and Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง 375 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายเปิดและแบบปลายปิด สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผู้ที่ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) แล้วนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านฉันทะ(สุขภาพ) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x ̅ = 2.75) รองลงมา ได้แก่ ด้านวิมังสา (สติปัญญา) (x ̅ = 2.70) ส่วนด้านจิตตะ (ความสัมพันธ์ทางสังคม) (x ̅ = 2.64) และด้านวิริยะ (อารมณ์) มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (x ̅ = 2.40) ตามลำดับ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช คือ ประชาชนไม่ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชุมชนจัดขึ้น คนในชุมชนมีการเอารัดเอาเปรียบกัน ความไม่เสมอภาคในการอยู่ร่วมกัน เกิดความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขาดความรู้ความเข้าใจในการเลือกบริโภคอาหารหลัก 5 หมู่ ที่ถูกต้อง ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ไม่ได้รับคำแนะนำเพื่อเสริมสร้างทักษะและประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ และติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างถูกต้อง 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพุทธธรรมของประชาชนในชุมชนท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการสัมภาษณ์ พบว่าหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำการพัฒนาคุณภาพชีวิตและหลักพุทธธรรมแก่ชุมชนทั้งในมิติด้านสุขภาพ ด้านอารมณ์ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมและด้านสติปัญญา โดยใช้แนวทางในการให้คำแนะนำการสนับสนุนส่งเสริมและการอบรมเพิ่มพูนปัญญาและคุณธรรม
The objectives of this thesis are as follows: 1) To study Life quality Development according to Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province 2) to study the problems and obstacles in Life quality Development according to Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province. 3. To recommend Life quality Development according to Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province. This is the mixes method research, the quantitative research the samples are people in Thonglumgeak community. Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province for 4,037 persons sample size by Krejcie and Morgan measurement, the samples were 375 persons. The data collection with both closed and open ended question. The statistics composed of frequency, percentage, mean, standard deviation and qualitative research composed of five key informants, using purposive sampling data collection by in depth interview with (non structure) and analysis by descriptive analysis. The results of research were found that : 1. The research results showed that the life quality development according to the Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province by overall was at a moderate level. When classified by aspect, it was found that the aspect of health (Chandha) is the highest mean (x ̅=2.75, and followed by the aspect of wisdom (Vimansa) (x ̅ = 2.70) and the aspect of social relation (Chitta) (x ̅ = 2.64) and the aspect of Emotion was the lowest mean (x ̅ = 2.40) respectively 2. Problems and obstacles in life quality development according to the Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province is that people are not make important in activities in community, selfish, unequal, untrusty each others, there are worry about safety in life and wealth, lake of knowledge in healthy food, lake of drinking water, without suggestion in skills and experiences and follow up the community environment changing as righteously. 3. Recommendations for life quality development according to the Buddha dhamma of people in Thonglumgeak community, Chian Yai District, Nakhon Si Thammarat Province by in depth interview found that; The government offices or concerning organization should have staffs for suggestion of life quality development and Buddha Dhamma principle in community in term of health emotion social relation and wisdom with support in promotion of wisdom and virtue.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี 2) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาในการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดรูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed methodology ) ประชากรในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี (ระดับมัธยมปลาย) จำนวน 374 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 191 คน และวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงพรรณนาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า : 1) การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุราษฎร์ธานี โดยรวม พบว่า โดยรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความกตัญญูกตเวที มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต และด้านความเมตตากรุณา มีค่าเฉลี่ยน้อยสุด 2) ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรค ที่มีข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ด้านความมีเมตตากรุณา ได้แก่ ขาดความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนนักเรียนด้วยกันยังไม่มีเท่าที่ควรและการไม่ค่อยสนใจในความเมตตากรุณาหรือในการทำความดีเท่าที่ควร แนวทางแก้ไขปัญหาที่มีข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ด้านความเมตตากรุณา ได้แก่ ควรปลูกฝังให้นักเรียนมีจิตเมตตา มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ให้นักเรียนทำสมุดบันทึกความดีและจดบันทึกทุกครั้ง ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการแบ่งปันแก่เพื่อน ๆ 3) แนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี พบว่า ควรนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าไปส่งเสริมมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้รับรู้และเข้าใจ ส่งเสริมให้นักเรียนมีจิตสำนึกที่ดีให้มีหิริโอตัปปะละอายในสิ่งไม่ดีและกลัวต่อการทำความผิด เราควรสร้างและส่งเสริมระเบียบวินัยในทุกด้าน ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักหน้าที่ของตนเอง ควรสร้างจิตสำนึกช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความลำบาก ควรสอนให้นักเรียนมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ควรส่งเสริมในการเสียสละให้นักเรียนมีจิตอาสาในการช่วยเหลือสังคมอย่างที่สุด
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี 2) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาในการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดรูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed methodology ) ประชากรในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี (ระดับมัธยมปลาย) จำนวน 374 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 191 คน และวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงพรรณนาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า : 1) การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุราษฎร์ธานี โดยรวม พบว่า โดยรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความกตัญญูกตเวที มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต และด้านความเมตตากรุณา มีค่าเฉลี่ยน้อยสุด 2) ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรค ที่มีข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ด้านความมีเมตตากรุณา ได้แก่ ขาดความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนนักเรียนด้วยกันยังไม่มีเท่าที่ควรและการไม่ค่อยสนใจในความเมตตากรุณาหรือในการทำความดีเท่าที่ควร แนวทางแก้ไขปัญหาที่มีข้อเสนอแนะมากที่สุด คือ ด้านความเมตตากรุณา ได้แก่ ควรปลูกฝังให้นักเรียนมีจิตเมตตา มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ให้นักเรียนทำสมุดบันทึกความดีและจดบันทึกทุกครั้ง ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการแบ่งปันแก่เพื่อน ๆ 3) แนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สุราษฎร์ธานี พบว่า ควรนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าไปส่งเสริมมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้รับรู้และเข้าใจ ส่งเสริมให้นักเรียนมีจิตสำนึกที่ดีให้มีหิริโอตัปปะละอายในสิ่งไม่ดีและกลัวต่อการทำความผิด เราควรสร้างและส่งเสริมระเบียบวินัยในทุกด้าน ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักหน้าที่ของตนเอง ควรสร้างจิตสำนึกช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความลำบาก ควรสอนให้นักเรียนมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ควรส่งเสริมในการเสียสละให้นักเรียนมีจิตอาสาในการช่วยเหลือสังคมอย่างที่สุด
The thesis aims are as follows: 1) To study the Promoting the morality and ethics of students in Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school. 2) to study obstacles and solutions to promote morality and ethics of students in Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school. and 3) to study ways to promote morality morality and ethics of students in Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school. Researchers defined the mixed methodology In quantitative research, including of 374 persons at Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school, the researchers determined the size of the sample according to Krejcie and Morgan's prefabricated schedule, sampled 191 persons and qualitative research collected data by conducting in-depth interviews with 5 key informants. The statistics used are as following, percentages, arithmetic mean, standard deviation, and qualitative research data analysis with contextual descriptve analysis technique. The results showed that 1) The results of the study, promoting the morality and ethics of students of Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school as a whole, showed that 6 aspects were at a high level. When considering the sides, it was found that the gratitude side was the highest average and followed up honesty side and compassion side was lowest mean. 2) The result of conclusion of problems and obstacles, The aspect of metta (kindness) found that lack of kindness on human and animal, lack of compassion to students and without sympathetic to other as much as possible. The guideline found that the aspect of Metta Karuna was the highest level ; there should cultivate student for kindness, love human and animal, there should have goodness diary, there should have activity of giving each others. 3) Guideline for promoting of moral and ethics of students in Treamudom Suksa Pattanakarn Surat Thani school found that there should convey of Buddhist principle for promoting as more and more, to get knowledge and understanding, to promote student for good consciousness and avoid of bad doing , there should build and promote on all disciplinaries, to promote student on their duties , there should cultivate on consciousness for helping others to get out of all suffering, there should teach students to understand of gratefulness to their parents, teachers and grateful person, there should promote on self-sacrifice to student in social welfare as absolutely.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร จำนวน 376 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-Way ANOVA) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนข้อเสนอแนะใช้ในการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานครมีการใช้หลักภาวนา 4 โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากมากไปหาน้อยดังนี้ 1) ด้านศีลภาวนา 2) ด้านกายภาวนา 3) ด้านจิตตภาวนา และ 4) ด้านปัญญาภาวนา ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อาชีพต่างกัน มีการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน แต่ที่มีอายุ รายได้ต่อเดือน และระดับการศึกษาต่างกัน มีการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ด้านกายภาวนา อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างรู้จักคุณค่า ปรับตนเองกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ดูแลรักษาสุขภาพของตนให้ดี 2) ด้านศีลภาวนา ฝึกฝนตนเองและปฏิบัติตามระเบียบวินัย รักษากาย วาจา ให้เรียบร้อยเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 3) ด้านจิตตภาวนา ฝึกฝนให้ตนมีจิตใจที่อิสระเบิกบานผ่องใส รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา กรุณา และ 4) ด้านปัญญาภาวนา ใช้เหตุและผลในการพิจารณาแก้ไขปัญหา สามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง และแก้ไขได้ด้วยสติปัญญา มองเห็นสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร จำนวน 376 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test or One-Way ANOVA) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนข้อเสนอแนะใช้ในการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานครมีการใช้หลักภาวนา 4 โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกออกเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากมากไปหาน้อยดังนี้ 1) ด้านศีลภาวนา 2) ด้านกายภาวนา 3) ด้านจิตตภาวนา และ 4) ด้านปัญญาภาวนา ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ อาชีพต่างกัน มีการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน แต่ที่มีอายุ รายได้ต่อเดือน และระดับการศึกษาต่างกัน มีการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้หลักภาวนา 4 ของประชาชนเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ด้านกายภาวนา อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างรู้จักคุณค่า ปรับตนเองกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ดูแลรักษาสุขภาพของตนให้ดี 2) ด้านศีลภาวนา ฝึกฝนตนเองและปฏิบัติตามระเบียบวินัย รักษากาย วาจา ให้เรียบร้อยเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 3) ด้านจิตตภาวนา ฝึกฝนให้ตนมีจิตใจที่อิสระเบิกบานผ่องใส รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา กรุณา และ 4) ด้านปัญญาภาวนา ใช้เหตุและผลในการพิจารณาแก้ไขปัญหา สามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง และแก้ไขได้ด้วยสติปัญญา มองเห็นสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
The objectives of this research were: 1) to study the state of using the four Bhāvanā principles of people in Nong Khaem District of Bangkok, 2) to compare the use of the four Bhāvanā principles of people in Nong Khaem District of Bangkok with different sex, age, education level, occupation and monthly income, and 3) to analyze suggestions for promoting the use of the four Bhāvanā principles of people in Nong Khaem District of Bangkok. 376 samples were drawn randomly from people in Nong Khaem District. The sample size (n = 380) was determined by using Krejcie and Morgan’s (1970) table of sample sizes, specifying a 5% margin of error. The experimental data were collected by questionnaire and summarized with descriptive statistics; frequency, percentage, mean and standard deviation, and then compared groups by using independent-sample t-tests, F-tests and one-way analysis of variance (ANOVA). The data were analyzed by statistics software. The results of the study were found that: 1) The state of using the four Bhāvanā principles of people in Nong Khaem District of Bangkok was at a high level overall. When considering in aspects by descending mean, the maximum was on Moral cultivation, followed by Physical cultivation, Mental cultivation and Wisdom cultivation respectively. 2) In comparison, the people in Nong Khaem District with different gender and occupation had no statistically significant difference in using the four principles of Bhāvanā, but those with different age, monthly income and education levels showed the statistically significant difference in using the four principles of Bhāvanā at the .05 level. 3) The suggestions in promoting the use of Bhāvanā principles were as follows:1) Physical cultivation: coexisting with environment, knowing the values of environment, balancing oneself and environment, and taking good care of one’s health, 2) Moral cultivation: self-training and having discipline, keeping appropriate bodily and verbal actions in order to live with others in society happily, and not creating troubles to others, 3) Mental cultivation: training oneself to be pleasurable and cheerful, having generosity, kindness, and compassion, and 4) Wisdom cultivation: problem solving based on cause and effect, understanding things correctly and resolving them with intelligence, and seeing things as they really are.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาการรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนาเถรวาทและหลักพุทธจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด 3) และเพื่อวิเคราะห์ผลการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1. การรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนาเถรวาทและหลักพุทธจริยศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า อุโบสถศีล มีพัฒนาการมาจาก คำว่า อุโปสถะ เป็นคำที่มีกำเนิดมาจากพิธีกรรมเนื่องในยัญพิธีที่มีปฏิบัติกันมาในชมพูทวีปตั้งแต่สมัยพระเวทก่อนพุทธกาล เมื่อพระพุทธศาสนาเกิด พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุสวดปาฏิโมกข์ในวันอุโบสถ และให้อุบาสกอุบาสิกาเข้าวัดฟังธรรมและอยู่จำอุโบสถศีลในวันพระเดือนละ 4 วันคือ วันขึ้น 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 8 ค่ำ แรม 15 ค่ำ หรือ แรม 14 ค่ำ ส่วนพุทธจริยศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยหลักประพฤติปฏิบัติที่ดีงามมี 3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง 2. การรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจวัดประชาคมวนาราม ตามหลักพุทธจริยศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า การรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม เป็นการรักษาแบบปกติอุโบสถ ที่มีระยะเวลารักษาครั้งละ 1 วัน 1 คืน เมื่อจัดเข้าในพุทธจริยศาสตร์ 3 ระดับได้ดังนี้ ระดับต้น คือ เบญจศีล เบญจธรรม และหลักทิศ 6 พุทธจริยศาสตร์ระดับกลาง คือ การรักษาอุโบสถศีล พุทธจริยศาสตร์ระดับสูงคือ การปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 เช่น มีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าการรักษาอุโบสถศีลเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องควรประพฤติปฏิบัติ 3. การวิเคราะห์ผลการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ดตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ผู้วิจัยได้แบ่งประเด็นการวิจัยออกเป็น 3 ด้าน คือ (1) ผลที่เกิดกับปัจเจกชน (2) ผลที่เกิดกับชุมชน สังคมและประเทศชาติ และ (3) ผลที่เกิดต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า ผลที่เกิดกับตัวปัจเจกชนหรือตัวผู้รักษา 3 อย่างคือ ผลดีต่อร่างกาย เช่น ศีลข้อ 5 และ ข้อ 6, ผลดีต่อจิตใจ คือ การรักษาอุโบสถศีลเป็นการรักษากาย วาจา ให้ปกติและเจริญกรรมฐานให้จิตใจสงบ, ผลโดยรวมคือ การดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศเกิดมีสันติสุขเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จมั่นคงอย่างยั่งยืน เพราะปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงส่งผลให้พระพุทธศาสนาย่อมมีความเจริญและมั่นคงในประเทศนั้นๆ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาการรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนาเถรวาทและหลักพุทธจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด 3) และเพื่อวิเคราะห์ผลการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1. การรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนาเถรวาทและหลักพุทธจริยศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า อุโบสถศีล มีพัฒนาการมาจาก คำว่า อุโปสถะ เป็นคำที่มีกำเนิดมาจากพิธีกรรมเนื่องในยัญพิธีที่มีปฏิบัติกันมาในชมพูทวีปตั้งแต่สมัยพระเวทก่อนพุทธกาล เมื่อพระพุทธศาสนาเกิด พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุสวดปาฏิโมกข์ในวันอุโบสถ และให้อุบาสกอุบาสิกาเข้าวัดฟังธรรมและอยู่จำอุโบสถศีลในวันพระเดือนละ 4 วันคือ วันขึ้น 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 8 ค่ำ แรม 15 ค่ำ หรือ แรม 14 ค่ำ ส่วนพุทธจริยศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยหลักประพฤติปฏิบัติที่ดีงามมี 3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง 2. การรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจวัดประชาคมวนาราม ตามหลักพุทธจริยศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า การรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม เป็นการรักษาแบบปกติอุโบสถ ที่มีระยะเวลารักษาครั้งละ 1 วัน 1 คืน เมื่อจัดเข้าในพุทธจริยศาสตร์ 3 ระดับได้ดังนี้ ระดับต้น คือ เบญจศีล เบญจธรรม และหลักทิศ 6 พุทธจริยศาสตร์ระดับกลาง คือ การรักษาอุโบสถศีล พุทธจริยศาสตร์ระดับสูงคือ การปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 เช่น มีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าการรักษาอุโบสถศีลเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องควรประพฤติปฏิบัติ 3. การวิเคราะห์ผลการรักษาอุโบสถศีลของยุวพุทธมามกะอาสาศรีอินทรารักษาใจ วัดประชาคมวนาราม อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ดตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ผู้วิจัยได้แบ่งประเด็นการวิจัยออกเป็น 3 ด้าน คือ (1) ผลที่เกิดกับปัจเจกชน (2) ผลที่เกิดกับชุมชน สังคมและประเทศชาติ และ (3) ผลที่เกิดต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ผลการวิจัยพบว่า ผลที่เกิดกับตัวปัจเจกชนหรือตัวผู้รักษา 3 อย่างคือ ผลดีต่อร่างกาย เช่น ศีลข้อ 5 และ ข้อ 6, ผลดีต่อจิตใจ คือ การรักษาอุโบสถศีลเป็นการรักษากาย วาจา ให้ปกติและเจริญกรรมฐานให้จิตใจสงบ, ผลโดยรวมคือ การดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศเกิดมีสันติสุขเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จมั่นคงอย่างยั่งยืน เพราะปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงส่งผลให้พระพุทธศาสนาย่อมมีความเจริญและมั่นคงในประเทศนั้นๆ
The objective of this quality research were : 1) to study on hold taking of Uposathasila in Theravada Buddhism and Buddhism ethics, 2) to study hold taking Uposathasila (Dharmma Mediation) of Yuwa Buddhamamaka Asa Sri Indhraraksajai (Buddhahood Youths) at wat Prachakhom Wanaram, Si Somdet District, Roi Et and 3) to analyze holding taking Uposathasila (Dhamma Mediation) of Yuwa Buddhamamaka Asa Sri Indhraraksajai (Buddhahood Youths) at wat Prachakhom Wanaram, Si Somdet District, Roi Et on Buddhist ethics. The results of research found that : 1. The hold taking of Uposathasila, evolved from a word that originated from the rituals that practiced in the India since the Vedas before the Buddha era. When Buddhism was born, the Lord Buddha allowed the monks to recite the Patimokkha on Uposathasila day, and let the layman go to the temple to listen to the Dharma and stay in the temple on the Buddhist holy day for four days a month. That was, the eight day of the waxing moon, the fifteenth day of the waxing moon, the eight day of the waning moon, the fifteenth day of the waning moon or the fourteenth day of the waning moon. Buddhist ethics, were a course that deals with the principles of good conduct with 3 levels which were beginner level, intermediate level, and advanced level. 2. The hold taking Uposathasila of Yuwa Buddhamamaka Sri Indra Raksa Jai, Wat Prachakhom Wanaram, a normal ordination treatment with a treatment period of a day and a night. It was classified into three levels of Buddhist ethics, were elementary Buddhist ethics level included of Five Precepts, Moralities, and 6Directions (Disa), Intermediate Buddhist ethics level included of hold taking Uposathasila and Buddhist ethics, and the high level of Buddhist ethics included of the principles of Nobel Eightfold Paths such as the Sammaditthi has agree that the hold taking of Uposathasil was a good thing that should be practiced. 3. Analysis of the results of hold taking Uposathasila of Yuwa Buddhamamaka Sri Indra Raksa Jai at Wat Prachakhom Wanaram, Si Somdet District, Roi Et based on Buddhist ethics. The researcher divided the research into 3 issues: (1) the effect on the individual, (2) the effect on the community, society and the nation and (3) the effect on the Religious stability. The results of research found that there 3 effects that arisen for the individual or the healers, were good effect on the body such as the fifth and sixth percepts, in part of the affect the mind, was the hold taking of the Uposathasila, was to maintain normal body and speech and meditation calming the mind, the overall effected, the life of the people in the birth country was peaceful, prosperous, and successful because they followed the Dharma principles in Buddhism as a result, Buddhism will have prosperity and stability in that country.
หนังสือ

    งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของมนุษย์ในพระพุทธศาสนาและหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายยาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตของมนุษย์เป็นการกำเนิดชีวิตของสรรพสัตว์ 4 ประการ คือ ชลาพุชะ สัตว์กำเนิดในครรภ์ อัณฑชะ สัตว์เกิดในไข่ สังเสทชะ สัตว์เกิดในไคล และโอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น มีการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ มุ่งมั่นในการทำงาน วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการครองตนคือการดำรงตนอยู่ในสังคม การครองคนมีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากายใจ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยตนเอง อดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและหน้าที่การงาน จะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นในการทำงาน การประหยัดและเก็บออม รู้จักจ่ายตามสมควรของฐานะ ประหยัดเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว การรักษาระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย เป็นผู้ตรงต่อเวลาเป็นผู้มีวินัยในการตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา ละเว้นจากการประพฤติชั่ว และไม่ลุ่มหลงในอบายมุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต มีความจงรักภักดีต่อสถานบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท มี 3 อย่าง คือ การครองตน การดำรงตนอยู่ในสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ครอบครัว การครองคน มีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากาย รักษาใจ ใช้หลักธรรมปฏิบัติ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน การจ่ายยา การประเมินผล เก็บข้อมูล การทำลาย สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษไทย ได้ปฏิบัติสืบมา ได้ความรู้ แนวทางที่ชัดเจน ที่จะย้อนกับมาแห่งความสงบและปฏิบัติได้ถูกต้องตามครรลอง ครองธรรม
งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของมนุษย์ในพระพุทธศาสนาและหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายยาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตของมนุษย์เป็นการกำเนิดชีวิตของสรรพสัตว์ 4 ประการ คือ ชลาพุชะ สัตว์กำเนิดในครรภ์ อัณฑชะ สัตว์เกิดในไข่ สังเสทชะ สัตว์เกิดในไคล และโอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น มีการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ มุ่งมั่นในการทำงาน วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการครองตนคือการดำรงตนอยู่ในสังคม การครองคนมีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากายใจ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยตนเอง อดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและหน้าที่การงาน จะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นในการทำงาน การประหยัดและเก็บออม รู้จักจ่ายตามสมควรของฐานะ ประหยัดเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว การรักษาระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย เป็นผู้ตรงต่อเวลาเป็นผู้มีวินัยในการตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา ละเว้นจากการประพฤติชั่ว และไม่ลุ่มหลงในอบายมุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต มีความจงรักภักดีต่อสถานบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท มี 3 อย่าง คือ การครองตน การดำรงตนอยู่ในสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ครอบครัว การครองคน มีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากาย รักษาใจ ใช้หลักธรรมปฏิบัติ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน การจ่ายยา การประเมินผล เก็บข้อมูล การทำลาย สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษไทย ได้ปฏิบัติสืบมา ได้ความรู้ แนวทางที่ชัดเจน ที่จะย้อนกับมาแห่งความสงบและปฏิบัติได้ถูกต้องตามครรลอง ครองธรรม
This research It has 3 objectives: 1) to study the way of life of humans in Buddhism and principles of Theravada Buddhist philosophy; 2) to study the way of life of the wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province 3) to analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine herbal medicine branch Roi Et Province. The results showed that The way of life of human beings is the origin of life of all living beings in four ways: jalabhuja, beast born in the womb, anddaja, beast born in the egg, sansedja, beast born in the Kai, and oppatika. have self-training diligent responsible Willingness to work on the job committed to work Analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province To have one's self is to live in society. Possession of people interacting in physical and mental treatment, occupation, and methods of drug storage. Assembling a recipe for each patient. The way of life of the wisdom teacher of Thai traditional medicine herbal medicine branch Roi Et Province have self-training Be diligent and responsible for yourself and your family. Willingness to work in the duties to achieve success on their own Patience and indomitable to problems, obstacles and work duties Must be committed to work saving and saving Know how to pay accordingly Save to build a position for yourself and your family. Maintaining discipline and respecting the law Being punctual and disciplined in being punctual follow the virtues of religion abstaining from bad behavior and is not obsessed with vices generosity, sacrifice, for the sake of the common good honesty Be loyal to the national, religious and monarch institutions, promote and support the democratic regime of government and comply with government policies. Analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province According to the principles of Theravada Buddhist philosophy, there are 3 things: self-doubt, living in society, community, village, family, dominating people, interacting to maintain body and mind, apply Dharma principles, dominate work, have methods to store medicines. Assembling a recipe for each patient, dispensing medications, evaluating, collecting data, destroying these are things that Thai ancestors have practiced and gained knowledge and clear guidelines to return to the coming of peace and to practice correctly according to the rules of the Dharma.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาบริบทและความงามงานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จังหวัดยโสธร 2) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฏีความงามทางสุนทรียศาสตร์ 3) เพื่อวิเคราะห์ความงามงานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า: บ้านนาสะไมย์เป็นชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ผสมผสานกับความเชื่อเดิมที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ การดำเนินชีวิตประจำวันจึงเป็นไปแบบผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม อาชีพของชาวบ้านนาสะไมย์นอกจากการทำการเกษตรแล้วอาชีพที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การแกะสลักไม้ งานแกะสลักไม้ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ เป็นงานต้องใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะ โดยใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ รวมทั้งทรัพยากรหรือทุนทางสังคมที่มีอยู่ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำ เป็นการสร้างรายได้พึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม งานไม้แกะสลักยังเป็นประติมากรรมลักษณะของประณีตศิลป์ ที่ช่างผู้แกะสลักสร้างสรรค์ผลงานด้วยความละเอียดอ่อน สะท้อนสภาพสังคม วิถีชีวิตและจิตใจของชุมชน ที่ได้สร้างสรรค์งานให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ จารีต สุนทรียศาสตร์ เป็น ศาสตร์หนึ่งในวิชาปรัชญา เป็นศาสตร์ที่อยู่ในสาขาคุณวิทยา คุณวิทยา เป็นสาขาที่ค้นหาคุณค่าของคุณค่าของสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์ เป็นปรัชญาสาขาหนึ่งที่ว่าด้วยความงามและสิ่งที่งามทั้งในงานศิลปะและในธรรมชาติ โดยศึกษาประสบการณ์ คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า อะไรงาม อะไรไม่งาม ส่วนเรื่องความงามทางสุนทรียศาสตร์นั้นวิเคราะห์ได้ว่า งานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ เป็นผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางสุนทรียะอย่างแท้จริงที่สามารถสร้างประสบการณ์สุนทรียะให้แก่ผู้ชมได้ โดยมีความสอดคล้องกับทั้งทฤษฎีอัตนัยนิยม และทฤษฎีสัมพัทธนิยม ดังนั้น ความงามงานแกะสลักไม้ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จึงเป็นงานที่ต้องมีความสวยงามและแฝงด้วยปรัชญาธรรมทางวัตถุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยผ่านภาพแกะสลักไม้เล่าเรื่องความเป็นมา ให้เกิดศรัทธา เจตนา และสิ่งที่ดีงามตามหลักคำสอน
วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ข้อ ดังนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาบริบทและความงามงานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จังหวัดยโสธร 2) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฏีความงามทางสุนทรียศาสตร์ 3) เพื่อวิเคราะห์ความงามงานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า: บ้านนาสะไมย์เป็นชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ผสมผสานกับความเชื่อเดิมที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ การดำเนินชีวิตประจำวันจึงเป็นไปแบบผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม อาชีพของชาวบ้านนาสะไมย์นอกจากการทำการเกษตรแล้วอาชีพที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การแกะสลักไม้ งานแกะสลักไม้ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ เป็นงานต้องใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะ โดยใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ รวมทั้งทรัพยากรหรือทุนทางสังคมที่มีอยู่ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำ เป็นการสร้างรายได้พึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม งานไม้แกะสลักยังเป็นประติมากรรมลักษณะของประณีตศิลป์ ที่ช่างผู้แกะสลักสร้างสรรค์ผลงานด้วยความละเอียดอ่อน สะท้อนสภาพสังคม วิถีชีวิตและจิตใจของชุมชน ที่ได้สร้างสรรค์งานให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ จารีต สุนทรียศาสตร์ เป็น ศาสตร์หนึ่งในวิชาปรัชญา เป็นศาสตร์ที่อยู่ในสาขาคุณวิทยา คุณวิทยา เป็นสาขาที่ค้นหาคุณค่าของคุณค่าของสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์ เป็นปรัชญาสาขาหนึ่งที่ว่าด้วยความงามและสิ่งที่งามทั้งในงานศิลปะและในธรรมชาติ โดยศึกษาประสบการณ์ คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า อะไรงาม อะไรไม่งาม ส่วนเรื่องความงามทางสุนทรียศาสตร์นั้นวิเคราะห์ได้ว่า งานแกะสลักไม้เชิงสุนทรียศาสตร์ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ เป็นผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางสุนทรียะอย่างแท้จริงที่สามารถสร้างประสบการณ์สุนทรียะให้แก่ผู้ชมได้ โดยมีความสอดคล้องกับทั้งทฤษฎีอัตนัยนิยม และทฤษฎีสัมพัทธนิยม ดังนั้น ความงามงานแกะสลักไม้ของชุมชนชาวบ้านนาสะไมย์ จึงเป็นงานที่ต้องมีความสวยงามและแฝงด้วยปรัชญาธรรมทางวัตถุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยผ่านภาพแกะสลักไม้เล่าเรื่องความเป็นมา ให้เกิดศรัทธา เจตนา และสิ่งที่ดีงามตามหลักคำสอน
The objectives of this thesis were 1 ) to study the context and the aesthetic beauty of wood carvings of Na Samai villager in Yasothon Province, 2) to study the concepts and theories of aesthetic beauty and 3) to analyze the aesthetic wood carving’s beauty of Na Samai villager in Yasothon Province. The results of the thesis found that : Ban Na Samai was a community that believes in Buddhism with combined to the old beliefs existed from the ancestors. Therefore, life styles in daily life was a combination of Buddhist beliefs and traditional belief. The occupation of Na Samai villagers, besides farming, another important occupation was wood carving. Wood carving of Na Samai villagers was a job that required knowledge and skills by the use of existing technology, tools, and resources or social capital to be used as raw materials for making an economic, social, and culture self-sufficiency income. Wood carving was also a sculpture of fine arts which the sculptor created works with delicacy, reflected society, life styles and mind of the community to create works in harmony with the environment, natural resources, beliefs and custom. Aesthetics was one of the disciplines of philosophy, a science in the field of science. Aesthetics was a division that searched for the value of all things including human being, one of a philosophy division that deals with beauty and something that was beautiful both arts and nature with studying experience, beauty values, and standards for diagnosing what was worth and what is worthless. As for the aesthetic value, could be analyzed that aesthetic wooden carvings of Na Samai villagers was a work art that had a real aesthetic value, created an aesthetic experience for the audience, which was consistent with both Subjectivism theory and Relativism theory. Therefore, the beauty of the wood carvings of the Na Samai community was a work that must be beautiful and secreted with materialistic philosophy to offer as a Buddha image through wood carvings telling the story for as to have faith, intent, and a good things and good things according to the doctrine.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของพระสังฆาธิการที่ดำเนินกิจกรรมด้านส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาของพระสังฆาธิการด้านการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดรูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed methodology) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชนที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในเขตพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีทั้งหมดจำนวน 1,550 คน ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 310 คน และวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงพรรณณาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า : 1. บทบาทของพระสังฆาธิการ ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชน เขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยรวมทั้ง 7 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านครอบครัว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศาสนา ส่วนด้านเศรษฐกิจ และด้านสื่อมวลชน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2. ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะ พบว่า ปัญหา อุปสรรค คือ ด้านการเมืองการปกครอง ได้แก่ ในชุมชนขาดการชักนำความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย คนในชุมชนขาดการแนะนำเกี่ยวกับหลักการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ชุมชนขาดผู้สนับสนุนและส่งเสริมให้การสนับสนุนกลุ่มกิจกรรมในชุมชน และกลุ่มองค์กรเครือข่ายที่ดำเนินกิจกรรมในท้องถิ่น ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหา คือ ด้านครอบครัว ได้แก่ ให้พ่อ แม่เป็นผู้ถ่ายทอดคุณธรรมจริยธรรมให้แก่บุตรหลาน และสมาชิกในครอบครัว จะทำให้บุตรหลานรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ร่วมรณรงค์ให้คนงดเหล้าเข้าพรรษา 3. แนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ควรสนับสนุนหรือรณรงค์ให้มีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ลูกหลานของตนและคนในครอบครัวต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นต้นแบบที่ดีทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ ปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมและจริยธรรม และการสร้างวัฒนธรรมทางสังคมในชุมชน เป็นวิธีการสร้างจริยธรรมให้แก่คนในองค์กรอย่างยั่งยืน
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของพระสังฆาธิการที่ดำเนินกิจกรรมด้านส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาของพระสังฆาธิการด้านการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชนเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดรูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed methodology) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชนที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในเขตพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีทั้งหมดจำนวน 1,550 คน ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 310 คน และวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงพรรณณาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า : 1. บทบาทของพระสังฆาธิการ ในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชุมชน เขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยรวมทั้ง 7 ด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านครอบครัว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศาสนา ส่วนด้านเศรษฐกิจ และด้านสื่อมวลชน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2. ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะ พบว่า ปัญหา อุปสรรค คือ ด้านการเมืองการปกครอง ได้แก่ ในชุมชนขาดการชักนำความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย คนในชุมชนขาดการแนะนำเกี่ยวกับหลักการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ชุมชนขาดผู้สนับสนุนและส่งเสริมให้การสนับสนุนกลุ่มกิจกรรมในชุมชน และกลุ่มองค์กรเครือข่ายที่ดำเนินกิจกรรมในท้องถิ่น ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหา คือ ด้านครอบครัว ได้แก่ ให้พ่อ แม่เป็นผู้ถ่ายทอดคุณธรรมจริยธรรมให้แก่บุตรหลาน และสมาชิกในครอบครัว จะทำให้บุตรหลานรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ร่วมรณรงค์ให้คนงดเหล้าเข้าพรรษา 3. แนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในชุมชน ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ควรสนับสนุนหรือรณรงค์ให้มีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ลูกหลานของตนและคนในครอบครัวต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นต้นแบบที่ดีทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ ปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมและจริยธรรม และการสร้างวัฒนธรรมทางสังคมในชุมชน เป็นวิธีการสร้างจริยธรรมให้แก่คนในองค์กรอย่างยั่งยืน
The thesis aims are as follows: 1) To study the role of the ecclesiastic monks in promoting morality and ethics in the Sangha administrative community, Nakhon Si Thammarat province 2) To study the problems, obstacles and solutions of the ecclesiastic monks in promoting morality and ethics in the sangha administrative community, Nakhon Si Thammarat province 3) to study ways to promote morality in the community of ecclesiastic monks in The Sangha administrative community, Nakhon Si Thammarat Province. This research the researchers defined the mixed methodology, composed of quantitative research; The population includes community leaders as a village head man in the area of Nakhon Si Thammarat Province. including 1,550 Persons. The researchers determined the sample based on Krejcie and Morgan's prefabricated schedule, 310 samples and qualitative research, which was collected by in-depth interviews with 5 key informants. The statistics are applied as percentage, frequency, standard deviation, qualitative data Analysis using contextual descriptive analysis techniques. The results showed that : 1. The role of the ecclesiastic monks in promoting morality and ethics in the community, Nakhon Si Thammarat Province, including 7 sides, is maximum. On a side-by-side basis, it was found that family side had the highest average, secondly only to religious side, and economic side, and media institutions had minimum average. 2. The results of the compilation of recommendations showed that the obstacles were political side, including in the community, lack of cooperation and support from many parties. The community lacks the support and promote of community activity groups and networking organizations that run local activities. The solution to the problem is the family side: for the father. Mothers who convey morality to their children and family members will make them know what is good and what is bad, and to campaign on avoiding of alcohol in Buddhist lent. 3. Guidelines for promoting morality in the community of ecclesiastic monks in Nakhon Si Thammarat province, it was found that they should support or campaign for the cultivation of morality for their children and their families to behave as good role models. It is a way to create sustainable ethics for people in the organization.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2, 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4, 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในโรงเรียน จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI ผลการวิจัยพบว่า : 1. สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน รองลงมา คือ ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ รองลงมา คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา 2. ความต้องการจำเป็น เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นดังนี้ 1) ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา 2) ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ 3) ด้านการจัดการเรียนการสอน 4) ด้านการวัดผลประเมินผลการเรียน 5) ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา 3. แนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา สรุปได้ดังนี้ การวางแผนบริหารจัดการหลักสูตร สร้างเกณฑ์การประเมินความสำเร็จของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา ประชุมจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตามสาระและหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ จัดทำปฏิทินการปฏิบัติงาน วัดประเมินผล วางแผนการนิเทศ และรับการนิเทศภายในสถานศึกษา
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2, 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4, 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในโรงเรียน จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI ผลการวิจัยพบว่า : 1. สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน รองลงมา คือ ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ รองลงมา คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา 2. ความต้องการจำเป็น เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นดังนี้ 1) ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา 2) ด้านหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ 3) ด้านการจัดการเรียนการสอน 4) ด้านการวัดผลประเมินผลการเรียน 5) ด้านการนิเทศภายในสถานศึกษา 3. แนวทางการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมตามหลักคุณธรรมสังคหวัตถุ 4 จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา สรุปได้ดังนี้ การวางแผนบริหารจัดการหลักสูตร สร้างเกณฑ์การประเมินความสำเร็จของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา ประชุมจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตามสาระและหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ จัดทำปฏิทินการปฏิบัติงาน วัดประเมินผล วางแผนการนิเทศ และรับการนิเทศภายในสถานศึกษา
The objectives of this thesis were: 1) to study the current condition and the favorable condition of Participatory administration of academic affairs based on the Sangahavatdhu in the schools under the Roi Et Primary Educational Service Area Office 2 2) to study the necessary needs of Participatory administration of academic affairs based on the Sangahavatdhu 3) to suggest guidelines for Participatory administration of academic affairs based on the Sangahavatdhu. The sample group used in this research was 345 teachers of the schools under the Roi Et Primary Educational Service Area Office. The instrument used was a 5- level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.67 - 1.00, confidence of 0.90, and a semi-structured review. The statistics used in the data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, and PNI index. The result of the research found that 1. The current condition Overall was at a very high level. Teaching management was the highest average, followed by curriculum and curriculum implementation, and the lowest was Educational Quality assurance. Desirable condition Overall was at a high level was curriculum and curriculum implement, followed by teaching management. The aspect with the lowest average was supervision within educational institutions. 2. The necessary needs, ordering of importance of necessity was as follows: 1) Education quality assurance 2) Curriculum and curriculum implementation 3) Teaching management 4) Educational elevation and elevation 5) Supervision within academy. 3. Guidelines for participatory administration of academic affairs based on the Sangahavatdhu from educational institution administrators' interviewing Could be summarized as follows: course management planning, create criteria for assessing the success of educational institutions according to educational standards, arrange a meeting to create a participatory learning management plan according to the subject matter and an integrated learning unit, preparing a calendar of performance measurement and evaluation, planning supervision and receiving supervision within educational institutions.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 285 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และ F – test ผลการวิจัยพบว่า: 1) การบริหารงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดทำและเสนอของบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล รองลงมา คือ ด้านการบริหารบัญชีตามหลักธรรมาภิบาล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้น เพศ ที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงบประมาณตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ได้แนวทาง ดังนี้ (1) ผู้บริหารสถานศึกษายึดกฎระเบียบในการจัดทำและเสนอของบประมาณโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาและเปิดโอกาสให้บุคลากรได้มีส่วนร่วม (2) ผู้บริหารมีความเป็นกลางในการจัดสรรงบประมาณและจัดสรรให้เพียงพอต่อความจำเป็นและจัดสรรอย่างโปร่งใส (3) สถานศึกษาแต่งตั้งผู้รับผิดชอบและทำแผนการติดตามประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณจัดให้มีการระดมความคิดของบุคลากรเพื่อพัฒนาผลการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (4) สถานศึกษาจัดทำแผนการระดมทรัพยากรโดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมและยึดประสิทธิผลที่จะเกิดกับสถานศึกษาและชุมชนเป็นหลัก (5) สถานศึกษามีแนวทางบริหารการเงิน ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปี และสามารถเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ (6) สถานศึกษามีการกำกับติดตามหลักฐานการเบิกจ่ายและการจัดทำบัญชีที่โปร่งใส (7) สถานศึกษามีการจัดทำทะเบียนพัสดุและสินทรัพย์ที่เป็นปัจจุบันดำเนินงานตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างพุทธศักราช 2560 ด้วยความโปร่งใส
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงบประมาณ ตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 285 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t – test (Independent Samples) และ F – test ผลการวิจัยพบว่า: 1) การบริหารงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดทำและเสนอของบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล รองลงมา คือ ด้านการบริหารบัญชีตามหลักธรรมาภิบาล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณตามหลักธรรมาภิบาล 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน แตกต่างกันมีความคิดเห็น โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้น เพศ ที่แตกต่างกัน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงบประมาณตามหลักธรรมมาภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ได้แนวทาง ดังนี้ (1) ผู้บริหารสถานศึกษายึดกฎระเบียบในการจัดทำและเสนอของบประมาณโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาและเปิดโอกาสให้บุคลากรได้มีส่วนร่วม (2) ผู้บริหารมีความเป็นกลางในการจัดสรรงบประมาณและจัดสรรให้เพียงพอต่อความจำเป็นและจัดสรรอย่างโปร่งใส (3) สถานศึกษาแต่งตั้งผู้รับผิดชอบและทำแผนการติดตามประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณจัดให้มีการระดมความคิดของบุคลากรเพื่อพัฒนาผลการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (4) สถานศึกษาจัดทำแผนการระดมทรัพยากรโดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมและยึดประสิทธิผลที่จะเกิดกับสถานศึกษาและชุมชนเป็นหลัก (5) สถานศึกษามีแนวทางบริหารการเงิน ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปี และสามารถเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ (6) สถานศึกษามีการกำกับติดตามหลักฐานการเบิกจ่ายและการจัดทำบัญชีที่โปร่งใส (7) สถานศึกษามีการจัดทำทะเบียนพัสดุและสินทรัพย์ที่เป็นปัจจุบันดำเนินงานตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างพุทธศักราช 2560 ด้วยความโปร่งใส
The objectives of the research were 1) to study budget management based on the good governance by school administrators of the educational opportunity expansion schools under the Roi Et Primary Educational Service Area Office 2, 2) to compare budget management based on the good governance by school administrators classified by gender, education and working experiences, and, 3) to find out the guidelines for budget management based on the good governance by school administrators of the said schools. Samples were the administrators and teachers, totally 285 in number and 10 interviews. The instrument for collecting the data was the questionnaire, with its reliability value at 0.90 and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices composed of Frequency, percentage, mean, standard deviation. The hypothesis was tested with t-test, and One-way ANOVA F-test. The research results were as follows: 1) budget management based on the good governance by school administrators of the educational opportunity expansion schools under the Roi Et Primary Educational Service Area Office 2 was found, in both overall and individual aspects, to stand at a 'Medium' level. The leading aspect was the budget preparation and submission for approval, followed by accounting and auditing financial expenses, respectively. 2) The comparison of the leadership of the school administrator in mention classified by education and working experiences was found to show no difference in both overall and individual dimensions. The statistically significant difference of .05 was found in the comparison in terms of gender. 3) The guidelines for budget management based on the good governance by school administrators as suggested by the responses were: (1) The budget preparation should follow the rules and regulations concerned, be based on the real needs of the schools and provide the opportunity for personnel's participation. (2) The principles of neutrality and transparency should be followed in budget allocation. (3) One in charge of follow-up and audit of budget expending should be appointed, and the brain-storming should be arranged to enhance the efficiency of budget payment. (4) A plan for resource mobilizing should be set up with participation of all sectors concerned for the benefits of the schools and surrounding communities. (5) The guidelines for monitory management should be specified in compliance with the rules issued by the Ministry of Finance and the annual operation plan, and they should be notified for the public. (6) The monitoring and accounting system should be conducted clearly. (7) The records of premises and materials should be established under the Regulations Governing Procumbent 2560(2017).
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 370 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F-test ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ รองลงมา คือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ไม่พบความแตกต่างกัน 3. ผลการวิเคราะห์ข้อเสนอแนะภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากคำถามปลายที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ ผู้บริหารควรยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมในการตัดสินใจทำงาน มีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สามารที่จะนำเทคนิค วิธีการมาใช้ในการบริหารจัดการได้ตามสถานการณ์ ควรสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่บุคลากรในการทำงานเอาชนะปัญหามุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ควรกระตุ้นให้ครูมีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นทีม เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในการกำหนดภารกิจขององค์กร การสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานแก่ครูและบุคลากร ควรส่งเสริมให้ผู้ร่วมงานมีการพัฒนาตนเองและสนใจในการการพัฒนาจุดเด่นของตัวผู้ร่วมงาน และควรนำทักษะและประสบการณ์มาใช้ในการวางแผนและแก้ไขปัญหาดูแลและเอาใจในครูและบุคลากรอย่างทั่วถึง 4.
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 370 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F-test ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ รองลงมา คือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ไม่พบความแตกต่างกัน 3. ผลการวิเคราะห์ข้อเสนอแนะภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากคำถามปลายที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ ผู้บริหารควรยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมในการตัดสินใจทำงาน มีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สามารที่จะนำเทคนิค วิธีการมาใช้ในการบริหารจัดการได้ตามสถานการณ์ ควรสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่บุคลากรในการทำงานเอาชนะปัญหามุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ควรกระตุ้นให้ครูมีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นทีม เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในการกำหนดภารกิจขององค์กร การสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานแก่ครูและบุคลากร ควรส่งเสริมให้ผู้ร่วมงานมีการพัฒนาตนเองและสนใจในการการพัฒนาจุดเด่นของตัวผู้ร่วมงาน และควรนำทักษะและประสบการณ์มาใช้ในการวางแผนและแก้ไขปัญหาดูแลและเอาใจในครูและบุคลากรอย่างทั่วถึง 4.
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การมีวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มีเป้าหมายที่เป็นอุดมการณ์ มีความชัดเจนในการปฏิบัติงาน กล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆ โดยมีความเป็นมิตร จริงใจ มีคุณธรรม นำทีมงานไปสู่ความสำเร็จที่ตังไว้ ด้านการสร้างแรงจูงใจ มีการแสดงออกซึ่งความกระตือรือร้น โดยการสร้างเจตคติที่ดีและการคิดในแง่บวก ผู้นำจะสร้างและสื่อความหวังที่ผู้นำต้องการอย่างชัดเจน แสดงความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา การดูแลเอาใจใส่ผู้ตามเป็นรายบุคคล และทำให้ผู้ตามรู้สึกมีคุณค่าและมีความสำคัญ ผู้นำมีการกระตุ้นให้ผู้ตามแสดงความคิดและเหตุผล และไม่วิจารณ์ความคิดของผู้ตาม แม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากความคิดของผู้นำ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ทำให้ผู้ตามรู้สึกมีคุณค่าและมีความสำคัญ ผู้นำจะเป็นโค้ช (Coach) และเป็นที่ปรึกษา (Advisor) ของผู้ตามแต่ละคน เพื่อการพัฒนาผู้ตาม เข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น บางคนได้รับกำลังใจมากกว่า บางคนได้รับอำนาจการตัดสินใจด้วยตนเองมากกว่า บางคนมีมาตรฐานที่เคร่งครัดกว่า บางคนมีโครงสร้างงานที่มากกว่า ผู้นำมีการส่งเสริมการสื่อสารสองทาง
The objectives of this research were 1) to study the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education, 2) to compare the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education, classified byeducational level, position, and work experience, and 3) to study recommendations and development guideliones of the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education. The sample consisted of 370 teachers of the Secondary Educational Service Area Office Roi Et. The instrument used in this research was a 5-level estimation scale questionnaire with IOC values between 0.67 – 1.00 with confidence in the whole issue of 0.98 and the interview form. Statistics used to test the hypothesis using t-tests (Independent Samples) and One Way ANOVA) using F-test statistics. The results were found that : 1. The Transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education by overall, was at a high level. When considering each aspect found that the aspect with the highest was inspiration, followed by having ideological influence, and consideration of individuality was the lowest mean. 2. The comparison of personnel opinions towards the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education, classified by educational level, position, and work experience were no difference. 3. The results of analysis of the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education from the open-ended questions obtained from the sample group as follows: the executives should adhire to the principles morality and work ethics, having honesty and no seeking unlawful benefits, applying techniques to manage according to the situation, motivating personnel to be inspired to work, building confidence in personnel to overcome problems and strive towards the sae goals, encouraging teachers to be active in team work, providing oppotunities for teachers to participate in defining the mission of the organization, morale building for teachers and staff, encoraging to develop themselves and interested in developing the participants’strengths, and bringing skills and experience to be used in planning and solving problems, and taking care of teachers and staff throughly. 4. Development guidelines of the transformational leadership of special education school administrators under the Northeast Bureau Special Education found that the ideological influence aspect: having a vision of leader with ideological goals, having clearity in operation, dare to do the new things with sincerity and viture, and leading the team to the set success, motivation: showing enthusiasm by creating a positive attitude and positive thinking, leader should be create and convey their desire clearly, show confidence and determination to achieve goals, intellectual stumulation: taking care of individual followers, making followers feel valued and important, encouraging followers to express ideas and reason, and no critique of followers’ thought though it differed from the leader’s opinion, individuality: making followers feel, leader should be coached and advisor of each follower for as to the follower development, understanding and accepting individual differences such as some were more encouraged, some were empowdered to make more decisions for themselves, some had more strengent standards, some had more structure, and leader should promote two-way communication.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและบุคลากรต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 342 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t–test (Independent Samples) และ F–test ผลการวิจัยพบว่า: 1) การบริหารบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รองลงมา คือ ด้านการวางแผนกำหนดตำแหน่ง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านวินัยและการรักษาวินัย 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและบุคลากรต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ร้อยเอ็ด ได้แก่ 1) ผู้บริหารควรวางตัวบุคคลตามความถนัดความสามารถ ความพร้อมใจ และดูแลทั้งด้านครอบครัว สุขภาพ ภาระงานตรงตามความสามารถ 2) ผู้บริหารควรให้ความใส่ใจและไว้วางใจในการทำงานชื่นชมยินดีและไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงาน 3) ผู้บริหารควรสนับสนุนส่งเสริมในการทำงาน และช่วยแก้ไขปัญหาที่พบในการปฏิบัติหน้าที่ 4) ผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้โอกาสบุคลากรในการพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพของบุคคล 5) ผู้บริหารควรให้คำชี้แนะการปฏิบัติตัว ตักเตือนการวางตัวให้อยู่ในระเบียบวินัย 6) ให้คำชี้แนะ ป้องปราม เชิญมาพูดคุยให้ความรู้ ตักเตือน บนความโปร่งใส ตรวจสอบได้
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและบุคลากรต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมภิบาล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 342 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t–test (Independent Samples) และ F–test ผลการวิจัยพบว่า: 1) การบริหารบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รองลงมา คือ ด้านการวางแผนกำหนดตำแหน่ง ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านวินัยและการรักษาวินัย 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและบุคลากรต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ร้อยเอ็ด ได้แก่ 1) ผู้บริหารควรวางตัวบุคคลตามความถนัดความสามารถ ความพร้อมใจ และดูแลทั้งด้านครอบครัว สุขภาพ ภาระงานตรงตามความสามารถ 2) ผู้บริหารควรให้ความใส่ใจและไว้วางใจในการทำงานชื่นชมยินดีและไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงาน 3) ผู้บริหารควรสนับสนุนส่งเสริมในการทำงาน และช่วยแก้ไขปัญหาที่พบในการปฏิบัติหน้าที่ 4) ผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้โอกาสบุคลากรในการพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพของบุคคล 5) ผู้บริหารควรให้คำชี้แนะการปฏิบัติตัว ตักเตือนการวางตัวให้อยู่ในระเบียบวินัย 6) ให้คำชี้แนะ ป้องปราม เชิญมาพูดคุยให้ความรู้ ตักเตือน บนความโปร่งใส ตรวจสอบได้
The objectives of the research were 1) to study personnel management based on the good governance of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Roi Et, 2) to compare personnel management based on the good governance of school administrators classified by age, education and working experiences and, 3) to find out the guidelines for personnel management based on the good governance of school administrators of the said schools. Samples were the teachers and personnel, totally 342 in number and 5 interviews. The instrument for collecting the data was the questionnaire, with its reliability value at 0.98 and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices composed of Frequency, percentage, mean, standard deviation. The hypothesis was tested with t-test, and One-way ANOVA F-test. The research results were as follows: 1) personnel management based on the good governance of school administrators under The Secondary Educational Service Area Office Roi Et was found, in both overall and individual aspects, to stand at a 'MUCH' level. The leading aspect was the enhancement of operation competency, followed by position planning and disciplinary observance, respectively. 2) The comparison of the personnel management based on the good governance of school administrators in mention classified by age, education and working experiences was found to show the statistically significant difference of 05. 3) The guidelines for personnel management based on the good governance of school administrators as suggested by the responses were 3) The guidelines for personnel management based on the good governance of school administrators as suggested by the responses were (1) Concerning the job assignment, the theory, "Put the right man in the right job." or "Put the right job in the right man." should be brought into practice. (2) The honor and merit system should be implemented for morale boosting. (3) The help and support were needed when the problems arose. (4) The providing and increasing of opportunity for staff development at full scale should be taken as one of necessities. (5) An advice and warning should be given to prevent the disciplinary violation. (6) Dialogue and negotiation should be held up for mutual understanding.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และตำแหน่ง แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุน การคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ดกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 234 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 ผลการวิจัยพบว่า: 1. ผลการศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการเผยแพร่พระพุทธศาสนา (อปายโกศล), ด้านการสาธารณูปการ (อายโกศล) รองลงมา ด้านการสาธารณสงเคราะห์ (อุปายโกศล) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการศาสนศึกษา (อายโกศล) 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกเพศ ตามระดับการศึกษา และอายุ ไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่สำคัญ ได้แก่ ควรมีการดูแล คุ้มครอง บริหาร ความสำคัญ การปกครองคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ควรดำเนินการสอดส่อง ดูแล รักษาความเรียบร้อยดีงาม เพื่อให้พระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดหรือในปกครองปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศของมหาเถรสมาคม
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และตำแหน่ง แตกต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุน การคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ดกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 234 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 ผลการวิจัยพบว่า: 1. ผลการศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการเผยแพร่พระพุทธศาสนา (อปายโกศล), ด้านการสาธารณูปการ (อายโกศล) รองลงมา ด้านการสาธารณสงเคราะห์ (อุปายโกศล) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการศาสนศึกษา (อายโกศล) 2. ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกเพศ ตามระดับการศึกษา และอายุ ไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้หลักโกศล 3 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคณะสงฆ์ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่สำคัญ ได้แก่ ควรมีการดูแล คุ้มครอง บริหาร ความสำคัญ การปกครองคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ควรดำเนินการสอดส่อง ดูแล รักษาความเรียบร้อยดีงาม เพื่อให้พระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดหรือในปกครองปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศของมหาเถรสมาคม
The purposes of this study were to 1) study the Three principles of Kosala application level of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province 2) compare the Three principles of Kosala application level of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province, classified by age, education level, and different position 3) Application guidelines suggestions for the Three principles of Kosala application of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province. The sample consisted of 234 personnel at Selaphum District, Roi Et Province. The instrument used for data collection was a 5- level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.80 – 1.00, and confidence of .89. The results showed that 1.The studying results of the Three principles of Kosala application level of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province: overall, was in a high level. When considering in each aspect sorted from the highest to the lowest were Buddhism, public utility, followed by public welfare, and the lowest was religious studies. 2.The Opinion level comparison results of the Three principles of Kosala application level of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province, classified by gender, education level, and age were not different. 3. The importance of suggestions for application guidelines of the Three principles of Kosala application level of Local government organization for promotion and support the Sangha at Art Samart District, Roi Et Province were care, protection, management, and focus on the important of Thai Sangha government to be in accordance with the democratic regime. should be monitored and maintained to be tidy in order for priests and novices who were in the temple or under the rule of law to behave the disciplines, laws, rules, orders, announcements of the Supreme Sangha Council.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อเสนอแนะแนวทาง ในการพัฒนาการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 172 รูป และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 162 คน รวมทั้งหมด 334 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่น .95 ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รองลงมา คือ ด้านการสาธารณสงเคราะห์ ด้านการศาสนศึกษา ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ด้านสาธารณูปการส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการปกครอง 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ พรรษา ระดับการศึกษา ตำแหน่งทางปกครองสงฆ์ เพศ ตำแหน่ง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะของการพัฒนาการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด ควรสร้างภาคีเครือข่ายกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนการคณะสงฆ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อเสนอแนะแนวทาง ในการพัฒนาการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 172 รูป และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 162 คน รวมทั้งหมด 334 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่น .95 ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รองลงมา คือ ด้านการสาธารณสงเคราะห์ ด้านการศาสนศึกษา ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ด้านสาธารณูปการส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการปกครอง 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ พรรษา ระดับการศึกษา ตำแหน่งทางปกครองสงฆ์ เพศ ตำแหน่ง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะของการพัฒนาการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการส่งเสริมสนับสนุนการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด ควรสร้างภาคีเครือข่ายกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนการคณะสงฆ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
The purposes of this study were 1) to study the participation level of Local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province 2) to compare the participation of Local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province 3) to suggest guidelines for development on the participation of local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province. The sample consisted of 172 priests in the Dhammayut Sangha Administration Area, Roi Et Province and 334 representatives of the local administrative organizations in Roi Et. The instrument used for data collection was a 5- level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.80 – 1.00, and confidence of .95. The results of research were found that: 1. The participation level of Local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province: overall, was in a high level. When considering in each aspect sorted from the highest to the lowest were propagation of Buddhism, followed by public welfare, religious studies, welfare education, public assistance, and the lowest was domination. 2. The comparison results of participation of Local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province, classified by Buddhist Lent,education level, clergy, gender, position, were significantly different at the .05 level. 3. The suggestions for development on the participation of local government organization in promotion and support of the Dhammayut Sangha Order in Roi Et Province: Should create network partners with Local government organizations on driving the Dhammayut Sangha Order to achieve maximum efficiency.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ พรรษา และระดับการศึกษา 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสงฆ์ในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีพระสงฆ์รวมทั้งสิ้น 515 รูป กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 222 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 ผลการวิจัยพบว่า: 1. ระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านสังคม รองลงมา คือ ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสาธารณสุข 2. ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกอายุ พรรษา ระดับการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน ควรมีแนวทางการถวายความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ ชุมชนควรให้ความใส่ใจกับการจัดกิจกรรมเนื่องในวันสำคัญต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณี เป็นการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้เจริญยิ่งขึ้น ฝ่ายปกครองในชุมชนควรให้ความร่วมมือกับพระสงฆ์ในการจัดกิจกรรมหรือโครงการอบรมเพื่อต่อต้านยาเสพติดให้แก่ประชาชน ควรปลูกจิตสำนึกให้แก่ชุมชนมีจิตอาสาในการอนุรักษ์และส่งเสริมสิ่งแวดล้อม
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตาม อายุ พรรษา และระดับการศึกษา 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสงฆ์ในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีพระสงฆ์รวมทั้งสิ้น 515 รูป กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 222 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.80-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 ผลการวิจัยพบว่า: 1. ระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านสังคม รองลงมา คือ ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสาธารณสุข 2. ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในเขตอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกอายุ พรรษา ระดับการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน ควรมีแนวทางการถวายความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ ชุมชนควรให้ความใส่ใจกับการจัดกิจกรรมเนื่องในวันสำคัญต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณี เป็นการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้เจริญยิ่งขึ้น ฝ่ายปกครองในชุมชนควรให้ความร่วมมือกับพระสงฆ์ในการจัดกิจกรรมหรือโครงการอบรมเพื่อต่อต้านยาเสพติดให้แก่ประชาชน ควรปลูกจิตสำนึกให้แก่ชุมชนมีจิตอาสาในการอนุรักษ์และส่งเสริมสิ่งแวดล้อม
The objectives of this research were 1) to study the level of Buddhist monks' participation in the development of communities in Selaphum district, Roi Et province 2) to compare the Buddhist monks’ participation in the development of communities in Selaphum district, Roi Et province, classified by age, lent and education level 3) to suggest guidelines of the Buddhist monks’ participation in the development of communities in Selaphum district, Roi Et province. The sample group consisted of 515 Buddhist monks, determined using the Krejcie and Morgan tables. The instrument used for data collection was a 5-level estimation scale questionnaire with content accuracy of 0.80-1.00 and the confidence is 0.97. The results of the research found that: 1. The level of Buddhist monks' participation in the development of communities in Selaphum district, Roi Et province: overall was at a high level. When considering each aspect in descending order of average from highest to lowest was social, followed by culture, and environment, and the lowest aspect was public health 2. Comparison of the level of Buddhist monks' participation in the development of communities in Selaphum district, Roi Et province, classified by age, lent, education Level differed statistically at the .05 level 3. Suggestions for guidelines of Buddhist monks’ participation in community development: should be guidelines to educate monks, the community should pay attention to activities on important days for as to conserve and promote culture and traditions in order to development of arts and culture to be more prosperous, community governance should cooperate with monks in organizing activities or anti-drugs training programs for the people, should cultivate consciousness in the community to have volunteer spirit in conservation and environmental promotion.
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น การบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากร จำนวน 110 คน และผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) ผลการวิจัยพบว่า : 1) สภาพปัจจุบันการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านงบประมาณ รองลงมาคือ ด้านงานบุคคล ด้านงานวิชาการ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านงานทั่วไป ส่วนสภาพที่คาดหวัง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือด้านงานบุคคล รองลงมาคือ ด้านงานทั่วไป ด้านงานวิชาการ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านงบประมาณ 2) ความต้องการจำเป็น เรียงจากความต้องการมากที่สุดไปน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านงานทั่วไป ด้านงานบุคคล ด้านงานวิชาการ และด้านงบประมาณ ตามลำดับ 3) แนวทางการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ดังนี้ (1) ควรมีแนวปฏิบัติในการดำเนินผลประเมินผลที่ชัดเจน บริหารจัดการตามนโยบาย กิจกรรม และภารกิจ ของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบแบบแผนที่กำหนด (2) ควรมีการวางแผนพัสดุ การจัดหาพัสดุ การควบคุมดูแล (3) ควรมีการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา (4) ควรมีการวิเคราะห์วางแผนอัตรากำลัง เรียงลำดับอัตรากำลังที่ขาดแคลนจากมากไปหาน้อย (5) ควรกำหนดนโยบาย วางแผนงาน โครงการ กิจกรรมของกลุ่มบริหารงานทั่วไปให้ชัดเจน ผู้บริหารควรควบคุมดูแลงานของกลุ่มบริหารงานทั่วไปให้เป็นไปตามนโยบายของสถานศึกษา
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น การบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากร จำนวน 110 คน และผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) ผลการวิจัยพบว่า : 1) สภาพปัจจุบันการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านงบประมาณ รองลงมาคือ ด้านงานบุคคล ด้านงานวิชาการ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านงานทั่วไป ส่วนสภาพที่คาดหวัง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือด้านงานบุคคล รองลงมาคือ ด้านงานทั่วไป ด้านงานวิชาการ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านงบประมาณ 2) ความต้องการจำเป็น เรียงจากความต้องการมากที่สุดไปน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านงานทั่วไป ด้านงานบุคคล ด้านงานวิชาการ และด้านงบประมาณ ตามลำดับ 3) แนวทางการบริหารการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ ดังนี้ (1) ควรมีแนวปฏิบัติในการดำเนินผลประเมินผลที่ชัดเจน บริหารจัดการตามนโยบาย กิจกรรม และภารกิจ ของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบแบบแผนที่กำหนด (2) ควรมีการวางแผนพัสดุ การจัดหาพัสดุ การควบคุมดูแล (3) ควรมีการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา (4) ควรมีการวิเคราะห์วางแผนอัตรากำลัง เรียงลำดับอัตรากำลังที่ขาดแคลนจากมากไปหาน้อย (5) ควรกำหนดนโยบาย วางแผนงาน โครงการ กิจกรรมของกลุ่มบริหารงานทั่วไปให้ชัดเจน ผู้บริหารควรควบคุมดูแลงานของกลุ่มบริหารงานทั่วไปให้เป็นไปตามนโยบายของสถานศึกษา
The objectives of the research were 1) to study the current and desired situations of the Educational Administration of the General Education Section of Phrapariyattidhamma Schools In Kalasin Province, 2)to analyze the needs of Educational Administration of the said schools, and 3) to find out the suggestions and recommendations related to the administration of those particular schools. Samples were the personnel of Phrapariyattidhamma Schools In Kalasin Province, totally 110 in number and 10 interviews. The instruments for collecting the data were the questionnaire, with its reliability value at 0.94 and quality-verified interview. The data collected were analyzed by the computer program, and the statistical devices consisted of Frequency, Percentage, mean, and standard deviation. Statistics used to test the hypothesis were PNI Modified The research results were as follows: 1) The current situation of educational administration of the General Education Section of Phrapariyattidhamma Schools in Kalasin Province was, in an overall aspect, found to be at the Medium level, whereas in an individual dimension, the item that stood on top of the scale was financial issue, second to which was personnel administration, followed by academic and general management, respectively. As for the desired situation, it was, in an overall aspect, found to stand at the highest level, but in an individual aspect, the issue that displayed the highest average record was the aspect of personnel administration, followed by general and academic management, with the issue of finance lying at the bottom. 2) The desired needs, ranked downward from top to bottom, were general, personnel, academic and financial management, in that order. 3) The suggestions as recommended by the responses and interviews were the following: (1) Evaluation of performances should be clearly implemented, and administration of policy, activity and duties should be carried on under the plan as established. (2) There should be a well-designed plan for administration of premises and materials, together with their acquirement and control. (3) The finance and investment should be mobilized for the sake of educational promotion. (4) The man power plan should be undertaken on the acquired information in preparation for unexpected situation due to occur. 5) The administrator should run the general administrative commitments along with the institutional policies as set in advance.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความรู้เรื่องกรรมในพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาทัศนะเรื่องกรรมของนักปราชญ์ชาวพุทธไทย 3) เพื่อวิเคราะห์กรรมตามทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธในสังคมไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้เรื่องกรรมในพุทธศาสนา พุทธศาสนาได้ให้ความหมายของกรรมว่า คือ การกระทำอันเกิดจากเจตนา คือ ความจงใจ ความตั้งใจ ที่เป็นกุศลและอกุศล ที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อได้กระทำกรรมสำเร็จแล้ว ย่อมได้รับผลตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ พุทธศาสนา แบ่งการให้ผลของกรรมออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับจิตใจ ระดับบุคลิกภาพ ระดับวิถีชีวิตบุคคล และระดับสังคม ในส่วนแห่งองค์ประกอบที่ส่งเสริมและขัดขวางการให้ผลของกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ 4 คู่ ที่เรียกว่า สมบัติ (ข้อดี) และวิบัติ (ข้อเสีย) อย่างไรก็ตาม เมื่อมองให้เข้าถึงคำสอนของพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้บุคคลกระทำแต่กรรมดีและพัฒนาตนเองให้หมดกิเลสและอยู่เหนือกฎแห่งกรรมดังดังพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นเอง 2. ทัศนะเรื่องกรรมของนักปราชญ์ชาวพุทธไทย กรรมในทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธไทยนั้น นักปราชญ์ชาวพุทธไทยพยายามอธิบายขยายความคำสอนเรื่องกรรมในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนชั้นปฐมภูมิและเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยาก เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดในคำสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนา โดยได้อธิบายให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกประเภทแห่งกรรมไว้กี่ประเภท มีชื่อมีลักษณะและทำหน้าที่ต่างกันอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงการให้ผลของกรรม เป็นการขจัดข้อกังขาในปัญหาที่ว่า กรรมมีผลจริงหรือไม่ หากกรรมมีผลจริง กรรมนั้นจะให้ผลเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร 3. วิเคราะห์กรรมตามทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธในสังคมไทย นักปราชญ์ไทยในที่นี้หมายถึง พระพรหมโมลี (วิลาส ญาณวโร, ป.ธ. 9) และวศิน อินทสระ ผลการวิจัยพบว่า การอธิบายเรื่องกรรมของนักปราชญ์ทั้ง 2 ท่าน เป็นความพยายามอธิบายให้เข้าใจในเรื่องของกรรม ว่าพระพุทธศาสนาได้แบ่งกรรมออกเป็นกี่ประเภท และแต่ละประเภททำหน้าที่ให้ผลต่างกันอย่างไรบ้าง เป็นการอธิบายให้เข้าใจความเป็นไปแห่งวิบากกรรมของกรรมแต่ละประเภท เพื่อขจัดความไม่เข้าใจในปัญหาเรื่องกรรม เช่น กรรมมีผลจริงหรือไม่ หากกรรมมีผลจริง กรรมนั้นจะให้ผลเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ส่วนในเรื่องจุดมุ่งหมายในการอธิบายขยายความเพิ่มนั้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและนำไปปฏิบัติเพื่อเผาผลาญสังหารกรรม ให้หมดไปเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด
วิทยานิพนธ์นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความรู้เรื่องกรรมในพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาทัศนะเรื่องกรรมของนักปราชญ์ชาวพุทธไทย 3) เพื่อวิเคราะห์กรรมตามทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธในสังคมไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้เรื่องกรรมในพุทธศาสนา พุทธศาสนาได้ให้ความหมายของกรรมว่า คือ การกระทำอันเกิดจากเจตนา คือ ความจงใจ ความตั้งใจ ที่เป็นกุศลและอกุศล ที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อได้กระทำกรรมสำเร็จแล้ว ย่อมได้รับผลตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ พุทธศาสนา แบ่งการให้ผลของกรรมออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับจิตใจ ระดับบุคลิกภาพ ระดับวิถีชีวิตบุคคล และระดับสังคม ในส่วนแห่งองค์ประกอบที่ส่งเสริมและขัดขวางการให้ผลของกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ 4 คู่ ที่เรียกว่า สมบัติ (ข้อดี) และวิบัติ (ข้อเสีย) อย่างไรก็ตาม เมื่อมองให้เข้าถึงคำสอนของพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้บุคคลกระทำแต่กรรมดีและพัฒนาตนเองให้หมดกิเลสและอยู่เหนือกฎแห่งกรรมดังดังพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นเอง 2. ทัศนะเรื่องกรรมของนักปราชญ์ชาวพุทธไทย กรรมในทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธไทยนั้น นักปราชญ์ชาวพุทธไทยพยายามอธิบายขยายความคำสอนเรื่องกรรมในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนชั้นปฐมภูมิและเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยาก เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดในคำสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนา โดยได้อธิบายให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกประเภทแห่งกรรมไว้กี่ประเภท มีชื่อมีลักษณะและทำหน้าที่ต่างกันอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงการให้ผลของกรรม เป็นการขจัดข้อกังขาในปัญหาที่ว่า กรรมมีผลจริงหรือไม่ หากกรรมมีผลจริง กรรมนั้นจะให้ผลเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร 3. วิเคราะห์กรรมตามทัศนะของนักปราชญ์ชาวพุทธในสังคมไทย นักปราชญ์ไทยในที่นี้หมายถึง พระพรหมโมลี (วิลาส ญาณวโร, ป.ธ. 9) และวศิน อินทสระ ผลการวิจัยพบว่า การอธิบายเรื่องกรรมของนักปราชญ์ทั้ง 2 ท่าน เป็นความพยายามอธิบายให้เข้าใจในเรื่องของกรรม ว่าพระพุทธศาสนาได้แบ่งกรรมออกเป็นกี่ประเภท และแต่ละประเภททำหน้าที่ให้ผลต่างกันอย่างไรบ้าง เป็นการอธิบายให้เข้าใจความเป็นไปแห่งวิบากกรรมของกรรมแต่ละประเภท เพื่อขจัดความไม่เข้าใจในปัญหาเรื่องกรรม เช่น กรรมมีผลจริงหรือไม่ หากกรรมมีผลจริง กรรมนั้นจะให้ผลเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ส่วนในเรื่องจุดมุ่งหมายในการอธิบายขยายความเพิ่มนั้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและนำไปปฏิบัติเพื่อเผาผลาญสังหารกรรม ให้หมดไปเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด
The objectives of this thesis were as follows: 1) to study the knowledge of karma in Buddhism; 2) to study the views on karma of Thai Buddhist sages; 3) to analyze karma according to the views of Buddhist sages in Thai society This research is a qualitative research. and using the data obtained for descriptive analysis. The results of the research were as follows: 1. Knowledge of Karma in Buddhism Buddhism has defined karma as actions that result from intention, willful and unwholesome intentions. which manifests physically, verbally and mentally when the karma has been done successfully. would receive appropriate results for that karma. Buddhism divides the effect of karma into 4 levels: mental level, personality level. level of person's way of life and social level as for the elements that promote and hinder the effect of that karma. Depends on the 4 pairs of various elements known as treasure (advantages) and disaster (disadvantages). However, when looking at the teachings of Buddhism, it aims to teach people to do good deeds and develop themselves to be free from defilements and to be above the law of karma as mentioned. The Lord Almighty 2. The view of karma of Thai Buddhist philosophers Karma in the view of Thai Buddhist philosophers Thai Buddhist scholars try to explain and expand the teachings of karma in the Tripitaka. This is a primary teaching and is a language that is difficult for the general public to understand. To prevent misunderstandings in the teachings of karma in Buddhism By explaining how many types of karma have been categorized in Buddhism. What are the different names and functions? along with pointing out the results of karma to eliminate doubts about the problem that is karma really effective? If karma is real how will the effect be the same or different. 3. Analyze karma according to the views of Buddhist scholars in Thai society. Thai philosophers here refer to Phra Phrommoli (Wilas Yarnavaro, Phor.Thor. 9) and Wasin Inthasara. The explanation of karma by the two scholars is an attempt to explain the matter of karma. that Buddhism has divided karma into how many types and how does each type act differently? It is an explanation to understand the possibility of each kind of karma. to eliminate the misunderstanding of the problem of karma, such as whether karma is real If karma is real How will the effect be the same or different? As for the purpose of expanding the explanation So that the reader can easily understand and put into practice to burn karma. to finally reach nirvana.
หนังสือ

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาปาณาติบาต ที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา เรื่องตำนานหอยไห้ ฉบับวัดท่าเดื่อ ตำบล สันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบปาณาติบาต ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับคัมภีร์ใบลานล้านนา เรื่องตำนานหอยไห้ ฉบับวัดท่าเดื่อ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยทำการศึกษาจาก เอกสารปฐมภูมิ คือพระไตรปิฎกและคัมภีร์ใบลานเรื่องหอยไห้ประกอบกับเอกสารทุติยภูมิ ได้แก่ อรรถกถา หนังสือเอกสารประเภทตำราและวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ และสารนิพนธ์ที่เกี่ยวข้องและบทความทางวิชาการจากนิตยสาร และบทความวิชาการจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์อินเตอร์เน็ต นำมาวิเคราะห์สรุปผลการวิจัยข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : 1. หลักปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาท ปาณาติบาต คือ การทำร้ายชีวิตสัตว์นั้นให้ตายก่อนเวลาอันควร โดยการประทุษร้ายต่อชีวิตและร่ายกาย ด้วยการทำลายเบียดเบียน ทรมานชีวิตสัตว์ให้เดือดร้อนบาดเจ็บจนตายไป เป็นการกระทำด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำก็ตามในการฆ่าสัตว์จะในทางใดทางหนึ่งหรือวิธีใด ๆ ก็ตามจนทำให้ชีวิตของสัตว์นั้นต้องสิ้นลงไป ตามองค์ประกอบของปาณาติบาตทั้ง 5 ประการ ที่เป็นตัววัดในการกระทำผิด คือ 1) สัตว์นั้นมีชีวิต 2) รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3) มีเจตนาที่จะฆ่า 4) มีความเพียรที่จะเข้าไปฆ่าและ 5) สัตว์เหล่านั้นตายด้วยความเพียรพยายามในการฆ่าให้ตาย ชื่อว่าเป็นการฆ่าสัตว์ เป็นการกระทำปาณาติบาต 2. ปาณาติบาต ที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา คัมภีร์ใบลานเรื่องหอยไห้ เป็นคัมภีร์นอกนิบาต ที่สร้างขึ้นด้วยการจาร (การเขียน) ลงบนใบลานด้วยอักษรธรรมล้านนา ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนา เพื่อถวายไว้กับพระพุทธศาสนา เพื่อใช้ในการเผยแผ่อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนที่สนใจเข้าวัดฟังธรรม ให้รู้จักการรักษาศีลข้อปาณาติบาต โดยเอาเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันมาแต่งให้เป็นนิทานชาดกประกอบเข้ากับหลักของศีลข้อที่หนึ่ง โดยให้เล็งเห็นว่าทุกชีวิตต่างรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น 3. วิเคราะห์และเปรียบเทียบปาณาติบาต ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับคัมภีร์ใบลานล้านนา ปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาทและในคัมภีร์ใบลานนั้น ได้มีนัยยะความหมายที่สอดคล้องเหมือนกัน คือ เป็นหลักแห่งการปฏิบัติในการสร้างความสงบสุขของสรรพสัตว์ที่อาศัยบนโลกไม่ให้มีการเบียดเบียนและทำร้ายกัน และผลของการกระทำความผิดที่มีความเหมือนและแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหมือนกัน คือ ผลของการกระทำโดยเมื่อบุคคลไหนเป็นผู้ประพฤติผิดในการฆ่าสัตว์ มีใจทารุณโหดร้าย เมื่อตายไปจากโลกนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมตกสู่อบายภูมิ ทุคติ วินิบาต นรก และเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์บุคคลนั้นก็จะเป็นผู้มีอายุสั้น ส่วนที่ต่างกัน คือ ในคัมภีร์จะบรรยายเพิ่มให้ผู้ที่หากกระทำนั้น จะต้องได้พัดพรากจากครอบครัว มิตรสหายญาติพี่น้องและคนที่รักทั้งปวง ต้องอยู่อย่างโดดเดียว ไม่มีใครรักใคร่เมตตาต่อตน ทำให้ผู้กระทำผิดกลัวต่ออำนาจแห่งการประพฤติผิดศีลข้อปาณาติบาต
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาปาณาติบาต ที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา เรื่องตำนานหอยไห้ ฉบับวัดท่าเดื่อ ตำบล สันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบปาณาติบาต ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับคัมภีร์ใบลานล้านนา เรื่องตำนานหอยไห้ ฉบับวัดท่าเดื่อ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยทำการศึกษาจาก เอกสารปฐมภูมิ คือพระไตรปิฎกและคัมภีร์ใบลานเรื่องหอยไห้ประกอบกับเอกสารทุติยภูมิ ได้แก่ อรรถกถา หนังสือเอกสารประเภทตำราและวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ และสารนิพนธ์ที่เกี่ยวข้องและบทความทางวิชาการจากนิตยสาร และบทความวิชาการจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์อินเตอร์เน็ต นำมาวิเคราะห์สรุปผลการวิจัยข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : 1. หลักปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาท ปาณาติบาต คือ การทำร้ายชีวิตสัตว์นั้นให้ตายก่อนเวลาอันควร โดยการประทุษร้ายต่อชีวิตและร่ายกาย ด้วยการทำลายเบียดเบียน ทรมานชีวิตสัตว์ให้เดือดร้อนบาดเจ็บจนตายไป เป็นการกระทำด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำก็ตามในการฆ่าสัตว์จะในทางใดทางหนึ่งหรือวิธีใด ๆ ก็ตามจนทำให้ชีวิตของสัตว์นั้นต้องสิ้นลงไป ตามองค์ประกอบของปาณาติบาตทั้ง 5 ประการ ที่เป็นตัววัดในการกระทำผิด คือ 1) สัตว์นั้นมีชีวิต 2) รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3) มีเจตนาที่จะฆ่า 4) มีความเพียรที่จะเข้าไปฆ่าและ 5) สัตว์เหล่านั้นตายด้วยความเพียรพยายามในการฆ่าให้ตาย ชื่อว่าเป็นการฆ่าสัตว์ เป็นการกระทำปาณาติบาต 2. ปาณาติบาต ที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา คัมภีร์ใบลานเรื่องหอยไห้ เป็นคัมภีร์นอกนิบาต ที่สร้างขึ้นด้วยการจาร (การเขียน) ลงบนใบลานด้วยอักษรธรรมล้านนา ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนา เพื่อถวายไว้กับพระพุทธศาสนา เพื่อใช้ในการเผยแผ่อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนที่สนใจเข้าวัดฟังธรรม ให้รู้จักการรักษาศีลข้อปาณาติบาต โดยเอาเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันมาแต่งให้เป็นนิทานชาดกประกอบเข้ากับหลักของศีลข้อที่หนึ่ง โดยให้เล็งเห็นว่าทุกชีวิตต่างรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น 3. วิเคราะห์และเปรียบเทียบปาณาติบาต ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับคัมภีร์ใบลานล้านนา ปาณาติบาตในพุทธปรัชญาเถรวาทและในคัมภีร์ใบลานนั้น ได้มีนัยยะความหมายที่สอดคล้องเหมือนกัน คือ เป็นหลักแห่งการปฏิบัติในการสร้างความสงบสุขของสรรพสัตว์ที่อาศัยบนโลกไม่ให้มีการเบียดเบียนและทำร้ายกัน และผลของการกระทำความผิดที่มีความเหมือนและแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหมือนกัน คือ ผลของการกระทำโดยเมื่อบุคคลไหนเป็นผู้ประพฤติผิดในการฆ่าสัตว์ มีใจทารุณโหดร้าย เมื่อตายไปจากโลกนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมตกสู่อบายภูมิ ทุคติ วินิบาต นรก และเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์บุคคลนั้นก็จะเป็นผู้มีอายุสั้น ส่วนที่ต่างกัน คือ ในคัมภีร์จะบรรยายเพิ่มให้ผู้ที่หากกระทำนั้น จะต้องได้พัดพรากจากครอบครัว มิตรสหายญาติพี่น้องและคนที่รักทั้งปวง ต้องอยู่อย่างโดดเดียว ไม่มีใครรักใคร่เมตตาต่อตน ทำให้ผู้กระทำผิดกลัวต่ออำนาจแห่งการประพฤติผิดศีลข้อปาณาติบาต
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study the principles of killing in Theravada Buddhist philosophy, 2) to study killing in Lanna palm-leaf scripture as the legend of Hoihai, Wat Thaduea version, Sanphisuea sub-district, Muang district, Chiang Mai province, 3) to analyze and compare killing in Theravada Buddhist philosophy and Lanna scripture as legend of Hoihai, Wat Thaduea version, Sanphisuea sub-district, Muang district, Chiang Mai province. This research was documentary research by studying primary documents, the Tripitaka, and palm-leaf scripture, the lehgend of Hoihai, together with secondary documents such as commentaries, textbooks and academic documents, research reports, theses, related thematic papers, academic articles from magazines and academic articles from electronic media in the Internet and data of research were analyze to find out results in descriptive manner. The results of research were found that: 1. Killing means to injure animal's life to cause it to die prematurely by injuring life and body, by destroying and by torturing animal’ life to suffer and hurt to death. It was either done by oneself or by others in killing animal by any ways or means to end of animal's life according to the 5 elements of killing as the measure of wrong doing, namely, 1) the animal was alive, 2) knowing that animals was alive, 3) having intent to kill, 4) having perseverance to go kill, and 5) the animal died in painstaking that effort to kill. This was called killing and it was act of killing. 2. This palm-leaf scripture was pagan scripture created by engraving on palm leaves with Lanna Dhamma alphabets with faith in Buddhism to offer to Buddhism and for use in propagating and teaching Buddhists who were interested in attending temple to listen to the Dhamma and to know how to observe the precept of killing by taking story of daily life to compose it into a jataka tale combined with the principle of the first precept by foreseeing that every life loved happiness and hated suffering together for easier understanding and clearer vision. 3. The results of analysis and comparison revealed that killing in Theravada Buddhist philosophy and palm-leaf scripture had the same meaning as principle of practice in creating peace for all beings living on the planet without harassing and hurting each other and its consequences of committing offense were similar and slightly different. The same thing was the result of action when person committing act of killing animal with cruel mind died from this world would fall into state of misery, woeful existence, place of suffering and hell and when he was born as a human, he would be short-lived. The difference was that the scripture would give additional descriptions to one who did so that he must be separated from family, all friends, relatives and beloved ones. He had to live alone and had no one to love and have compassion toward him. This made offender fear the power of misconduct in the precept of killing.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักพุทธวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่น ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การประยุกต์ใช้หลักพุทธวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการไกล่เกลี่ย รวมทั้งผู้มีความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวพุทธ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า หลักพุทธวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพุทธศาสนาเถรวาท เน้นการแก้ไขจากเหตุปัจจัยภายในที่เป็นรากเหง้าของความขัดแย้ง เพื่อให้คู่พิพาทเกิดสันติภาวะและร่วมกันแก้ไขปัญหาจนเกิดสันติภาพ ส่วนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่นเน้นที่ประเด็นปัญหาและวิธีการจัดการ เพื่อให้ได้ข้อตกลงยุติข้อพิพาท สำหรับการประยุกต์ใช้หลักพุทธวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอม เป็นการนำหลักพุทธวิธีไปปรับใช้ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้การแก้ไขข้อพิพาท มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน คือ ๑. การวิเคราะห์ปัญหาข้อพิพาท ๒. การสร้างความเชื่อถือ ๓. การสร้างความสงบ และ ๔. การสร้างสันติ
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักพุทธวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพื่อศึกษาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่น ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การประยุกต์ใช้หลักพุทธวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการไกล่เกลี่ย รวมทั้งผู้มีความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวพุทธ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า หลักพุทธวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในพุทธศาสนาเถรวาท เน้นการแก้ไขจากเหตุปัจจัยภายในที่เป็นรากเหง้าของความขัดแย้ง เพื่อให้คู่พิพาทเกิดสันติภาวะและร่วมกันแก้ไขปัญหาจนเกิดสันติภาพ ส่วนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอมประจำศาลจังหวัดขอนแก่นเน้นที่ประเด็นปัญหาและวิธีการจัดการ เพื่อให้ได้ข้อตกลงยุติข้อพิพาท สำหรับการประยุกต์ใช้หลักพุทธวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ประนีประนอม เป็นการนำหลักพุทธวิธีไปปรับใช้ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้การแก้ไขข้อพิพาท มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน คือ ๑. การวิเคราะห์ปัญหาข้อพิพาท ๒. การสร้างความเชื่อถือ ๓. การสร้างความสงบ และ ๔. การสร้างสันติ
This thesis has the objectives to study: 1. Buddhist principles in reconciliation in Theravada Buddhism, 2. the methods of reconciliation of reconciliatory in Khon Kaen provincial court, and 3. the application of Buddhist principles in reconciliation of reconciliatory in Khon Kaen provincial court. This is the qualitative research, and the researcher collected and studied form Tipitaka, commentary, texts, books, and related documents about reconciliation. The researcher interviewed reconciliatory, parties, layers in reconciliation center in Khon kaen provincial court including the Buddhist experts in reconciliation and analyzed the data by inductive methodology. Regarding to the research, Buddhist principles in reconciliation in Theravada Buddhism emphasizes on the root cause of the conflict to find peace and resolve it together. The reconciliation of reconciliatory in Khon Kaen provincial court does mainly focus on the root cause and how to manage to solve with dispute. The Court meditator have applied the Buddhist principles into the reconciliation process. To effectively resolve the dispute, there are 4 steps; 1. Dispute analysis, 2. Gaining trust, 3. Creating peace, and 4. Creating harmony.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับประชาชนที่อาศัยอยู่เขตเทศบาลแสนสุข ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรอิสระตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป เมื่อพบว่ามีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference : LSD) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1.ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2.เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่า ด้านเพศ ไม่แตกต่างกัน และด้านอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความรู้ในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น โดยมีกลยุทธ์ที่จะทำให้ประชาชนเข้าร่วมประชาคมมากขึ้น และให้ความสำคัญในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นโดยการจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนโครงการต่างๆของชุมชน และควรสำรวจความพอใจในการจัดทำแผนพัฒนาด้านสาธารณูปโภค
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับประชาชนที่อาศัยอยู่เขตเทศบาลแสนสุข ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรอิสระตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป เมื่อพบว่ามีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference : LSD) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1.ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2.เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่า ด้านเพศ ไม่แตกต่างกัน และด้านอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตเทศบาลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความรู้ในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น โดยมีกลยุทธ์ที่จะทำให้ประชาชนเข้าร่วมประชาคมมากขึ้น และให้ความสำคัญในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นโดยการจัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนโครงการต่างๆของชุมชน และควรสำรวจความพอใจในการจัดทำแผนพัฒนาด้านสาธารณูปโภค
The objectives of this research were as follows: 1) to study people's public participation in the preparation of local development plans in SaenSuk Municipality Warin Chamrap District Ubon Ratchathani Province along with the fourfold Itthipada 2) To compare the participation of people in preparation of local development plans in the Saensuk Municipality Warin Chamrap District Ubon Ratchathani Province along with the fourfold Itthipada and 3) to study recommendations of people's participation in the preparation of local development plans in Saensuk Municipality Warin Chamrap District Ubon Ratchathani Province along with the fourfold Itthipada. The researcher studied the research by survey research method. Data was collected by using a questionnaire with people living in Saen Suk municipality. The sample group obtained by calculating the sample size according to the Taro Yamane formula was 392 people. The used tool for collecting data in this research was a questionnaire. For data analysis, Statistical Package for social science (SPSS) was utilized to analyze for a percentage of frequency, Standard Deviation, t-test, One-way ANOVA in the case of three or more independent variables. When there is the difference compared in pairs using (Least Significant Difference: LSD) by specifying the level with a statistical significance level of 0.05 The results were found that: 1. People have opinions on people's participation in the preparation of local development plans in Saen Suk Municipality, Warin Chamrap District, Ubon Ratchathani Province, along with the fourfold Itthipada. It was found that at the highest level in all aspects. 2. Comparison of people's opinions towards people's participation in the preparation of local development plans in Saensuk Municipality, Warin Chamrap District, Ubon Ratchathani Province, along with the fourfold Itthipada, classified by personal factors According to the assumptions set, it was found that gender was not different and age, education level, occupation, and average monthly income were significantly different at 0.05 level. 3. Suggestions for people's participation in the preparation of local development plans in Saensuk Municipality, Warin Chamrap District, Ubon Ratchathani Province, along with the fourfold Itthipada, it was found that the people had an opinion to have and knowledge about the preparation of local development plans for public relations the people. Some strategies will allow more people to join the community and give importance to the preparation of local development plans by allocating budgets to support various community projects and should survey the satisfaction in the preparation of the development plan for utilities.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเวสสันดรชาดก 2) เพื่อศึกษาปรัชญาอัตถิภาวนิยม 3) เพื่อวิเคราะห์ปรัชญาอัตถิภาวนิยมในเวสสันดรชาดก ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นเอกสาร จากพระไตรปิฎก ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาวิเคราะห์และสรุปผล นำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : เวสสันดรชาดก เป็นการบำเพ็ญทานบารมีของพระโพธิสัตว์เวสสันดร คือการพระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ การกระทำสัตตสดกมหาทาน ปุตตทานคือการให้พระชาลีและพระกัณหา และทารทานคือการให้พระนางมัทรี เพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ปรัชญาอัตถิภาวนิยม มีแนวคิดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบ มนุษย์คือเสรีภาพ เสรีภาพคือสารัตถะของมนุษย์ เมื่อใดมนุษย์ใช้เสรีภาพ มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อผลของการใช้เสรีภาพนั้นเสมอ วิเคราะห์ปรัชญาอัตถิภาวนิยมผ่านท่าทีของพระเวสสันดรเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบ คือเสรีภาพในการเลือกและเสรีภาพสมบูรณ์ในการทำทานโดยไม่หวั่นเกรงต่อความตาย และความรับผิดชอบต่อตนเอง ที่ยอมรับการถูกเนรเทศสู่เขาวงกต และความรับผิดชอบต่อโลกเพื่อมิให้เกิดสงคราม
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเวสสันดรชาดก 2) เพื่อศึกษาปรัชญาอัตถิภาวนิยม 3) เพื่อวิเคราะห์ปรัชญาอัตถิภาวนิยมในเวสสันดรชาดก ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นเอกสาร จากพระไตรปิฎก ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาวิเคราะห์และสรุปผล นำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : เวสสันดรชาดก เป็นการบำเพ็ญทานบารมีของพระโพธิสัตว์เวสสันดร คือการพระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ การกระทำสัตตสดกมหาทาน ปุตตทานคือการให้พระชาลีและพระกัณหา และทารทานคือการให้พระนางมัทรี เพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ปรัชญาอัตถิภาวนิยม มีแนวคิดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบ มนุษย์คือเสรีภาพ เสรีภาพคือสารัตถะของมนุษย์ เมื่อใดมนุษย์ใช้เสรีภาพ มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อผลของการใช้เสรีภาพนั้นเสมอ วิเคราะห์ปรัชญาอัตถิภาวนิยมผ่านท่าทีของพระเวสสันดรเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบ คือเสรีภาพในการเลือกและเสรีภาพสมบูรณ์ในการทำทานโดยไม่หวั่นเกรงต่อความตาย และความรับผิดชอบต่อตนเอง ที่ยอมรับการถูกเนรเทศสู่เขาวงกต และความรับผิดชอบต่อโลกเพื่อมิให้เกิดสงคราม
This thesis objectives 1) to study the Vessantara Jataka 2) to study the philosophy of existentialism 3) to analyze the philosophy of existentialism in the Vessantara Jataka use a qualitative research method, focusing on paperwork from the Tripitaka, textbooks, documents and related research and then analyzed and summarized the results. presented in a descriptive way. The results of research were found that : Vessantara Jataka is the asceticism of the Bodhisattva Vessantara is to bestow the elephant Paccainaga action Puttana is to give to Phra Chali and Phra Kanha. and giving alms to Phra Nang Matri to attain the Bodhisattva. Existentialism philosophy have the concept of freedom and responsibility. Man is freedom. Freedom is the essence of human beings. When human beings take freedoms. Man is always responsible for the consequences of exercising that freedom. Analyze the philosophy of existentialism through Vessantara's attitude on freedom and responsibility. It is freedom of choice and absolute freedom to alms without fear of death and self-responsibility who accepted exile to the labyrinth and responsibility to the world to prevent war.
หนังสือ

    บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรตามแนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาท2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสานการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งเน้นการวิจัยทางเอกสารโดยได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก และผู้วิจัยได้มีการเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยมีประชากร คณาจารย์และพระนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ปีที่ 4 ที่จะจบการศึกษา จำนวน 21 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า: พระธุดงค์ในกรอบทางพระพุทธศาสนาคือ กลุ่มพระสงฆ์ที่มุ่งดำเนินตามทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทางด้านการปฏิบัติมีความมักน้อยและสันโดษ ไม่ยึดติดในศักดิ์ไม่เกี่ยวข้อง ตัดขาดกับทางโลก ปลีกวิเวก หาความสงบ มุ่งสู่การบรรลุธรรมจนถึงพระนิพพาน คำว่าธุดงค์ เน้นแปลตามตัว หมายถึง องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลสประกอบด้วยข้อวัตรปฏิบัติ 13 ข้อ เรียกว่า ธุดงควัตร 13 ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติสามารถเลือกปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งได้ตามความสมัครใจ และไม่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ครบทุกข้อ เพราะการปฏิบัติขึ้นอยู่ที่ความอดทน และความเพียร ความวุ่นวายจากสังคม มุ่งต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสภายในของแต่ละบุคคล การปฏิบัติธรรมธุดงควัตร ของพระนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ซึ่งได้จัดกิจกรรมการ“ธุดงค์” ทุกปีเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้ข้อวัตร เกี่ยวกับธุดงค์ และที่สำคัญคือการกำจัดกิเลส ทำให้จิตใจสงบสุข และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ อานิสงส์ที่เกิดจากการปฏิบัติธุดงค์คือ ทำให้พระที่จาริกไปตามสถานที่ต่างๆอยู่อย่างสมถะเสียสละลดละอุปโภคบริโภค ทำให้จิตของท่านเป็นอิสระพ้นจากพันธนาการเครื่องร้อยรัดขัดขวาง สู่ความเบาสบาย สงบเอื้อต่อการเจริญสมาธิภาวนา บำเพ็ญความเพียรการท่องไปในที่ต่างๆ เป็นการฝึกจิต หลอมใจ ให้เข้มแข็ง มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีหลักการวัตถุประสงค์เป็นแบบอย่างเฉพาะและมีแนวทางการปฏิบัติธุดงควัตรที่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกและตามแนวการปฏิบัติของพระอริยะสงฆ์เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต, หลวงปู่ดูลย์อตุโล, หลวงตามหาบัว าณสมฺปนฺโนและท่านพ่อลี ธมฺมธโร เป็นต้น การวิเคราะห์การปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสานมีความสอดคล้องกับหลักการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรตามแนวทางพุทธศาสนาเถรวาททั้ง 3หมวด กล่าวคือ หมวดจีวร หมวดบิณฑบาต และ หมวดเสนาสนะ ผลการปฏิบัติทำให้พระนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน มีความสงบระงับจากนิวรณ์ 5 ประการ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรตามแนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาท2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสานการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งเน้นการวิจัยทางเอกสารโดยได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก และผู้วิจัยได้มีการเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยมีประชากร คณาจารย์และพระนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ปีที่ 4 ที่จะจบการศึกษา จำนวน 21 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า: พระธุดงค์ในกรอบทางพระพุทธศาสนาคือ กลุ่มพระสงฆ์ที่มุ่งดำเนินตามทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทางด้านการปฏิบัติมีความมักน้อยและสันโดษ ไม่ยึดติดในศักดิ์ไม่เกี่ยวข้อง ตัดขาดกับทางโลก ปลีกวิเวก หาความสงบ มุ่งสู่การบรรลุธรรมจนถึงพระนิพพาน คำว่าธุดงค์ เน้นแปลตามตัว หมายถึง องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลสประกอบด้วยข้อวัตรปฏิบัติ 13 ข้อ เรียกว่า ธุดงควัตร 13 ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติสามารถเลือกปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งได้ตามความสมัครใจ และไม่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ครบทุกข้อ เพราะการปฏิบัติขึ้นอยู่ที่ความอดทน และความเพียร ความวุ่นวายจากสังคม มุ่งต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสภายในของแต่ละบุคคล การปฏิบัติธรรมธุดงควัตร ของพระนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ซึ่งได้จัดกิจกรรมการ“ธุดงค์” ทุกปีเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้ข้อวัตร เกี่ยวกับธุดงค์ และที่สำคัญคือการกำจัดกิเลส ทำให้จิตใจสงบสุข และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ อานิสงส์ที่เกิดจากการปฏิบัติธุดงค์คือ ทำให้พระที่จาริกไปตามสถานที่ต่างๆอยู่อย่างสมถะเสียสละลดละอุปโภคบริโภค ทำให้จิตของท่านเป็นอิสระพ้นจากพันธนาการเครื่องร้อยรัดขัดขวาง สู่ความเบาสบาย สงบเอื้อต่อการเจริญสมาธิภาวนา บำเพ็ญความเพียรการท่องไปในที่ต่างๆ เป็นการฝึกจิต หลอมใจ ให้เข้มแข็ง มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีหลักการวัตถุประสงค์เป็นแบบอย่างเฉพาะและมีแนวทางการปฏิบัติธุดงควัตรที่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกและตามแนวการปฏิบัติของพระอริยะสงฆ์เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต, หลวงปู่ดูลย์อตุโล, หลวงตามหาบัว าณสมฺปนฺโนและท่านพ่อลี ธมฺมธโร เป็นต้น การวิเคราะห์การปฏิบัติธรรมธุดงควัตรของพระนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสานมีความสอดคล้องกับหลักการปฏิบัติธรรมธุดงควัตรตามแนวทางพุทธศาสนาเถรวาททั้ง 3หมวด กล่าวคือ หมวดจีวร หมวดบิณฑบาต และ หมวดเสนาสนะ ผลการปฏิบัติทำให้พระนักศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน มีความสงบระงับจากนิวรณ์ 5 ประการ
The objectives of the research were as follows: 1) to study Theravada Buddhist Dhutanga practice, 2) to study the Dhutanga practice of Buddhist monk students in Mahamakut Buddhist University Isan Campus, and 3) to analyze Dhutanga practice of Buddhist monk students in Mahamakut Buddhist University Isan Campus.This research was a qualitative research focused on documentary research. The study analyzed the data from primary documents and related research primarily and the researcher collected field data by in-depth interviews with faculty and 4thyear monk students of Mahamakut Buddhist University Isan Campus altogether 21 people. The results were as follows; In Buddhism, the monks practicing Dhutanga are strong-minded monks following the path laid down by the Lord Buddha focusing on seclusion and modesty, detach from prestige, secular and search for the peace to reach enlightenment. Dhutanga means shaking off or removing defilements, and it is consisted of 13 topics. The practitioners can choose to practice voluntarily and it is not necessary to practice every topic of Dhutanga because it depends on endurance of the practitioners to remove defilement of each person. Dhutanga practice is annually arranged by Mahamakut Buddhist University Isan campus. The university has the purposes to train the Buddhist monk students to know about Dhutanga that is the way to remove the defilement and preserve the peaceful mind. The benefits of practicing Dhutanga are to live in moderation and reduction on consumption resulting peace conducive to the meditation. Dhutanga is the way that Buddhist monks travel to the place to place and stay modestly to train the mind and it is related with Buddhist Tipitaka and the way of the most renowned mindfulness and meditation monks such as Luang Pu Mun Puritato, Luang Pu DulUttaro, Luang Pu MahaBuaoYannasumpunno, and the most venerable Lee Dhammatharo. The analytical study of Dhutanga practice of Buddhist monk students in Mahamakut Buddhist University Isan Campus had the consistent with the principles of Dhutanga practice according to the three categories of Theravada Buddhism, namely yellow robe, alms bowl, and Senasana (abode). The results of practicing Dhutanga of the students of Mahamakut Buddhist University Isan Campus found that they could find peace from five hindrance

... 2564

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางปัญญาในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ภาวะผู้นำทางปัญญาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมของมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎกเกี่ยวกับภาวะผู้นำในพุทธปรัชญาเถรวาท ความขัดแย้งในพุทธปรัชญาเถรวาท และมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำทางปัญญาในพุทธปรัชญาเถรวาท โดยใช้หลักปัญญา 3 ประการ ประกอบด้วย 1) สุตมยปัญญา ปัญญาได้จากฟังข้อมูลเพื่อประกอบพิจารณา 2) จินตามยปัญญา ปัญญาได้จากการคิดวิเคราะห์ตรึกตรองความเป็นเหตุเป็นผล 3) ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการพิจารณาเจริญสติ 2. การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมทางพระพุทธศาสนานั้นมีมูลเหตุมาจาก ปปัญจธรรม ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า มีตัณหา ทิฏฐิ มานะ เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนการขัดแย้งในสังคมมี 5 ประการ 1) ความขัดแย้งด้านข้อมูล 2) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์และความต้องการ 3) ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ 4) ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง 5) ความขัดแย้งด้านคุณค่าหรือค่า 3. ภาวะผู้นำทางปัญญาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมของมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก มโหสถบัณฑิตได้ใช้หลักหลักปัญญา 3 ประการ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคม ในการรับฟังในข้อมูลคดีที่ถูกต้อง การคิดวิเคราะห์ในสิ่งที่สมเหตุสมผล และการพิจารณาตามหลักความเป็นจริง
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางปัญญาในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ภาวะผู้นำทางปัญญาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมของมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎกเกี่ยวกับภาวะผู้นำในพุทธปรัชญาเถรวาท ความขัดแย้งในพุทธปรัชญาเถรวาท และมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก ผลการวิจัยพบว่า : 1. ภาวะผู้นำทางปัญญาในพุทธปรัชญาเถรวาท โดยใช้หลักปัญญา 3 ประการ ประกอบด้วย 1) สุตมยปัญญา ปัญญาได้จากฟังข้อมูลเพื่อประกอบพิจารณา 2) จินตามยปัญญา ปัญญาได้จากการคิดวิเคราะห์ตรึกตรองความเป็นเหตุเป็นผล 3) ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการพิจารณาเจริญสติ 2. การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมทางพระพุทธศาสนานั้นมีมูลเหตุมาจาก ปปัญจธรรม ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า มีตัณหา ทิฏฐิ มานะ เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง ส่วนการขัดแย้งในสังคมมี 5 ประการ 1) ความขัดแย้งด้านข้อมูล 2) ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์และความต้องการ 3) ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ 4) ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง 5) ความขัดแย้งด้านคุณค่าหรือค่า 3. ภาวะผู้นำทางปัญญาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมของมโหสถบัณฑิตในมโหสถชาดก มโหสถบัณฑิตได้ใช้หลักหลักปัญญา 3 ประการ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคม ในการรับฟังในข้อมูลคดีที่ถูกต้อง การคิดวิเคราะห์ในสิ่งที่สมเหตุสมผล และการพิจารณาตามหลักความเป็นจริง
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study intellectual leadership in Theravada Buddhist philosophy, 2) to study resolution of social conflicts in Theravada Buddhist philosophy, and 3) to analyze intellectual leadership of Mahosatha in Mahosatha Jataka. It was a document research by collecting information from the Tipitaka on leadership in Theravada Buddhist philosophy, solution of conflicts in Theravada Buddhist philosophy and Mahosatha in Mahosatha Jataka. The results of research were found that: 1. Intellectual Leadership in Theravada Buddhist Philosophy by using 3 principles of Panya: 1) Sutamaya-panya, wisdom acquired from listening to information for consideration 2) Jintamaya-panya, wisdom derived from analytical thinking and contemplation, and 3) Bhavanamaya-panya, wisdom derived from mindful consideration. 2. As regards the solution of social conflicts in Theravada Buddhist philosophy, problem of social conflicts in Buddhism resulted from Papancadhamma, the Dharma of mental proliferation, namely, craving, dogma and conceit which provoked conflicts. As for conflicts in society, there were 5 aspects: 1) information conflicts 2) conflicts of interests and needs 3) relationship conflicts 4) structural conflicts 5) values or worth conflicts. 3. As regards the Intellectual Leadership in solving social conflicts of Mahosatha in Mahosatha Jataka, Mahosatha had applied 3 principles of wisdom to solve social conflicts through listening to the correct case information, rational analysis and actual consideration.
หนังสือ

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบุญกริยาวัตถุในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาเทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” ในเทศกาลเข้าพรรษาของ ชาติพันธุ์ดาราอาง 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการอนุรักษ์เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” ของชาติพันธุ์ดาราอาง บ้านห้วยจะนุ ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการเลือกโดยเฉพาะเจาะจงประกอบด้วย พระสงฆ์จำนวน 2 รูป มัคนายกจำนวน 1 คน ผู้นำชุมชนจำนวน 1 คน ดาบูเมิง (ผู้ประกอบพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าเมืองและวิญญาณ) จำนวน 1 คน กรรมการและไวยาวัจกรวัดจำนวน 5 คน ผู้อาวุโสในชุมชนจำนวน 3 คน ชาวบ้านจำนวน 3 คน รวมทั้งหมด 16 สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเนื่องจากการวิจัยเรื่องนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมูลจึงใช้การวิเคราะห์พรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. บุญกิริยาวัตถุ 3 ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือการทำความดี โดยการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา 2. เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” เป็นเทศกาลเข้าพรรษาของชาติพันธุ์ดาราอาง โดยการนำเอาการเข้าพรรษาแบบพุทธเถรวาทผสมผสานเข้ากับความเชื่อ วัฒนธรรม แนวคิด วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาติพันธุ์ดาราอาง 3. แนวทางการอนุรักษ์เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” จำเป็นต้องให้ชาวดาราอาง ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาบุญกิริยาวัตถุ 3 ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วย่อม เกิดความรักและห่วงแหนซึ่งเทศกาลอันทรงคุณค่าและเป็นมรดกดั้งเดิมของชาติพันธุ์ดาราอางสืบไป
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบุญกริยาวัตถุในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาเทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” ในเทศกาลเข้าพรรษาของ ชาติพันธุ์ดาราอาง 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการอนุรักษ์เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” ของชาติพันธุ์ดาราอาง บ้านห้วยจะนุ ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการเลือกโดยเฉพาะเจาะจงประกอบด้วย พระสงฆ์จำนวน 2 รูป มัคนายกจำนวน 1 คน ผู้นำชุมชนจำนวน 1 คน ดาบูเมิง (ผู้ประกอบพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าเมืองและวิญญาณ) จำนวน 1 คน กรรมการและไวยาวัจกรวัดจำนวน 5 คน ผู้อาวุโสในชุมชนจำนวน 3 คน ชาวบ้านจำนวน 3 คน รวมทั้งหมด 16 สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเนื่องจากการวิจัยเรื่องนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมูลจึงใช้การวิเคราะห์พรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: 1. บุญกิริยาวัตถุ 3 ในพุทธปรัชญาเถรวาท คือการทำความดี โดยการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา 2. เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” เป็นเทศกาลเข้าพรรษาของชาติพันธุ์ดาราอาง โดยการนำเอาการเข้าพรรษาแบบพุทธเถรวาทผสมผสานเข้ากับความเชื่อ วัฒนธรรม แนวคิด วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาติพันธุ์ดาราอาง 3. แนวทางการอนุรักษ์เทศกาล “บลอย ฆา เนอ วา” จำเป็นต้องให้ชาวดาราอาง ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาบุญกิริยาวัตถุ 3 ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วย่อม เกิดความรักและห่วงแหนซึ่งเทศกาลอันทรงคุณค่าและเป็นมรดกดั้งเดิมของชาติพันธุ์ดาราอางสืบไป
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study merit-making in Theravada Buddhist philosophy, 2) to study the ‘Bloi Ka Ner Va’ festival during the Buddhist Lent festival of the Dara-Ang ethnic group, and 3) to study conservation guideline of the ‘Bloi Ka Ner Va’ festival of the Dara-Ang ethnic group, Ban Huaicanu, Monpin sub-district, Fang district, Chiang Mai province. Data were collected through in-depth interview from target group that was related to Dara-Ang ethnic group, Ban Huaicanu, Monpin sub-district, Fang district, Chiang Mai province. The collected data were connectedly analyzed in descriptive manner to find the relationship in various veritable aspects and they came out as descriptive presentation. The results of research were found that: 1. The 3 Punnakiriyawatthus in Buddhist Philosophy were to do good deeds by giving alms, to observe the precepts and to practice meditation. 2. The ‘Bloi Ka Ner Va’ festival was the Buddhist Lent festival of the Dara-Ang ethnic group by combining the Buddhist Lent with beliefs, culture, concepts, and the traditional ways of life of the Dara-Ang ethnic group. 3. Regarding the guideline for conservation of the ‘Bloi Ka Ner Va’, the people of the Dara-Ang were required to recognize the importance of preserving 3 Punnakiriyawatthus during the Buddhist Lent festival. When fully understood, they would love and cherish this precious festival and traditional heritage of the Dara-Ang ethnic group.
หนังสือ

    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติ ของสุธีโรภิกขุ 3) เพื่อวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติ ของสุธีโรภิกขุ โดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ได้แก่ พระภิกษุไทยจำนวน 4 รูป พระภิกษุชาวต่างชาติจำนวน 3 รูป และฆราวาสชาวต่างชาติจำนวน 7 คน (รวม 14 รูป/คน) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียง จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหาตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า : ธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ วิสัยทัศน์ ทัศนะหรือความเห็น ที่ผ่านการกลั่นกรอง ใคร่ครวญ พิจารณาจากประสบการณ์ตรงทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยวัจนภาษา คือ การตรัสสอนด้วยถ้อยคำอันเหมาะแก่ผู้ฟัง และอวัจนภาษา คือ พุทธจริยาที่งดงามเหมาะควรแก่สถานการณ์ บริบทสังคม ศักยภาพ จริตนิสัยของผู้ฟัง และหลักธรรมที่เหมาะสมกับบุคคลในกาพัฒนาจิต ธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติของสุธีโรภิกขุ คือ การใช้หลักธรรมทรรศน์เผยแผ่แบบ 3, 2, 4 ได้แก่ การใช้แนวทาง 3 ตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รูปแบบ 2 ประการ ได้แก่ การใช้ วัจนภาษา คือ ด้วยการพูด เข้าใจง่าย สุภาพ อ่อนโยน และการใช้ อวัจนภาษา คือ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และวิธีการ 4 ได้แก่ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัสได้ วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติของสุธีโรภิกขุ ท่านได้ยึดมั่นในหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ผ่านรูปแบบการสอนด้วยวจนภาษาและอวัจนภาษา และด้วยวิธีการ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัสได้ สอนชาวต่างชาติและพุทธศาสนิกชน ทำให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสถึงปริยัติที่ถ่องแท้ ปฏิบัติที่ถูกทาง และปฏิเวธอันเที่ยงธรรม นำไปสู่ผลเป็นคุณสัมปันโน
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติ ของสุธีโรภิกขุ 3) เพื่อวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติ ของสุธีโรภิกขุ โดยศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ได้แก่ พระภิกษุไทยจำนวน 4 รูป พระภิกษุชาวต่างชาติจำนวน 3 รูป และฆราวาสชาวต่างชาติจำนวน 7 คน (รวม 14 รูป/คน) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียง จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหาตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า : ธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ วิสัยทัศน์ ทัศนะหรือความเห็น ที่ผ่านการกลั่นกรอง ใคร่ครวญ พิจารณาจากประสบการณ์ตรงทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยวัจนภาษา คือ การตรัสสอนด้วยถ้อยคำอันเหมาะแก่ผู้ฟัง และอวัจนภาษา คือ พุทธจริยาที่งดงามเหมาะควรแก่สถานการณ์ บริบทสังคม ศักยภาพ จริตนิสัยของผู้ฟัง และหลักธรรมที่เหมาะสมกับบุคคลในกาพัฒนาจิต ธรรมทรรศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติของสุธีโรภิกขุ คือ การใช้หลักธรรมทรรศน์เผยแผ่แบบ 3, 2, 4 ได้แก่ การใช้แนวทาง 3 ตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รูปแบบ 2 ประการ ได้แก่ การใช้ วัจนภาษา คือ ด้วยการพูด เข้าใจง่าย สุภาพ อ่อนโยน และการใช้ อวัจนภาษา คือ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และวิธีการ 4 ได้แก่ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัสได้ วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทแก่ชาวต่างชาติของสุธีโรภิกขุ ท่านได้ยึดมั่นในหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ผ่านรูปแบบการสอนด้วยวจนภาษาและอวัจนภาษา และด้วยวิธีการ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัสได้ สอนชาวต่างชาติและพุทธศาสนิกชน ทำให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสถึงปริยัติที่ถ่องแท้ ปฏิบัติที่ถูกทาง และปฏิเวธอันเที่ยงธรรม นำไปสู่ผลเป็นคุณสัมปันโน
This research has the objectives; 1) to study Dhammathas in Theravada Buddhist propagation, 2) Sutheero Bhikkhu’s Dhammathas for Theravada Buddhist propagation for the foreigners, and 3) to analyze Sutheero Bhikkhu’s Theravada Buddhist propagation for the foreigners. The researcher studied form Tripitaka, Buddhist commentaries, books, texts and related research and in-depth interview from four Thai Buddhist monks, three foreign Buddhist monks, and 7 foreign laymen totaling 14, and compiled, classified, and analyzed the data as following the data. The research results were found that Dhammathas in Theravada Buddhist propagations are vision, outlook, and opinion through moderation, scrutiny, and consideration from secularand moral experience with verbal which is the proper language for the listeners. Nonverbal is well-Buddhist behavior in proper situation, social context, potentiality, sense of listeners and appropriate Dhamma with persons to develop their mind. Sutheero Bikkhu’s Dhammathas for Buddhist propagation for the foreigners is Buddhist propagation called 3, 2, 4 models. It is Threefold training called Sila, Meditation, and Wisdom. 2 model is consisted of verbal with easy understanding, polite, and nice talking. Nonverbals are consisted of teaching to know, learning by doing, comfortable practice. Sutheero Theravada Buddhist propagation for the foreigners is held with The Threefold training called Sila, Meditation, and Wisdom trough verbal and nonverbal teaching including teaching to know, learning by doing, and comfortable practice for foreigners and Buddhists. The followers knew the theory of practice, and they properly practice, understand thoroughly to reach result of the enlightenment.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างวัฒนธรรมการเมืองกับผู้นำชุมชนท้องถิ่น จำแนกตามสถานะผู้นำชุมชน 3)ข้อเสนอแนะวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่เขตอำเภอสหัสขันธ์ ตามสูตรทาโร่ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปรายงานผลทางสถิติเป็นค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ค่า F-test และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยวิธีการ LSD โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่นอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่นด้านเพศและสถานะ ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านอายุและระดับการศึกษา แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ผู้นำควรให้ประชาชนเข้าไปมามีส่วนร่วมในการตัดสินในการพัฒนาหมู่บ้าน และควรมีประชาชนเข้าร่วมด้วย, ควรปฏิบัติตามกฎหมายโดยไม่ชักถามข้อสงสัย และนักการเมืองควรมีหน้าที่ตรวจสอบผลปฏิบัติงานของข้าราชการแทนประชาชน, ผู้นำควรให้ความช่วยเหลือประชาชน, ประชาชนสามารถเข้าร่วมรับฟังปัญหาการทุจริตในหน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่นได้, ผู้นำควรปฏิบัติงานควบคู่กับการใช้สติปัญญาเพื่อแก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองได้
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างวัฒนธรรมการเมืองกับผู้นำชุมชนท้องถิ่น จำแนกตามสถานะผู้นำชุมชน 3)ข้อเสนอแนะวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น วิธีการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยโดยวิธีวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่เขตอำเภอสหัสขันธ์ ตามสูตรทาโร่ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปรายงานผลทางสถิติเป็นค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ค่า F-test และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยวิธีการ LSD โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า : 1. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่นอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่นด้านเพศและสถานะ ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านอายุและระดับการศึกษา แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้นำชุมชนท้องถิ่น อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ผู้นำควรให้ประชาชนเข้าไปมามีส่วนร่วมในการตัดสินในการพัฒนาหมู่บ้าน และควรมีประชาชนเข้าร่วมด้วย, ควรปฏิบัติตามกฎหมายโดยไม่ชักถามข้อสงสัย และนักการเมืองควรมีหน้าที่ตรวจสอบผลปฏิบัติงานของข้าราชการแทนประชาชน, ผู้นำควรให้ความช่วยเหลือประชาชน, ประชาชนสามารถเข้าร่วมรับฟังปัญหาการทุจริตในหน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่นได้, ผู้นำควรปฏิบัติงานควบคู่กับการใช้สติปัญญาเพื่อแก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองได้
This thesis has the following objectives 1) To study the political culture of local community leaders 2) To study the comparison between the political culture and the local community leaders Classified by community leader status 3) Political culture suggestions of local community leaders. The researcher studied the research using the survey research method, data were collected from the sample group living in Sahatsakhan District with Taro Yamane. The research tools are questionnaires which were analyzed by using the software package. The statistical results were reported as frequency, percentage, mean, standard deviation, F-test and compared the difference by LSD method. The level of statistical significance was set at 0.05. The results showed that: 1. People have opinions on the political culture of the local community leaders, Sahatsakhan District, Kalasin Province According to Sangahavattha 4 at the overall level in the highest level, while considering each aspect it was found that the people's opinions on the political culture of the local community leaders were at the highest level in all aspects. 2. It was found that people had opinions on the political culture of the local community leaders in terms of gender and status no different, but the age and educational level were significantly different at the 0.05 level while comparing the opinions of the people on the political culture of the local community leaders, Sahatsakhan District, Kalasin Province according to Sangahavathut 4. 3. Suggestions for political culture of local community leaders, Sahatsakhan District, Kalasin Province according to Sangahavathut 4 principles, leaders should allow people to participate in decision making in village development and the people should be in attendance, people should follow the law without asking questions and politicians should have a duty to check the performance of government officials instead of the people. Leaders should help people, people can join to hear about corruption in the duties of local politicians, leaders should work with intelligence to solve problems and giving people the opportunity to express their opinions on politics.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น 3) ศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือเจ้าหน้าที่จากองค์กรภาครัฐ จำนวน 101 คน เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ มีระดับค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-test และ ค่า F-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. เจ้าหน้าที่องค์กรภาครัฐมีส่วนร่วมในการพัฒนาพุทธอุทยาน พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วมดำเนินการร่วมปฏิบัติ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการจัดทำแนวกันไฟ และด้านจัดทำขอบเขตที่พักสงฆ์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2. ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยานอำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์ทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ภายในองค์กร โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน ได้แก่ ภาครัฐควรมีส่วนร่วมและสนับสนุนการป้องกันไฟป่า การติดตามผลการปฏิบัติงาน การเพาะชำกล้าไม้ การจัดทำป้าย การทำถนนภายในพุทธอุทยานเพื่อป้องกันไฟป่า การปรับภูมิทัศน์ การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในวันสำคัญ และการวางแผนเพื่อการพัฒนาพุทธอุทยาน
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น 3) ศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือเจ้าหน้าที่จากองค์กรภาครัฐ จำนวน 101 คน เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ มีระดับค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-test และ ค่า F-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. เจ้าหน้าที่องค์กรภาครัฐมีส่วนร่วมในการพัฒนาพุทธอุทยาน พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วมดำเนินการร่วมปฏิบัติ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการจัดทำแนวกันไฟ และด้านจัดทำขอบเขตที่พักสงฆ์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2. ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยานอำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์ทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ภายในองค์กร โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐในการพัฒนาพุทธอุทยาน ได้แก่ ภาครัฐควรมีส่วนร่วมและสนับสนุนการป้องกันไฟป่า การติดตามผลการปฏิบัติงาน การเพาะชำกล้าไม้ การจัดทำป้าย การทำถนนภายในพุทธอุทยานเพื่อป้องกันไฟป่า การปรับภูมิทัศน์ การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในวันสำคัญ และการวางแผนเพื่อการพัฒนาพุทธอุทยาน
The objectives of this thesis are as follows: 1) to study the level of participation of government organization in Buddhist park development of Wiang Kao District, Khon Kaen Province, 2) to compare the participation of government organizations in the Buddhist park development of Wiang Kao District, Khon Kaen Province, and 3) to study the recommendations on the participation of government organization in the development of the Buddhist Park of Wiang Kao District, Khon Kaen Province. It is quantitative research, the sample groups were 101 officials from government organizations. The tool of data collection was a questionnaire on a 5-level estimation scale of 30 items with a confidence level of 0.89. The statistics used in the data analysis were percentage, mean, standard deviation, T-test, and F-test values which were determined statistically at the 0.5. level. The results showed that 1. Government organization officials are involved in the development of the Buddhist Park. It was found that the overall level was at the highest level. When considering each aspect, it was found that the participation aspect of the joint practice with the highest average, followed by the preparation of fire protection lines and the boundaries of monks' accommodation in conservation forest areas were the least average. 2. Comparative results of participation of government organization in the development of Buddhist Park in Wiang Kao District, Khon Kaen Province by gender, age, work experience, and positions within the organization, the overall is different statistically significant at the level of 0.5 3. Suggestions for the participation of government organization in the development of Buddhist Park in Wiang Kao District, Khon Kaen Province, including the government sector, should be involved and supported forest fire prevention, performance tracking, planting seedlings, making signs, making roads within the Buddhist Park to prevent forest fires, landscape adjustment participation in activities on important days and planning for the development of the Buddhist Park of Wiang Kao District, Khon Kaen Province.