Search results

72 results in 0.23s

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์(ศน.ด)พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์(ศน.ด)พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด.) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2561
Note: ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด.) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2561
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2546
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2546
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา,สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย,2550
Note: ฉบับอัดสำเนา,สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย,2550
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศษ.ม.) สาขาการบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศษ.ม.) สาขาการบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง การสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการสอน ๒) เพื่อศึกษานวังคสัตถุศาสน์ ๓) เพื่อบูรณาการ การสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ ๔) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับ “รูปแบบการสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร (Documentary Qualitative Research) ศึกษาจากเอกสารชั้นปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎกและอรรถกถา และเอกสารชั้นทุติยภูมิอื่น ๆ มีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้งด้านการสอนและด้านพระพุทธศาสนา จำนวน ๑๗ รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสอนทางการศึกษาในโลกโดยมากใช้รูปแบบอนุกรมวิธานของบลูม (Bloom’s Taxonomy) เป็นฐานจิตวิทยาการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน ๓ ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสามารถทางปัญญา ๖ ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ด้านจิตพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทางใจ ๕ ระดับ ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างค่านิยม การจัดรวบรวม และการสร้างลักษณะนิสัย ด้านทักษะพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ ๕ ระดับ ได้แก่ การเลียนแบบ การทำตามข้อกำหนด การทำอย่างมีคุณภาพ การผสมผสาน และการปรับตัว ปัจจุบันได้มีปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนมาเป็นทักษะการเรียนในศตวรรษที่ ๒๑ มุ่งพัฒนาทักษะผู้เรียน ๕ ด้าน คือ การรู้หนังสือ การคิด การทำงาน การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ และการใช้ชีวิต เนื้อหาทางการศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาทั้งระบบ เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ เป็นลักษณะการเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง ๙ ประการ คือ สุตตะ (บรรยาย) เคยยะ (ท่วงทำนอง) เวยยากรณะ (แจกแจง) คาถา (กวี) อุทานะ (เปล่งออกมาจากความรู้สึก) อิติวุตตกะ (อ้างอิง) ชาตกะ (อดีตชาติ) อัพภูตธรรมะ (อัศจรรย์) และเวทัลละ (ถามตอบ) แต่ละลักษณะมุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจรูปแบบ เนื้อหา ถ้อยคำการสื่อสาร และความพร้อมของผู้เรียนที่เกี่ยวกับบุคคล เวลา และสถานที่ การสอน ในพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้เรียนได้เข้าใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน การบูรณาการการสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ สามารถบูรณาการใน ๔ มิติ คือ ๑) โครงสร้างองค์รวม เป็นการเรียนรู้คำสอนเชิงโครงสร้างแบบบรรยาย บรรยายประกอบกวี และบทกวี เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะทั้งการบรรยายและกวี ๒) สารัตถธรรม เป็นการเรียนรู้เนื้อหาคำสอน ที่มุ่งให้ผู้เรียนเกื้อกูลกันในสังคม รักษากฎเกณฑ์ทางสังคม ฝึกฝนอบรมจิตใจให้เข้มแข็งและรอบรู้ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ๓) นิรุกติศาสตร์ เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะทางภาษาและ การสื่อสาร รู้จักวิธีตีความคำสอนให้เป็นไปตามนัยที่พระพุทธเจ้ามุ่งหมายและเป็นการใช้ภาษา ให้เหมาะกับบุคคลและกาลเทศะ ๔) ความพร้อมของบุคคล เป็นการพัฒนาให้รู้จักสังเกตความพร้อมของผู้เรียนทั้งปัจจัยภายใน คือ ความเชื่อมั่น ขยัน สนใจ ตั้งใจ และตื่นตัว และปัจจัยภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่พร้อมทำงานเต็มที่ จากการบูรณาการทั้ง ๔ ด้านนี้ย่อมสร้างความสมดุล ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทั้งด้านศาสตร์ คือ ความรู้ในหลักวิชาและหลักปฏิบัติ (มัชเฌนธรรมและมัชฌิมาปฏิปทา) ด้านศิลป์ คือ ความรู้สึกและความประพฤติที่งดงาม (สันติธรรมและสุนทรียธรรม)
ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง การสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการสอน ๒) เพื่อศึกษานวังคสัตถุศาสน์ ๓) เพื่อบูรณาการ การสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ ๔) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับ “รูปแบบการสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร (Documentary Qualitative Research) ศึกษาจากเอกสารชั้นปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎกและอรรถกถา และเอกสารชั้นทุติยภูมิอื่น ๆ มีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้งด้านการสอนและด้านพระพุทธศาสนา จำนวน ๑๗ รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสอนทางการศึกษาในโลกโดยมากใช้รูปแบบอนุกรมวิธานของบลูม (Bloom’s Taxonomy) เป็นฐานจิตวิทยาการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน ๓ ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสามารถทางปัญญา ๖ ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ด้านจิตพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทางใจ ๕ ระดับ ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างค่านิยม การจัดรวบรวม และการสร้างลักษณะนิสัย ด้านทักษะพิสัย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ ๕ ระดับ ได้แก่ การเลียนแบบ การทำตามข้อกำหนด การทำอย่างมีคุณภาพ การผสมผสาน และการปรับตัว ปัจจุบันได้มีปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนมาเป็นทักษะการเรียนในศตวรรษที่ ๒๑ มุ่งพัฒนาทักษะผู้เรียน ๕ ด้าน คือ การรู้หนังสือ การคิด การทำงาน การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ และการใช้ชีวิต เนื้อหาทางการศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาทั้งระบบ เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ เป็นลักษณะการเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง ๙ ประการ คือ สุตตะ (บรรยาย) เคยยะ (ท่วงทำนอง) เวยยากรณะ (แจกแจง) คาถา (กวี) อุทานะ (เปล่งออกมาจากความรู้สึก) อิติวุตตกะ (อ้างอิง) ชาตกะ (อดีตชาติ) อัพภูตธรรมะ (อัศจรรย์) และเวทัลละ (ถามตอบ) แต่ละลักษณะมุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจรูปแบบ เนื้อหา ถ้อยคำการสื่อสาร และความพร้อมของผู้เรียนที่เกี่ยวกับบุคคล เวลา และสถานที่ การสอน ในพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้เรียนได้เข้าใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน การบูรณาการการสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ สามารถบูรณาการใน ๔ มิติ คือ ๑) โครงสร้างองค์รวม เป็นการเรียนรู้คำสอนเชิงโครงสร้างแบบบรรยาย บรรยายประกอบกวี และบทกวี เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะทั้งการบรรยายและกวี ๒) สารัตถธรรม เป็นการเรียนรู้เนื้อหาคำสอน ที่มุ่งให้ผู้เรียนเกื้อกูลกันในสังคม รักษากฎเกณฑ์ทางสังคม ฝึกฝนอบรมจิตใจให้เข้มแข็งและรอบรู้ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ๓) นิรุกติศาสตร์ เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะทางภาษาและ การสื่อสาร รู้จักวิธีตีความคำสอนให้เป็นไปตามนัยที่พระพุทธเจ้ามุ่งหมายและเป็นการใช้ภาษา ให้เหมาะกับบุคคลและกาลเทศะ ๔) ความพร้อมของบุคคล เป็นการพัฒนาให้รู้จักสังเกตความพร้อมของผู้เรียนทั้งปัจจัยภายใน คือ ความเชื่อมั่น ขยัน สนใจ ตั้งใจ และตื่นตัว และปัจจัยภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่พร้อมทำงานเต็มที่ จากการบูรณาการทั้ง ๔ ด้านนี้ย่อมสร้างความสมดุล ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทั้งด้านศาสตร์ คือ ความรู้ในหลักวิชาและหลักปฏิบัติ (มัชเฌนธรรมและมัชฌิมาปฏิปทา) ด้านศิลป์ คือ ความรู้สึกและความประพฤติที่งดงาม (สันติธรรมและสุนทรียธรรม)
ทั้งนี้ต้องอาศัยรูปแบบทางนวัตกรรมทางการศึกษาและการรวมลงสู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้เกิดทักษะทางปัญญารู้ทันและรู้แก้ปัญหาในชีวิต จากการสังเคราะห์ผลวิจัยจึงได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับรูปแบบบูรณาการการสอนพระพุทธศาสนาตามแนวนวังคสัตถุศาสน์ คือ การเรียนการสอนพระพุทธศาสนาที่สร้างทักษะทางศาสตร์และศิลป์ อาศัยนวัตกรรมและการปล่อยวางเพื่อความสุขในชีวิต เรียกว่า SAINP Model
The objectives of the dissertation entitled “Buddhist Teaching Methods according to Navangasatthussana” were as follows: 1) to study the concept and theory of teaching, 2) to study Navangasatthussana, 3) to integrate the teaching methods according to Navangasatthussana, and 4) to propose a guideline in building the new body of knowledge regarding the model of integrating the Buddhist teaching method according to Navangasatthussana”. The research employed the documentary qualitative methodology collecting data from the primary source, Tipitaka and Commentaries, other related secondary sources, and in-depth interviews with 17 key-informants in teaching and in Buddhism. The research results found that: Bloom’s Taxonomy model was used in most teaching methods as a learning psychological base with the focus on the development of learners’ three domains; cognitive domain to develop learners’ intellectual abilities in six skills including knowledge, understanding, implementation, analysis, synthesis and evaluation, affective domain to develop learners’ mental abilities in five skills including perception, response, creating values, organizing and creating character traits, and psychomotor domain to develop learners’ skills in five levels including imitation, following the requirements, quality doing, integration and adjustment. Nowadays the teaching model has been changed to learning skills in the 21st century with the aim to develop learners’skills in five areas: literacy, thinking, working, information technology, and living. Navangasatthussana is a characteristic of learning the Buddha’s teachings in nine aspects; Sutta (descriptive), Geyya (melody), Veyykarana (enumerating), Gth (poem), Udna (proclaiming by deep feeling), Itivuttaka (reference), Jtaka (previous birth), Abbhtadhamma (miracle), and Vedalla (question and answer). Each characteristic aims at understanding the form, content, words, communication, and readiness of the learners regarding person, time and place. Buddhist teaching focuses on learners’ understanding and internal change. Integration of Buddhist teaching in accordance with Navangasatthussana could be done in four dimensions; 1) the holistic structure, learning in the descriptive, descriptive and poetry, and the poetry structure in order to improve learners’ skills in both description and poetry, 2) the essence of Dhamma, learning the Buddhist contents for helping each other in society, preserving social rules, training mind to control defilements, and being aware of events occurring around, 3)hermeneutics, to develop learners with skills in languages and communication, interpreting the Buddha’s teachings correctly, and using language suitable to person, space and time, and 4) the readiness of the person, developing and observing the readiness of the learners in both internal factors; confidence, diligence, interest, intention and alertness, and external factors; eyes, ears, nose, tongue, and body. The integration of the four aspects will create a balance in the development of learners’ ability in both science or knowledge in both principles and practices (Majjhenadhamma and Majjhimpatipadh), and arts or good feeling and good behaviors (Santidhamma and Sundhariyadhamma). Both sides need to gain encouragement from an education innovation and non-attachment in order to accomplish the wisdom and solution of life problems. The new body of knowledge about Buddhist teaching methods according to Navangasatthussana synthesized from the study is to learn and teach Buddhism for creating skills in arts and science through educational innovation and non-attachment for happiness in life, and that can be concluded into a SAINP Model.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2532
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2532
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2542
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2542
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษา ความหลงในพระพุทธศาสนา 3) เพื่อวิเคราะห์การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา พบว่าความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดแก่ผู้ใดย่อมนำความทุกข์สู่ชีวิตทั้งปัจจุบัน ถึงอนาคต หากไม่สามารถแก้ไขมิจฉาทิฏฐิอันนำไปสู่ความเห็นอันดิ่งลงยากจะถอนออกที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ หลักธรรมที่ใช้สลัดมิจฉาทิฏฐิ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หรือความเห็นที่ถูก สัมมาทิฏฐิจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย 2 อย่าง คือ 1) ปรโตโฆสะหรือกัลยาณมิตร การได้ฟังสิ่งที่ดีงามจากบุคคลอื่น และ 2) โยนิโสมนสิการ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างมีระบบ, ต้องฝึกตนเองด้วยสมาธิ โดยมีสติเป็นผู้ควบคุมทำให้เกิดปัญญา และสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นย่อมสลัดมิจฉาทิฏฐิได้ ความหลงในพระพุทธศาสนา พบว่าความหลง(โมหะ)เป็นหนึ่งในอกุศลมูล ถือว่าเป็นอกุศลมูลตัวสำคัญที่หนุนนำให้อกุศลมูลตัวอื่นเกิดขึ้น ความหลง (โมหะ) มีความหมายหยาบกว่า อวิชชาความไม่รู้ในอริยะสัจ ความหลง จะกำจัดยากเพราะความหลงเป็นอาการจิตที่มืดบอดการกระทำใด ๆ อย่างไร้สติอันตรายมีโทษมาก และคลายช้า โทษที่เกิดในภพหน้าของมนุษย์ที่มีความหลง (โมหะ) ย่อมไปสู่ภพสัตว์เดรัจฉาน ความเห็นผิดหรือความเห็นที่วิปริต วิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ย่อมมีความหลงเป็นตัวหนุนนำจึงเกิดความเห็นผิด ทำให้เห็นว่าความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) มีความหมายที่หยาบกว่า ความหลง (โมหะ) การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานของความเห็นผิด พบว่าสามารถแก้ใขได้ด้วยหลักปัญญา 3 ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระบบดังนี้ 1.ระบบการศึกษา (สุตมยปัญญา) 2.ระบบการใช้หลักเหตุผล (จินตามยปัญญา) 3.ระบบการพิสูจน์ตรวจสอบ (ภาวนามยปัญญา) 4.ระบบควบคุม (สติ,สัมปชัญญะ,อัปมาทะ) เป็นต้น
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษา ความหลงในพระพุทธศาสนา 3) เพื่อวิเคราะห์การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา พบว่าความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดแก่ผู้ใดย่อมนำความทุกข์สู่ชีวิตทั้งปัจจุบัน ถึงอนาคต หากไม่สามารถแก้ไขมิจฉาทิฏฐิอันนำไปสู่ความเห็นอันดิ่งลงยากจะถอนออกที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ หลักธรรมที่ใช้สลัดมิจฉาทิฏฐิ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หรือความเห็นที่ถูก สัมมาทิฏฐิจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย 2 อย่าง คือ 1) ปรโตโฆสะหรือกัลยาณมิตร การได้ฟังสิ่งที่ดีงามจากบุคคลอื่น และ 2) โยนิโสมนสิการ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างมีระบบ, ต้องฝึกตนเองด้วยสมาธิ โดยมีสติเป็นผู้ควบคุมทำให้เกิดปัญญา และสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นย่อมสลัดมิจฉาทิฏฐิได้ ความหลงในพระพุทธศาสนา พบว่าความหลง(โมหะ)เป็นหนึ่งในอกุศลมูล ถือว่าเป็นอกุศลมูลตัวสำคัญที่หนุนนำให้อกุศลมูลตัวอื่นเกิดขึ้น ความหลง (โมหะ) มีความหมายหยาบกว่า อวิชชาความไม่รู้ในอริยะสัจ ความหลง จะกำจัดยากเพราะความหลงเป็นอาการจิตที่มืดบอดการกระทำใด ๆ อย่างไร้สติอันตรายมีโทษมาก และคลายช้า โทษที่เกิดในภพหน้าของมนุษย์ที่มีความหลง (โมหะ) ย่อมไปสู่ภพสัตว์เดรัจฉาน ความเห็นผิดหรือความเห็นที่วิปริต วิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ย่อมมีความหลงเป็นตัวหนุนนำจึงเกิดความเห็นผิด ทำให้เห็นว่าความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) มีความหมายที่หยาบกว่า ความหลง (โมหะ) การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานของความเห็นผิด พบว่าสามารถแก้ใขได้ด้วยหลักปัญญา 3 ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระบบดังนี้ 1.ระบบการศึกษา (สุตมยปัญญา) 2.ระบบการใช้หลักเหตุผล (จินตามยปัญญา) 3.ระบบการพิสูจน์ตรวจสอบ (ภาวนามยปัญญา) 4.ระบบควบคุม (สติ,สัมปชัญญะ,อัปมาทะ) เป็นต้น
The objectives of this thesis are: 1) to study wrong views in Buddhism, 2) to study delusion in Buddhism, and 3) to analyze the correction of delusion as the foundation of wrong views in Buddhism. The data of this documentary qualitative study were collected from Buddhist scriptures, relevant texts and research papers. The results of the research were found that: In Buddhism, when the wrong view occurs to anyone, it will bring suffering to his life from now on and into the future. If the wrong view cannot be corrected, it will go so deep that it cannot be withdrawn and it is called Niyata Micchaditthi or permanent wrong view. This kind of wrong view is the root of the round of existences. The wrong view can be withdrawn by the principle of right view which occurs from 2 factors; 1) Paratoghosa or hearing and learning from others, and 2) Yonisomanasikara or systematic attention and analytical reflection. In Buddhism, delusion or Moha is one of unwholesome roots. Delusion is the main unwholesome causing other unwholesome to occur. Delusion has a more coarse meaning than ignorance. Delusion is difficult to get rid of because it is a blind mind. The results of any actions occurred from delusion can send the doers to the realm of the brute creation. The meaning of wrong view or Micchaditthi is shallower or rougher than the meaning of delusion or Moha because the wrong view is supported by delusion. The correction of delusions as the foundation of wrong views can be done by the 3 principles of wisdom divided into 4 systems; 1) Learning system or Sutamaya Panna, 2) Reasoning system or Cintamaya Panna, 3) Verifying system or Bhavanamaya Panna, and 4) Controlling system by mindfulness, clear comprehension and non-negligence.
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
ฉบับอัตสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
Note: ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์ (ศน.ด) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2550
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการเรียนรู้พระพุทธศาสนากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551, 2. เพื่อศึกษาสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามทัศนะของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2, และ 3. เพื่อวิเคราะห์สาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามทัศนะของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2, การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และคุณภาพซึ้งเน้นการวิจัยทางเอกสารโดยศึกษาจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐและจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยปรากฏว่า ความหมายและความสำคัญของหลักสูตรมีความสำคัญมากต่อการเรียนการสอนความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ทำให้ทราบความสำคัญและความจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจ และฝึกการใช้ให้ชำนาญตามหลักการของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการศึกษาพุทธวิธีการสอนตามแนวทางในพระไตรปิฎกนั้น สามารถนำไปเป็นความรู้และแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์ทัศนะของครูผู้สอน เกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 2 เพื่อที่จะเป็นข้อสารสนเทศนำไปปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ทำให้บุคคลเกิดการพัฒนาทุกด้าน คือ ทำให้เกิดความเจริญความดีงามและความถูกต้อง หรืออาจเรียกได้ว่ามีความเจริญงอกงามในด้านความคิด ความรู้ ความชำนาญ อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีการพัฒนาทุกด้าน คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่มีโรค และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ เมื่อมนุษย์ได้รับการพัฒนา ย่อมส่งผลถึงการพัฒนาสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล สรุปผลการเปรียบเทียบทัศนะคติของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ด้านความเหมาะสมของหลักสูตร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง, ด้านความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง, และด้านแนวโน้มพฤติกรรมการนำไปสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทัศนะคติของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนเพศชายกับครูผู้สอนเพศหญิง โดยส่วนรวมและรายด้านทุก ๆ ด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนเพศชายมีทัศนะคติถูกต้องน้อยกว่าครูผู้สอนเพศหญิง ทัศนะของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนที่มีสถานภาพโสดกับครูผู้สอนที่มีสถานภาพสมรส โดยส่วนรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนที่มีสถานภาพโสดมีทัศนะคติน้อยกว่าครูผู้สอนที่มีสถานภาพสมรส, ทัศนะของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี กับครูผู้สอนที่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป โดยส่วนรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี มีทัศนะคติน้อยกว่าครูผู้สอนที่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการเรียนรู้พระพุทธศาสนากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551, 2. เพื่อศึกษาสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามทัศนะของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2, และ 3. เพื่อวิเคราะห์สาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามทัศนะของครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2, การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และคุณภาพซึ้งเน้นการวิจัยทางเอกสารโดยศึกษาจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐและจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยปรากฏว่า ความหมายและความสำคัญของหลักสูตรมีความสำคัญมากต่อการเรียนการสอนความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ทำให้ทราบความสำคัญและความจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจ และฝึกการใช้ให้ชำนาญตามหลักการของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการศึกษาพุทธวิธีการสอนตามแนวทางในพระไตรปิฎกนั้น สามารถนำไปเป็นความรู้และแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์ทัศนะของครูผู้สอน เกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 2 เพื่อที่จะเป็นข้อสารสนเทศนำไปปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ทำให้บุคคลเกิดการพัฒนาทุกด้าน คือ ทำให้เกิดความเจริญความดีงามและความถูกต้อง หรืออาจเรียกได้ว่ามีความเจริญงอกงามในด้านความคิด ความรู้ ความชำนาญ อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีการพัฒนาทุกด้าน คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่มีโรค และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ เมื่อมนุษย์ได้รับการพัฒนา ย่อมส่งผลถึงการพัฒนาสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล สรุปผลการเปรียบเทียบทัศนะคติของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ด้านความเหมาะสมของหลักสูตร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง, ด้านความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง, และด้านแนวโน้มพฤติกรรมการนำไปสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทัศนะคติของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนเพศชายกับครูผู้สอนเพศหญิง โดยส่วนรวมและรายด้านทุก ๆ ด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนเพศชายมีทัศนะคติถูกต้องน้อยกว่าครูผู้สอนเพศหญิง ทัศนะของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนที่มีสถานภาพโสดกับครูผู้สอนที่มีสถานภาพสมรส โดยส่วนรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนที่มีสถานภาพโสดมีทัศนะคติน้อยกว่าครูผู้สอนที่มีสถานภาพสมรส, ทัศนะของครูผู้สอนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระหว่างครูผู้สอนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี กับครูผู้สอนที่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป โดยส่วนรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้สอนที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี มีทัศนะคติน้อยกว่าครูผู้สอนที่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป
This research has the following objectives: 1. To study the learning Buddhism. Learning social studies Religion and Culture According to the Core Curriculum for Basic Education Curriculum 2551 2. To study the perceptions of teachers learning Buddhism. Learning social studies 3. religions and cultures and to compare perceptions of teacher learning Buddhism. Learning social studies Religion and Culture Primary Educational Service Area Office 2 Sarakham district. This research is a qualitative and quantitative research which focuses on research papers the study of the Holy tipitaka of siam’s Scriptures Siamrath. the documents and related research results appear. The meaning and importance of the course. about Buddhism and learning of Buddhism. learning social studies Religion and Culture Curriculum for Basic Education Act of 2551 makes note of importance. And the need that we have to learn to understand and practice the principles of Buddhism practiced by the Buddhist teaching. According to the Holy Scriptures Able to educate and guide the study analyzes perceptions of teachers about learning Buddhism. In elementary schools in the office area, elementary District 2 University to become an information technology to improve educational programs makes the development of all aspects. Is causing a boom and decency, accuracy or could be called a growth in terms of knowledge, expertise emotions of human beings as a perfect man. The development of all aspects of the body healthy. No disease and can perform quality. When a human being developed will result in the development of society, both nationally and internationally. Results comparing the attitudes of teachers about learning Buddhism and the appropriateness of the course. Overall is moderate Emotional and psychological changes. Overall, the outlook is moderate and its teaching behavior. Overall at a low level Attitudes of teachers about learning Buddhism between male teachers and female teachers as a whole and individual aspects. Different aspects statistically significant at the .05 level. The teachers are male attitude was more female teachers, teachers' attitudes about learning Buddhism. The teachers who are single. The teachers were married by the collective and individual aspects of each. The difference was statistically significant at the .05 level. The teacher attitude, single, married, older teachers, teachers' attitudes about learning Buddhism. Teachers aged between 20-40 years with a teacher aged 41 years and over as a whole and all its aspects. The difference was statistically significant at the.05 level. The teachers are aged between 20-40 years, with attitudes than teachers older 41 years and over.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัย, 2555
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามงกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศษ.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศษ.ม) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)พุทธศาสนาและปรัชญา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัตสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสนาและปรัชญา-มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การจัดการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) การจัดการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์(ศน.ด) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
ฉบับอัดสำเนา, ดุษฎีนิพนธ์(ศน.ด) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2539
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2539
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2552
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม.) สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์(ศน.ม)พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัตสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2549
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2549
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556