Search results

34 results in 0.22s

หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเจริญอภิณหปัจจเวกขณ์ในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อเสริมสร้างการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ 3) เพื่อบูรณาการการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “บูรณาการการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์” ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป/คน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาและนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ธรรมที่ควรพิจารณาเนือง ๆ เพื่อให้จิตยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตทุกคน เพื่อให้ใจเกิดความคุ้นเคย เกิดสติปัญญา เห็นเข้าใจ และยอมรับความเป็นจริงของชีวิต จนนำไปสู่การปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งพิจารณาได้มากหรือบ่อยเท่าใด จิตก็ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่านั้น เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตแล้ว จะดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท การเสริมสร้างสติด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ โดยการพิจารณาเรื่องธรรมดา 5 ด้าน คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักและการมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นยอมรับและกล้าเผชิญสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต พิจารณาจนเกิดเป็นสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ เป็นการสร้างสติอีกรูปแบบหนึ่ง สติที่ได้จากการพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์จะส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความสุขุมเยือกเย็น มีจิตมั่นคง มีจิตใจสงบ ดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทั้งยังก่อให้เกิดคุณค่าต่อตนเอง ต่อสังคมและพระพุทธศาสนา การบูรณาการการเจริญสติด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ โดยพิจารณาว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นและเรามีกรรมเป็นของตน เราต้องได้รับผลของกรรมนั้น โดยใช้สติปัญญาพิจารณา เกิดการเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดความไม่ประมาท รูปแบบบูรณาการการเสริมสร้างสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ ทำให้ดำเนินชีวิตอยู่ โดยอาศัยสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางจนเข้าถึงความจริงของชีวิต เกิดปัญญานำพาชีวิตให้มีความสุขจากการเข้าใจถึงหลักธรรมชาติ โดยสรุปเป็นองค์ความรู้คือ NSKTA MODEL
ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการเจริญอภิณหปัจจเวกขณ์ในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อเสริมสร้างการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ 3) เพื่อบูรณาการการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “บูรณาการการเจริญสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์” ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป/คน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาและนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ธรรมที่ควรพิจารณาเนือง ๆ เพื่อให้จิตยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตทุกคน เพื่อให้ใจเกิดความคุ้นเคย เกิดสติปัญญา เห็นเข้าใจ และยอมรับความเป็นจริงของชีวิต จนนำไปสู่การปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งพิจารณาได้มากหรือบ่อยเท่าใด จิตก็ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่านั้น เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตแล้ว จะดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท การเสริมสร้างสติด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ โดยการพิจารณาเรื่องธรรมดา 5 ด้าน คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักและการมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นยอมรับและกล้าเผชิญสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต พิจารณาจนเกิดเป็นสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ เป็นการสร้างสติอีกรูปแบบหนึ่ง สติที่ได้จากการพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์จะส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความสุขุมเยือกเย็น มีจิตมั่นคง มีจิตใจสงบ ดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทั้งยังก่อให้เกิดคุณค่าต่อตนเอง ต่อสังคมและพระพุทธศาสนา การบูรณาการการเจริญสติด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ โดยพิจารณาว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นและเรามีกรรมเป็นของตน เราต้องได้รับผลของกรรมนั้น โดยใช้สติปัญญาพิจารณา เกิดการเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดความไม่ประมาท รูปแบบบูรณาการการเสริมสร้างสติพิจารณาด้วยอภิณหปัจจเวกขณ์ ทำให้ดำเนินชีวิตอยู่ โดยอาศัยสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางจนเข้าถึงความจริงของชีวิต เกิดปัญญานำพาชีวิตให้มีความสุขจากการเข้าใจถึงหลักธรรมชาติ โดยสรุปเป็นองค์ความรู้คือ NSKTA MODEL
The objectives of this dissertation are: 1) to study the contemplation of Abhinhapaccavekkhana in Buddhism, 2) to strengthen mindfulness by contemplation of Abhinhapaccavekkhana, 3) to integrate the mindfulness strengthening by contemplation of Abhinha-paccavekkhana, and 4) to propose a model of a body of knowledge on “Integration of mindfulness strengthening by contemplation of Abhinhapaccavekkhana”. The data of this qualitative research were collected from the Tipitaka, documents, research works concerned and in-depth interviews with 12 experts. The data were analyzed by content analysis. The results of the study were found that: Abhinhapaccavekkhana is ideas or facts which should be contemplated again and again in order to accept the facts of life that can occur to everyone. When the mind is accustomed to those facts, the one will understand life and accept the truth so that they can reach detachment in life. The more a person contemplates Abhinhapaccavekkhana, the more he can have detachment. When the ones understand the facts of life, they will live a life with earnestness. To strengthen mindfulness by contemplation of Abhinhapaccavekkhana is to contemplate 5 facts; old age, sickness, death, separation from the beloved, and owning of one’s deed. When the ones realize the truth and accept it, they will dare to confront with whatever happens in their life. When it is practiced regularly and completely, it is a way to create mindfulness. The mindfulness obtained from contemplation of Abhinhapaccavekkhana can result to calmness, firmness, and peacefulness of mind. The ones having these mental qualities will live a life with carefulness and create values to themselves, Buddhism and society. The integration of mindfulness strengthening by contemplation of Abhinhapaccavekkhana is to contemplate that we are subject to decay and we cannot escape it; we are subject to disease and we cannot escape it; we are subject to death and we cannot escape it; there will be separation from all that are dear to us and beloved; and we are owners of our deed, whatever deed we do, we shall become heir to it. The comparison of results and impacts of the deed by contemplation with mindfulness and wisdom will lead to understanding and carelessness. The NSKTA MODEL is the model of Integration of mindfulness strengthening by contemplation of Abhinhapaccavekkhana that can lead to the truth of life based on mindfulness and wisdom and happiness in life based on understanding in the natural law.
หนังสือ

    การศึกษาดุษฎีนิพนธ์เรื่อง สุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3) เพื่อบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม 4) เพื่อเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบการบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม” ดุษฎีนิพนธ์นี้ได้ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูล เนื้อหาจากหนังสือ ตำรา บทความวิจัย หลักพุทธธรรมจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์ในด้านสุนทรียภาพ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และพุทธศาสนา จำนวน 10 รูป/คน และสำรวจพื้นที่ 114 ห้องพักอาศัยจาก 5 โครงการ หลังจากนั้นนำมาถอดรหัสและบูรณาการสู่รูปแบบสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ผลการวิจัยพบว่า 1) สุนทรียภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความดี และความงามของสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธก่อให้เกิดความสมดุลบนทางสายกลาง นำมาซึ่งความสงบ ร่มเย็นทางร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ สร้างความสมดุลระหว่างศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติ อันก่อให้เกิดความเป็นอยู่ของสภาพแวดล้อมภายในได้อย่างมีคุณภาพภายใต้บริบทของความเรียบง่าย ประยุกต์ ประโยชน์ และประหยัด 2) หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำมาซึ่งแนวทางการจัดพื้นที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย สัดส่วนแห่งความพองาม ผังพื้นแห่งความพอเพียง และโซนแห่งความพอดี รวมถึงการจัดวางเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย ที่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ งดงาม คุณค่า สารัตถะ 3) การบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม นำมาสู่การสร้างคุณภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยภายใต้องค์ประกอบของ พื้นที่ว่าง แสงธรรมชาติ บรรยากาศ และผิวสัมผัส (SLAT) ดังปรากฏอยู่ใน ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องเตรียมอาหาร และห้องน้ำ (SLPT) 4) สามารถสังเคราะห์องค์ความรู้ได้เป็นความเรียบง่าย ประยุกต์ ประโยชน์ ประหยัดที่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ งดงาม คุณค่า สารัตถะ และมีความหมายดังสมการ SAFE & SAVE ภายใต้โมเดลสุนทรียภาพสมดุล โดยองค์ความรู้ที่ได้รับจากผลการวิจัย สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการสร้างสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดคุณภาพการอยู่อาศัยได้อย่างสมดุล เหมาะสมกับบริบทสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต
การศึกษาดุษฎีนิพนธ์เรื่อง สุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3) เพื่อบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม 4) เพื่อเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบการบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม” ดุษฎีนิพนธ์นี้ได้ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูล เนื้อหาจากหนังสือ ตำรา บทความวิจัย หลักพุทธธรรมจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์ในด้านสุนทรียภาพ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และพุทธศาสนา จำนวน 10 รูป/คน และสำรวจพื้นที่ 114 ห้องพักอาศัยจาก 5 โครงการ หลังจากนั้นนำมาถอดรหัสและบูรณาการสู่รูปแบบสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัย ผลการวิจัยพบว่า 1) สุนทรียภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความดี และความงามของสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธก่อให้เกิดความสมดุลบนทางสายกลาง นำมาซึ่งความสงบ ร่มเย็นทางร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ สร้างความสมดุลระหว่างศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติ อันก่อให้เกิดความเป็นอยู่ของสภาพแวดล้อมภายในได้อย่างมีคุณภาพภายใต้บริบทของความเรียบง่าย ประยุกต์ ประโยชน์ และประหยัด 2) หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำมาซึ่งแนวทางการจัดพื้นที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย สัดส่วนแห่งความพองาม ผังพื้นแห่งความพอเพียง และโซนแห่งความพอดี รวมถึงการจัดวางเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย ที่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ งดงาม คุณค่า สารัตถะ 3) การบูรณาการสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยหลักพุทธธรรม นำมาสู่การสร้างคุณภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยภายใต้องค์ประกอบของ พื้นที่ว่าง แสงธรรมชาติ บรรยากาศ และผิวสัมผัส (SLAT) ดังปรากฏอยู่ใน ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องเตรียมอาหาร และห้องน้ำ (SLPT) 4) สามารถสังเคราะห์องค์ความรู้ได้เป็นความเรียบง่าย ประยุกต์ ประโยชน์ ประหยัดที่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ งดงาม คุณค่า สารัตถะ และมีความหมายดังสมการ SAFE & SAVE ภายใต้โมเดลสุนทรียภาพสมดุล โดยองค์ความรู้ที่ได้รับจากผลการวิจัย สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการสร้างสุนทรียภาพสภาพแวดล้อมภายในที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดคุณภาพการอยู่อาศัยได้อย่างสมดุล เหมาะสมกับบริบทสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต
The objectives of this research entitled “Aesthetic of Home Interior Environment according to Sufficiency Economy Philosophy in Buddhist Approach” were as follows: 1. To study the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy, 2. To study the principles of Buddhadhamma enhancing the Sufficiency Economy Philosophy, 3. To integrate the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy in Buddhist approach and 4. To propose guidelines in creating new knowledge regarding “the model of integrating the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy in Buddhist approach”. The data of this qualitative research were collected from books, text books, research articles, the Tipittaka, the Commentaries, and in-depth interviews with 10 experts in Aesthetic, Sufficiency Economy Philosophy and Buddhism and from site survey in 114 rooms from 5 projects. After that, the data were decoded and integrated into Interior environment. The results of the study indicated that: 1) The aesthetic base on the truth, virtue and beauty of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy in the balance of middle way leads to peacefulness in body, mind and soul. It also creates the balance between science, art and nature that cause the quality of living on simple, applicable, functional and economy basis (SAFE). 2) The Buddhist principles that enhance the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy lead to the principle of beauty proportion, moderate zoning and sufficient layout planning including furniture as much as necessary of living environment associate with spirit, aesthetic, value and essence (SAVE). 3) The integrating of Buddhist principles into the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy lead to the quality of space, light, atmosphere and texture (SLAT) in the area of sleeping, living, pantry and toilet (SLPT). 4) The new knowledge from the integrating of Buddhist principles into the aesthetic of home interior environment according to Sufficiency Economy Philosophy in Buddhist approach can be synchronized into simplicity, applicability, function and economy as in the SAFE & SAVE Model.. The results of this research can be applied into the aesthetic of home interior environment of living in different types suitable to the contexts of Thai society in now and then.
หนังสือ

    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอนาคตภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้า ใช้เทคนิคการวิจัยเชิงอนาคต (Ethnographic Delphi Futures Research) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า อนาคตภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้ามี 6 ด้าน มี 64 ตัวแปร มีแนวการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้าคือ 1) ด้านการวางแผนรับนักศึกษาและการผลิตบัณฑิต เป้าหมายจำนวนรับนักศึกษาการวางแผนรับนักศึกษาใหม่ต้องมีกลุ่มเป้าหมายหลากหลาย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้สนใจปฏิบัติธรรม โดยการจัดทำหลักสูตรระยะสั้น 2) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในระบบการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การปฏิบัติการจะคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ปรับรูปแบบกิจกรรมมุ่งสู่วิถีชีวิตแนวใหม่ 3) ด้านการประเมินผล ประเมิน ต้องมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจน สมเหตุสมผล เชื่อถือได้ มีความโปร่งใส และมีมาตรฐานเดียวกัน 4) ด้านการเรียนรู้ ที่เน้นการบูรณาการหลายศาสตร์ และประยุกต์พุทธธรรมกับศาสตร์สมัยใหม่ เน้นสาระเนื้อหาพระพุทธศาสนาที่สนองตอบและสามารถนำไปประยุกต์รับใช้สังคมมากขึ้น 5) ด้านการประกันคุณภาพการเรียนการสอน ส่งเสริม พัฒนาและประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพ เน้นการปฏิบัติงานวิจัย การให้บริการวิชาการ การจัดการเรียนการสอน ที่เป็นระบบผสมผสาน และ6) ด้านการพัฒนาปรับปรุงการบริหารวิชาการ การบริหารวิชาการมหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องมีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและสังคม
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอนาคตภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้า ใช้เทคนิคการวิจัยเชิงอนาคต (Ethnographic Delphi Futures Research) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า อนาคตภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้ามี 6 ด้าน มี 64 ตัวแปร มีแนวการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษหน้าคือ 1) ด้านการวางแผนรับนักศึกษาและการผลิตบัณฑิต เป้าหมายจำนวนรับนักศึกษาการวางแผนรับนักศึกษาใหม่ต้องมีกลุ่มเป้าหมายหลากหลาย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้สนใจปฏิบัติธรรม โดยการจัดทำหลักสูตรระยะสั้น 2) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในระบบการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การปฏิบัติการจะคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ปรับรูปแบบกิจกรรมมุ่งสู่วิถีชีวิตแนวใหม่ 3) ด้านการประเมินผล ประเมิน ต้องมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจน สมเหตุสมผล เชื่อถือได้ มีความโปร่งใส และมีมาตรฐานเดียวกัน 4) ด้านการเรียนรู้ ที่เน้นการบูรณาการหลายศาสตร์ และประยุกต์พุทธธรรมกับศาสตร์สมัยใหม่ เน้นสาระเนื้อหาพระพุทธศาสนาที่สนองตอบและสามารถนำไปประยุกต์รับใช้สังคมมากขึ้น 5) ด้านการประกันคุณภาพการเรียนการสอน ส่งเสริม พัฒนาและประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบประกันคุณภาพ เน้นการปฏิบัติงานวิจัย การให้บริการวิชาการ การจัดการเรียนการสอน ที่เป็นระบบผสมผสาน และ6) ด้านการพัฒนาปรับปรุงการบริหารวิชาการ การบริหารวิชาการมหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องมีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและสังคม
The purpose of this study was to study the future image of academic administration of Buddhist Universities in the next decade, using Ethnographic Delphi Futures Research. The used tools were questionnaires and in-depth interviews. The data were analyzed by using median, baseline, interquartile range, using packaged programs and content analysis. The results showed that: The future vision of academic administration of Buddhist universities in the next decade consisted of 6 aspects with 64 variables. There were guidelines for academic administration of Buddhist universities in the next decade, namely: 1) In terms of planning for student admissions and producing graduates, the target number of student admissions planning for new students should have a variety of target groups, such as the elderly, group of people interested in dharma practice by creating a short course; 2) In terms of teaching and learning activities, the non-formal education system, and informal education operations would mainly take into account the target audience, and adjust the activities to lead to a new way of life; 3) In terms of assessment, there should be clear, reasonable, reliable, transparent rules and procedures. and have the same standards; 4) In terms of learning, there would focus on the integration of multiple sciences and apply Buddhism to modern science, and emphasis on the content of Buddhism that is responsive and can be applied to serve society; 5) In terms of teaching and learning quality assurance, there should promote, develop and evaluate the operational efficiency of the quality assurance system, and emphasis on research practice academic service teaching management which was a mixed system; and 6) the development and improvement of academic administration academic administration of university disciplines required economic and social flexibility
หนังสือ

    การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน 2) สร้างรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน และ 3) ประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน ระดับประถมศึกษา จำนวน 56 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน 4 ฝ่าย คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน รวม 448 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถาม และแบบตรวจสอบรายการ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.92 เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า : 1. องค์ประกอบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน พบว่า ได้องค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ และ 66 ตัวแปร 2. รูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) พบว่า มี 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การบริหารงานโรงเรียน 2) กิจกรรมโรงเรียน 3) ไตรสิกขา 4) บรรยากาศโรงเรียน และ 5) การปฏิบัติตนของผู้บริหารโรงเรียน 3. การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน 2) สร้างรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน และ 3) ประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน ระดับประถมศึกษา จำนวน 56 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน 4 ฝ่าย คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน รวม 448 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถาม และแบบตรวจสอบรายการ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.92 เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า : 1. องค์ประกอบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน พบว่า ได้องค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ และ 66 ตัวแปร 2. รูปแบบการบริหารงานโรงเรียนประถมศึกษาตามแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) พบว่า มี 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การบริหารงานโรงเรียน 2) กิจกรรมโรงเรียน 3) ไตรสิกขา 4) บรรยากาศโรงเรียน และ 5) การปฏิบัติตนของผู้บริหารโรงเรียน 3. การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
The purposes of this research were as follows : 1) to study the components of the Elementary school administration model according to the concept of royal award buddhist oriented schools, 2) to create an elementary school administration model according to the concept of royal award buddhist oriented schools, and 3) to evaluate and affirm the elementary school administration model according to the concept of royal award buddhist oriented schools. The mixed research methodology was used in the study. The data were collected by questionnaires with reliability at 0.92, structural interviews and checklist forms from 448 samples consisting of school directors, heads of department, board of basic Education schools and the teachers responsible for the project in 56 royal award Buddhist oriented schools. The data were collected from January 2021 to February 202and then analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, exploratory factor analysis. 1. The components of the Elementary School Administration model according to the concept of royal award buddhist oriented schools consist of 5 components and 66 variables. 2. The elementary school administration model according to the concept of royal award buddhist oriented schools from exploratory factor analysis (EFA) has 5 main components; 1) School Administration, 2) School Activities, 3) Tri-Sikkha, 4) School Atmosphere, and 5) Behavior of School Administrators. 3. The evaluation and confirmation of the model from experts in its were at 100 % verification of acceptable range of accuracy, suitability, possibility, and practicality.
หนังสือ

    การศึกษาดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา” มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ 3) เพื่อบูรณาการหลักธรรมการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารวิชาการ หนังสือ งานวิจัยต่าง ๆ รวมถึงหลักธรรมจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา มีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการจัดทำเสวนากลุ่ม (Focus Group) จากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพระพุทธศาสนา ด้านสุขภาพจิตและจิตวิทยา ด้านสุขภาพจิตในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้านสังคมวิทยา และตัวแทนผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 17 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : 1) แนวคิดการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความนึกคิดและพฤติกรรม เพื่อจัดการต่อสิ่งเร้า เป็นการใช้กลวิธีที่มีจุดมุ่งหมาย และเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่องด้วยการใช้สติปัญญาในประเมิน การควบคุมอารมณ์ และปฏิกิริยาการตอบสนองด้านร่างกาย เพื่อลดความรุนแรงของปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุจะเป็นแบบมุ่งแก้ไขปัญหาและแบบมุ่งแก้ไขอารมณ์ ใช้ทักษะ 3 ขั้นตอน คือ 1) การสร้างทักษะการรับรู้การตอบสนองต่อความเครียดของตนเอง 2) การตรวจสอบความเครียดกับความเป็นจริง (การตั้งสติเพื่อการคิดใคร่ครวญ) 3) การหาวิธีจัดการความเครียดหรือแก้ไขปัญหา (การคิดพิจารณาหาสาเหตุ) เพื่อการสร้างสุขและสมดุลชีวิตของผู้สูงอายุ 2) หลักธรรมในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ จะเป็นหลักธรรมที่เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล โดยนำเอาหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เป็นหลักธรรมสำหรับการปรับตัวทั้งภายนอก (ร่างกาย) และภายใน (จิตใจ) ซึ่งหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ใช้ในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ ที่สอดคล้องกับหลักการข้างต้น ได้แก่ หลักไตรลักษณ์ หลักอริยสัจ หลักโยนิโสมนสิการและหลักสติปัฏฐาน เป็นหลักธรรมที่สร้างปัญญา มีสติรู้เท่าทัน และมีการจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม 3) การบูรณาการหลักธรรมการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา จะแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ ด้านพฤติกรรม และด้านปัจจัยแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วย การปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล การสื่อสาร การเรียนรู้ ด้านสัมพันธภาพของครอบครัว การสร้างเศรษฐกิจและสังคม และสภาพสิ่งแวดล้อม ผลการบูรณาการ พบว่า การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานีตามแนวพระพุทธศาสนา ใช้หลักการ คือ การยอมรับความจริง (เห็นชอบด้วยหลักไตรลักษณ์) การรับรู้สิ่งเร้าที่เกิดขึ้นด้วยความคิดที่สมเหตุสมผล (การรับรู้ด้วยหลักโยนิโสมนสิการ) กระบวนการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีระบบ แก้ปัญหาให้ตรงเหตุ (การตรวจสอบด้วยหลักอริยสัจ) และการปฏิบัติด้วยสติรู้เท่าทัน (การจัดการด้วยหลักสติปัฏฐาน) โดยมีกระบวนการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยหลักการทบทวน (Reskill) ปรับปรุง (Upskill) เปลี่ยนแปลง (New skill)
การศึกษาดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา” มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ 3) เพื่อบูรณาการหลักธรรมการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารวิชาการ หนังสือ งานวิจัยต่าง ๆ รวมถึงหลักธรรมจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา มีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการจัดทำเสวนากลุ่ม (Focus Group) จากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพระพุทธศาสนา ด้านสุขภาพจิตและจิตวิทยา ด้านสุขภาพจิตในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้านสังคมวิทยา และตัวแทนผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 17 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : 1) แนวคิดการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความนึกคิดและพฤติกรรม เพื่อจัดการต่อสิ่งเร้า เป็นการใช้กลวิธีที่มีจุดมุ่งหมาย และเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่องด้วยการใช้สติปัญญาในประเมิน การควบคุมอารมณ์ และปฏิกิริยาการตอบสนองด้านร่างกาย เพื่อลดความรุนแรงของปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุจะเป็นแบบมุ่งแก้ไขปัญหาและแบบมุ่งแก้ไขอารมณ์ ใช้ทักษะ 3 ขั้นตอน คือ 1) การสร้างทักษะการรับรู้การตอบสนองต่อความเครียดของตนเอง 2) การตรวจสอบความเครียดกับความเป็นจริง (การตั้งสติเพื่อการคิดใคร่ครวญ) 3) การหาวิธีจัดการความเครียดหรือแก้ไขปัญหา (การคิดพิจารณาหาสาเหตุ) เพื่อการสร้างสุขและสมดุลชีวิตของผู้สูงอายุ 2) หลักธรรมในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ จะเป็นหลักธรรมที่เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล โดยนำเอาหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เป็นหลักธรรมสำหรับการปรับตัวทั้งภายนอก (ร่างกาย) และภายใน (จิตใจ) ซึ่งหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ใช้ในการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุ ที่สอดคล้องกับหลักการข้างต้น ได้แก่ หลักไตรลักษณ์ หลักอริยสัจ หลักโยนิโสมนสิการและหลักสติปัฏฐาน เป็นหลักธรรมที่สร้างปัญญา มีสติรู้เท่าทัน และมีการจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม 3) การบูรณาการหลักธรรมการจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา จะแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ ด้านพฤติกรรม และด้านปัจจัยแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วย การปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล การสื่อสาร การเรียนรู้ ด้านสัมพันธภาพของครอบครัว การสร้างเศรษฐกิจและสังคม และสภาพสิ่งแวดล้อม ผลการบูรณาการ พบว่า การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานีตามแนวพระพุทธศาสนา ใช้หลักการ คือ การยอมรับความจริง (เห็นชอบด้วยหลักไตรลักษณ์) การรับรู้สิ่งเร้าที่เกิดขึ้นด้วยความคิดที่สมเหตุสมผล (การรับรู้ด้วยหลักโยนิโสมนสิการ) กระบวนการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีระบบ แก้ปัญหาให้ตรงเหตุ (การตรวจสอบด้วยหลักอริยสัจ) และการปฏิบัติด้วยสติรู้เท่าทัน (การจัดการด้วยหลักสติปัฏฐาน) โดยมีกระบวนการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยหลักการทบทวน (Reskill) ปรับปรุง (Upskill) เปลี่ยนแปลง (New skill)
เพื่อนำไปสู่การสร้างความสุขและสมดุลของชีวิต และมีวิถีการดำเนินชีวิตตามความเหมาะสมของวัยที่เรียกว่า สุขสมวัย 4) องค์ความรู้เกี่ยวกับ “การจัดการความเครียดของผู้สูงอายุในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแนวพระพุทธศาสนา” คือ “เห็นชอบ รับรู้ ตรวจสอบ จัดการ” ที่เรียกว่า “ARAM MODEL” คือ A = APPROVE, R = RECOGNIZE , A = ASSESSMENT, M = MANAGEMENT
Dissertation on “ Management on stress of the elderly in Surat Thani province base on Buddhism” The objectives of research were as follows : 1) To study the concept of stress management in the elderly 2) To study the Dhamma principles of stress management in the elderly 3) To integrate the ethical principles for managing stress among the elderly in Surat Thani province according to Buddhism 4) to present the body of knowledge about “Management on stress of the elderly in Surat Thani province base on Buddhism” This dissertation is qualitative research, research using analytical research methods, Synthesize content from academic documents, books, research works, including Dharma principles from the Tripitaka and commentaries. There were in-depth interviews and focus groups from experts in Buddhism, mental health and psychology mental health in the elderly group, sociology, and representatives of the elderly in Surat Thani province totally 17 persons. The results of the study indicated that : 1) The elderly stress management concept is an attempt to change thoughts and behaviors to manage stimuli. It is an objective strategy and a continuous process with the use of intelligence to assess. regulating emotions and physical responses to reduce the severity of stress-inducing factors.The stress management of the elderly is a problem-solving and emotional-correcting approach. It uses three skills: 1) Building self-awareness skills in response to stress (awareness, perception) 2) Stress Verification and Reality (mindfulness for contemplation) 3) Finding ways to manage stress or solve problems (Thinking about the cause) for the creation of happiness and life balance of the elderly. 2)The principle of stress management in the elderly is the principle of wisdom. which proceeds to solve problems according to the system of reason by taking advantage of the truth that exists in nature. It is the principle for both external (body) and internal (mental) adaptation. Which Buddhist principles used to manage stress of the elderly Consistent with the above principles, namely the Tilakkhana principle, the Four Noble Truths principles, the Yonisomanasika ̅ra principle and the Satipatthana principles. It is a principle that builds wisdom. Being aware and able to deal with problems appropriately. 3) Integration of Dharma Principles for Management on stress of the elderly in Surat Thani province base on Buddhism, It is divided into 2 issues: behavioral aspect and environmental factor aspect, which consists of personal behavior modification, communication, learning, family relationship building economy and society and environment. The results of the integration revealed that management on stress of the elderly in Surat Thani province base on Buddhism was based on the principle of accepting the truth. (consent with the Tilakkhana principle) Perceived stimuli that occur with rational thinking. (perceived by the principle of Yonisomanasika ̅ra principle) The process of dealing with problems that occur systematically. Solve the problem exactly (Examination with the Four Noble Truths principle) and practicing with awareness (Management with the principle of Satipatthana). There is a process of connection with each other through the principles of Reskill, Upskill and New skill to lead on happiness and balance of life and has a lifestyle that is appropriate for the age known as happiness. 4) The body of knowledge about “Management on Stress of the Elderly in Surat Thani Province Based on Buddhism” known as "ARAM MODEL" A = APPROVE, R = RECOGNIZE, A = ASSESSMENT, M = MANAGEMENT.
หนังสือ

หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จำนวน 92 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียน และครู จำนวน 368 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นมาตรวัดแบบประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.6-1.0 มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.33-0.89 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จากการวิเคราะห์ สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ได้ร่างองค์ประกอบ จำนวน 15 องค์ประกอบ และ 86 ตัวแปร 2. ผลพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) พบว่า องค์ประกอบที่มีค่าน้ำหนักมากที่สุด คือ (1) กระบวนการบริหารจัดการศึกษาเพื่อคุณภาพผู้เรียน (2) การส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน (3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และ (4) การควบคุมคุณภาพผู้เรียน มีค่าสถิติทางไค-สแควร์ = 2.466, dF = 4, P-value = .651, GFI = .999, AGFI = .973 และ RMSER = .000 แสดงได้ว่ารูปแบบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามเกณฑ์ที่กำหนด 3. ผลการประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ พบว่า ผลการประเมินและรับรองรูปแบบในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 (X ̅ = 4.62) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินและรับรองที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ คือ ต้องมีค่ามากกว่า 3.51 จึงสรุปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิรับรองรูปแบบที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จำนวน 92 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียน และครู จำนวน 368 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นมาตรวัดแบบประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.6-1.0 มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.33-0.89 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จากการวิเคราะห์ สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ได้ร่างองค์ประกอบ จำนวน 15 องค์ประกอบ และ 86 ตัวแปร 2. ผลพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพผู้เรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) พบว่า องค์ประกอบที่มีค่าน้ำหนักมากที่สุด คือ (1) กระบวนการบริหารจัดการศึกษาเพื่อคุณภาพผู้เรียน (2) การส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน (3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และ (4) การควบคุมคุณภาพผู้เรียน มีค่าสถิติทางไค-สแควร์ = 2.466, dF = 4, P-value = .651, GFI = .999, AGFI = .973 และ RMSER = .000 แสดงได้ว่ารูปแบบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามเกณฑ์ที่กำหนด 3. ผลการประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ พบว่า ผลการประเมินและรับรองรูปแบบในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 (X ̅ = 4.62) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินและรับรองที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ คือ ต้องมีค่ามากกว่า 3.51 จึงสรุปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิรับรองรูปแบบที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น
The purposes of this research were as follows : 1) to study the components of an Educational Management to Reinforce the Quality of Students for School Administrators Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok, 2) to create an of the An Educational Management Model to Reinforce the Quality of Students for School Administrators Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok, and 3) to evaluate and affirm the of An Educational Management Model to Reinforce the Quality of Students for School Administrators Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok. The mixed research methodology was used in the study. The research instruments were semi-structured interviews, questionnaires and confirmation or certification forms through 5-rating scale questionnaires by IOC; 0.6-1.0 discriminatory power equal to 0.33-0.89 with reliability at 0.986, The data were consisting of school directors, vice-directors, and teachers in 92 schools. The analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, and confirmatory factor analysis. The results of this research found that: 1. The components of an Educational Management to Reinforce the Quality of Students for School Administrators Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok, general education department consist of 15 components and 86 variables. 2. The an Educational Management Model to Reinforce the Quality of Students for School Administrators Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok, general education department from confirmatory factor analysis (CFA) indicated that the highest value was on (1) Student Quality Management Process (2) Promote the quality of learners (3) Quality Development of Learners and (4) Control the quality of learners. has a chi-square value = 2.466, DF = 4, P-value = .651, GFI = .999, AGFI = .973, and RMSER = .000. This result indicates that the model is consistent with the empirical data. 3. The evaluation and confirmation of the model from experts in its propriety, accuracy, feasibility, and utility is at 4.62 (X ̅ = 4.62), higher than the set criteria at  = 3.51. That means the model is approved.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียนด้วยการรวมพลังเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 : กรณีของโรงเรียนมัธยมตอนปลายสงฆ์ วัดมหาพุทธวงศาป่าหลวง นครหลวงเวียงจันทน์ โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีผู้ร่วมวิจัยด้วยความสมัครรใจ จำนวน 35 รูป/คน ดำเนินการ 2 ภาคเรียน ในปีการศึกษา 2562 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ (1) เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตามตัวบ่งชี้ที่กำหนดครู การจัดกิจกรรมการสอนของครู และคุณลักษณะที่เกิดขึ้นกับนักเรียน (2) เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติในตัวผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และครูทั้งโรงเรียน และ (3) เกิดองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในลักษณะเป็นทฤษฎีฐานรากในบริบทเฉพาะของโรงมัธยมตอนปลายสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏผลการวิจัยดังนี้ 1) ค่าเฉลี่ยแสดงระดับการปฏิบัติของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ระดับผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และระดับคุณลักษณะที่เกิดขึ้นกับนักเรียนที่ได้รับผลจากการดำเนินโครงการการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หลังการปฏิบัติวงจรที่ 1 และหลังวงจรที่ 2 สูงขึ้นจากก่อนการปฏิบัติ 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย มีการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประเด็น คือ ความตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการทำงาน การสะท้อนผลจากการปฏิบัติ และการทำงานเป็นทีมอย่างครบวงจร 3) องค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในงานวิจัยนี้ คือ ตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังให้เกิดขึ้น แนวคิดและกลยุทธ์ที่นำมาใช้เป็นพลังขับเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และการเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีรายละ เอียดของแต่ละประเด็นที่สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบเพื่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 หรือนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาตามแนวคิดใหม่ในด้านอื่น ๆ
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียนด้วยการรวมพลังเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 : กรณีของโรงเรียนมัธยมตอนปลายสงฆ์ วัดมหาพุทธวงศาป่าหลวง นครหลวงเวียงจันทน์ โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีผู้ร่วมวิจัยด้วยความสมัครรใจ จำนวน 35 รูป/คน ดำเนินการ 2 ภาคเรียน ในปีการศึกษา 2562 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ (1) เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตามตัวบ่งชี้ที่กำหนดครู การจัดกิจกรรมการสอนของครู และคุณลักษณะที่เกิดขึ้นกับนักเรียน (2) เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติในตัวผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และครูทั้งโรงเรียน และ (3) เกิดองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในลักษณะเป็นทฤษฎีฐานรากในบริบทเฉพาะของโรงมัธยมตอนปลายสงฆ์แห่งนี้ ปรากฏผลการวิจัยดังนี้ 1) ค่าเฉลี่ยแสดงระดับการปฏิบัติของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ระดับผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และระดับคุณลักษณะที่เกิดขึ้นกับนักเรียนที่ได้รับผลจากการดำเนินโครงการการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หลังการปฏิบัติวงจรที่ 1 และหลังวงจรที่ 2 สูงขึ้นจากก่อนการปฏิบัติ 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย มีการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประเด็น คือ ความตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการทำงาน การสะท้อนผลจากการปฏิบัติ และการทำงานเป็นทีมอย่างครบวงจร 3) องค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในงานวิจัยนี้ คือ ตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังให้เกิดขึ้น แนวคิดและกลยุทธ์ที่นำมาใช้เป็นพลังขับเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และการเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีรายละ เอียดของแต่ละประเด็นที่สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบเพื่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 หรือนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาตามแนวคิดใหม่ในด้านอื่น ๆ
This research aimed to improve the quality of students by joining forces A Development of 21st Century Learning Skills of Students in Wat Maha Buddha Vongsa Palouang Sangha Upper Secondary School, Vientiane Capital. by participative action research methodology. There were 35 voluntary participants, managed 2 semesters in the academic year 2019, by expecting results from 3 developments as follows: (1) There was a change for the better according to the indicators defined by the teachers, teaching activities of teachers and student characteristics; (2) learning from practice in the researcher, co-researcher, and school- teachers; and (3) knowledge gained from practice as the foundation theory in the specific context of the Sangha Upper Secondary School. The results of the research were as follows: 1) The mean showed the level of teachers' performance in developing the 21st century learning Skills, the level of results of teachers’ teaching activities in developing the 21st century learning Skills, and the level of characteristics occurring with students who received the results from an implementing the 21st century learning Skills development project after practicing the first circle and after the second circle were higher than before. 2) The researcher and co-researcher learned from many issues of the practice, namely; the awareness of the importance of participation in working, reflection from practicing and working as a comprehensive team 3) The knowledge gained from the practice of this research was an indicator of the expected outcome, the concepts, and strategies that were used to be the driving forces to make some changing, anti-changing, and overcoming the resistance to change which had details of each issue could be used as the model for developing the students' learning Skills in the 21st century, or applied to the development of new ideas in other parts.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังการเรียนรู้ของครู สู่การพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน” โดยระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วยแนวคิด พัฒนาครูให้มีความรู้แล้วกระตุ้นให้นำความรู้เหล่านั้นสู่การปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดพลัง ให้การปฏิบัติงานในหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน จากผลการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 10 รายและนักเรียน 60 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์การทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา ในโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คู่มือที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ ครูมีผลการทดสอบความรู้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ครูมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการทดสอบความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการประเมินทักษะการรู้ดิจิทัล หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่มือเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการนำไปปฏิบัติของครูประกอบโครงการในโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับประชากรที่เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทุกโรงทั่วประเทศ
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังการเรียนรู้ของครู สู่การพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลของนักเรียน” โดยระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วยแนวคิด พัฒนาครูให้มีความรู้แล้วกระตุ้นให้นำความรู้เหล่านั้นสู่การปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดพลัง ให้การปฏิบัติงานในหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน จากผลการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 10 รายและนักเรียน 60 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์การทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา ในโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คู่มือที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ ครูมีผลการทดสอบความรู้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ครูมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการทดสอบความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการประเมินทักษะการรู้ดิจิทัล หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่มือเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการนำไปปฏิบัติของครูประกอบโครงการในโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับประชากรที่เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทุกโรงทั่วประเทศ
This study aimed at employing Research and Development Methodology (R&D) to create an “Online Program to Empower Teacher Learning to Develop Students’ Digital Literacy Skills,” which was based on the notions that “Knowledge and Action are Power” and “Students are the Ultimate Goal of Any Educational Management.” The study consisted of projects focusing on Teacher learning development and a project, in which teachers could use learning outcomes to help the students to make progress. As a result of the R1 & D1 to R4 & D4 stages, six sets of teacher learning manuals and one workshop manual were created so that the instructors could apply learning outcomes to student development. The results were obtained from experimenting with manuals in the R5 & D5 stage with 10 teachers and 60 students using a one group pre-test/post-test design experimental research in schools that are representative of educational opportunity expansion schools under the Office of the Basic Education Commission. It was found that the developed manuals had been effective according to the research hypothesis : 1) the Teachers had test results of learning outcomes that had met the standard criteria of 90/90, 2) the Teachers’ post-test results had been significantly higher than the pre-test results, and 3) the students’ post-test results had been significantly higher than the pre-test results. These factors demonstrated that the manuals for learning and implementation for the teachers in the developed online program had been effective and could be disseminated across the country for the benefit of the population of educational opportunity expansion schools under the Office of the Basic Education Commission.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาโปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนรู้ของครูสู่ การพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศของนักเรียน โดยระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ด้วยแนวคิด “พัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้ ไปพัฒนานักเรียน” ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน จากผลการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 157 รายและนักเรียน 2,613 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์การทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา ในโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คู่มือที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ ครูมีผลการทดสอบความรู้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ครูมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการทดสอบความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการประเมินทักษะการรู้สารสนเทศหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่มือเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการนำไปปฏิบัติของครูประกอบโครงการในโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับประชากรที่เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทุกโรงทั่วประเทศ
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาโปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนรู้ของครูสู่ การพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศของนักเรียน โดยระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ด้วยแนวคิด “พัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้ ไปพัฒนานักเรียน” ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน จากผลการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 157 รายและนักเรียน 2,613 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์การทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา ในโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คู่มือที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ ครูมีผลการทดสอบความรู้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ครูมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการทดสอบความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากผลการประเมินทักษะการรู้สารสนเทศหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่มือเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการนำไปปฏิบัติของครูประกอบโครงการในโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับประชากรที่เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทุกโรงทั่วประเทศ
“Online Program to Enhance Teacher Learning to Develop Students' Information Literacy Skills” was an expected result from Research and Development implementation under the concept of “It begins with teacher learning development. Teachers then incorporate the learning outcomes into student development.” First, as a result of implementing the R1&D1 to R4&D4 process, six sets of Teacher Learning Manuals and one Teacher Workshop Manual for Implementing the Learning Outcomes in Student Development have been created. Then, in the R5&D5 phase, the manuals were tested with 157 teachers and 2,613 students using a one-group pretest-posttest experimental model in the school affiliated with the Office of the Basic Education Commission. The experiment results revealed that the teachers’ scores on the post-experimental test met the standard of 90/90, and the mean scores were statistically significantly higher than the pre-experimental test. Furthermore, the findings in implementing teacher’s learning outcomes in student development illustrated that their post-experimental mean score in the Information Literacy Skills assessment was statistically significantly higher than the pre-experimental score. Taken together, these findings confirmed that the developed online program was proven to be effective according to the established research hypotheses. Moreover, the study results also demonstrated that the developed online program could be distributed to schools under the Office of the Basic Education Commission.
หนังสือ

    การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะความร่วมมือของนักเรียน โดยผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ด้วยแนวคิด “พัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้ไปพัฒนานักเรียน” ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ 1) โครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ครูเกี่ยวกับทักษะความร่วมมือ และ 2) โครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การเสริมสร้างทักษะความร่วมมือ ให้กับนักเรียน โครงการแรกมีคู่มือเพื่อใช้พัฒนาครูด้วยหลักการเรียนรู้ด้วยตนเอง 6 ชุด คือ คู่มือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับนิยาม ความสำคัญ ลักษณะ แนวการพัฒนา ขั้นตอนการพัฒนา และการประเมินทักษะความร่วมมือ โครงการที่สองมีคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อเป็นแนวทางให้ครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน ผลการทดลองใช้โปรแกรมออนไลน์ ดังกล่าวในโรงเรียนปริยัติธรรมที่กำหนดเป็นพื้นที่ทดลอง พบว่า หลังการพัฒนาครูตามโครงการแรก ครูมีผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีผลการเรียนรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และหลังการพัฒนานักเรียนตามโครงการที่สอง นักเรียนมีผลการประเมินทักษะความร่วมมือ หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าโปรแกรมออนไลน์ ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาจากการวิจัยนี้มีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้กับโรงเรียนปริยัติธรรมแห่งอื่นได้
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะความร่วมมือของนักเรียน โดยผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ด้วยแนวคิด “พัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้ไปพัฒนานักเรียน” ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ 1) โครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ครูเกี่ยวกับทักษะความร่วมมือ และ 2) โครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การเสริมสร้างทักษะความร่วมมือ ให้กับนักเรียน โครงการแรกมีคู่มือเพื่อใช้พัฒนาครูด้วยหลักการเรียนรู้ด้วยตนเอง 6 ชุด คือ คู่มือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับนิยาม ความสำคัญ ลักษณะ แนวการพัฒนา ขั้นตอนการพัฒนา และการประเมินทักษะความร่วมมือ โครงการที่สองมีคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อเป็นแนวทางให้ครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน ผลการทดลองใช้โปรแกรมออนไลน์ ดังกล่าวในโรงเรียนปริยัติธรรมที่กำหนดเป็นพื้นที่ทดลอง พบว่า หลังการพัฒนาครูตามโครงการแรก ครูมีผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีผลการเรียนรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และหลังการพัฒนานักเรียนตามโครงการที่สอง นักเรียนมีผลการประเมินทักษะความร่วมมือ หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าโปรแกรมออนไลน์ ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาจากการวิจัยนี้มีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้กับโรงเรียนปริยัติธรรมแห่งอื่นได้
This research aims to develop and implement an online program to empower teachers’ knowledge in students’ collaborative skills development using Research and Development (R&D) methodology. It is based on the concept of “Develop teacher’s learning, and implement the outcomes into student development”. It consists of two projects as follows: 1) Collaborative skills learning for the teacher development project, and 2) Implementing teacher’s collaborative skills learning outcomes with a student project. The first project includes a set of six-manual for teacher development, including definition, importance, characteristics, development approaches, development steps, and evaluation of collaborative skills manuals. The second project comes with the workshop manual for implementing the teacher’s learning outcomes in student development. The online program was examined in a Pariyattidhamma School selected as a research site. The findings reveal that after completing the first teacher development project, the teachers had learning outcomes according to the standard of 90/90. In addition, learning outcomes after the development project were statistically significantly higher than attending the project. Moreover, after the second project, the students’ collaborative skills assessment results were statistically significantly higher than before. Therefore, the online program produced in this study is an educational innovation that is effective and should be beneficial for other Pariyattidhamma schools’ learning.
หนังสือ

    งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการ เรียนรู้แบบชี้นำตนเองของนักเรียน” ใช้แนวคิดที่ว่า “พัฒนาครู แล้วครูพัฒนานักเรียน” ตามแนวคิด “Knowledge + Action = Power” โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นโปรแกรมออนไลน์ที่ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาครู มีคู่มือเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองของครู 6 ชุด และ 2) โครงการครูพัฒนานักเรียน มีคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด จากผลการทดลองใช้โปรแกรมออนไลน์กับครู 25 รายและนักเรียน 146 รายในโรงเรียนที่สุ่มให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ คือ เมื่อนำไปทดลองใช้แล้วส่งผลให้ครูมีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักเรียนก็มีผลการประเมินทักษะการเรียนรู้แบบชี้นำตนเอง หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่เป็นประชากรเป้าหมายแห่งอื่นได้
งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการ เรียนรู้แบบชี้นำตนเองของนักเรียน” ใช้แนวคิดที่ว่า “พัฒนาครู แล้วครูพัฒนานักเรียน” ตามแนวคิด “Knowledge + Action = Power” โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นโปรแกรมออนไลน์ที่ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาครู มีคู่มือเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองของครู 6 ชุด และ 2) โครงการครูพัฒนานักเรียน มีคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด จากผลการทดลองใช้โปรแกรมออนไลน์กับครู 25 รายและนักเรียน 146 รายในโรงเรียนที่สุ่มให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ คือ เมื่อนำไปทดลองใช้แล้วส่งผลให้ครูมีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักเรียนก็มีผลการประเมินทักษะการเรียนรู้แบบชี้นำตนเอง หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่เป็นประชากรเป้าหมายแห่งอื่นได้
The objective of this study was to create an “Online Program to Enhance Teacher Learning to Develop Students’ Self-Directed Learning Skills” under the following concepts : “Develop the teacher so that they will develop their students”, “successful teachers, successful students”, and “Knowledge is not power; knowledge plus action equals power.” This study employed the Research and Development (R&D) methodology. The created online program included 1) Teachers’ learning development project with six guidelines, and 2) Teachers develop students project with one action guideline. The created online program was examined with 25 teachers and 146 students in the randomly selected school representing the Pariyattidhamma Schools in the general education section, under National Office of Buddhism. The results validated that the created online program was effective. The findings illustrated that the post-development test for teachers met the standard of 90/90 criteria, and the mean score was statistically significantly higher than before the development. In addition, the students’ mean score on self-directed learning skills assessment after the development was statistically significantly higher than before the development. This indicated that the created online program can be disseminated for educational use in other Pariyattidhamma schools with the similar target population.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) ที่คาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ ดังนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ที่คาดหวังและไม่คาดหวังจากการปฏิบัติ (2) การเรียนรู้จากการปฏิบัติในตัวผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา และ (3) องค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) จากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของ Department of Electronics, Nong Han Industrial and Community Education College ผลการวิจัย พบว่า 1) มีการเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวังที่ดีขึ้น ทั้งกรณีการนำแนวการพัฒนาที่ร่วมกันกำหนดไปสู่การปฏิบัติ และกรณีลักษณะของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่คาดหวังให้เกิดขึ้น 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาเกิดการเรียนรู้ร่วมกันถึงความตระหนักถึงความมีประสิทธิภาพจากการทำงานแบบร่วมกัน (Collaboration) ที่ทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพจากการทำงานแบบต่างคนต่างทำในอดีตที่ผ่านมา และ 3) เกิดองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังให้เกิดขึ้นกับพลังขับที่นำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และแนวทางเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) ที่คาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ ดังนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ที่คาดหวังและไม่คาดหวังจากการปฏิบัติ (2) การเรียนรู้จากการปฏิบัติในตัวผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา และ (3) องค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) จากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของ Department of Electronics, Nong Han Industrial and Community Education College ผลการวิจัย พบว่า 1) มีการเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวังที่ดีขึ้น ทั้งกรณีการนำแนวการพัฒนาที่ร่วมกันกำหนดไปสู่การปฏิบัติ และกรณีลักษณะของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่คาดหวังให้เกิดขึ้น 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาเกิดการเรียนรู้ร่วมกันถึงความตระหนักถึงความมีประสิทธิภาพจากการทำงานแบบร่วมกัน (Collaboration) ที่ทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพจากการทำงานแบบต่างคนต่างทำในอดีตที่ผ่านมา และ 3) เกิดองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังให้เกิดขึ้นกับพลังขับที่นำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และแนวทางเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
This research aims to develop a learning environment through Participatory Action Research (PAR) methodology in a specific context of the Department of Electronics, Nong Han Industrial and Community Education College. Three development outcomes are expected: (1) changes in expected and non-expected outcomes of action; (2) action-based learning in the researcher, co-researchers and educational institution and (3) knowledge from the grounded theory. The results are as the followings: 1) positive changes in both expected and unexpected outcomes consisting of the implementation of the co-defined development approaches and the nature of the expected learning environment, 2) researchers, co-researchers and educational institution learn together about the awareness of the efficiency of working together (collaboration) that makes all parties realize the inefficiency of working independently in the past, and 3) a body of knowledge gained from action describes the relationship between the expected changes, and the driving force and change resistance as well as ways to overcome the resistance.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อพัฒนาอาจารย์สู่การเสริมสร้างทักษะการปรับตัวของนักศึกษา” ที่ประกอบด้วยคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของอาจารย์ และคู่มือเพื่อเป็นแนวการปฏิบัติสำหรับอาจารย์พัฒนานักศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ซึ่งผลจากการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของอาจารย์ 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด และจากขั้นตอนที่ R5&D5 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบการทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา กับอาจารย์ 15 ราย และนักศึกษา 324 ราย ในคณะศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ที่ได้รับการสุ่มให้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตอื่น ๆ พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น ส่งผลให้อาจารย์มีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักศึกษามีผลการประเมิน ทักษะการปรับตัว หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จึงสามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในประชากรกลุ่มเป้าหมาย คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตแห่งอื่นได้
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อพัฒนาอาจารย์สู่การเสริมสร้างทักษะการปรับตัวของนักศึกษา” ที่ประกอบด้วยคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของอาจารย์ และคู่มือเพื่อเป็นแนวการปฏิบัติสำหรับอาจารย์พัฒนานักศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ซึ่งผลจากการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของอาจารย์ 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด และจากขั้นตอนที่ R5&D5 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบการทดสอบก่อนและหลังการพัฒนา กับอาจารย์ 15 ราย และนักศึกษา 324 ราย ในคณะศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ที่ได้รับการสุ่มให้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตอื่น ๆ พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น ส่งผลให้อาจารย์มีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักศึกษามีผลการประเมิน ทักษะการปรับตัว หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จึงสามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในประชากรกลุ่มเป้าหมาย คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตแห่งอื่นได้
This research aimed to develop an online program for the development of the teachers' skills to enhance the students' adaptability. The research materials consisted of the teacher's learning manuals and a practical student development guide for teachers. After the implication of the R1 and D1 and the R4 and D4 steps of the Research and Development (R&D) methodology, six sets of teacher's learning manuals and one workshop manual were obtained. Then the R5 and D5, the one group pretest-posttest experimental research methodology, were used with 15 teachers and 324 students in the Faculty of Education of Mahamakut Buddhist University, Isan Campus. These groups of samples were randomized to adequately represent the population of Mahamakut Buddhist University and its other campuses. It was observed that the online lessons developed for this research could significantly increase the teacher's post-test scores with the statistical standard of 90/90. As for the students, their post-test scores on the adaptability skills were significantly higher than the scores observed in the pre-test. This shows that the online programs developed in this research are effective educational innovations. Therefore, it can be disseminated for the benefit of the target population from all campuses of Mahamakut Buddhist University.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อพัฒนาครูสู่การเสริมสร้างทักษะเชิงนวัตกรรมของนักเรียน” ที่ประกอบด้วยคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู และคู่มือเพื่อเป็นแนวการปฏิบัติสำหรับครูพัฒนานักเรียน โดยใช้ Research and Development (R&D) methodology ซึ่งผลจากการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 11 ราย และนักเรียน 204 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบ one group pretest-posttest ในโรงเรียนที่สุ่มให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนปริยัติธรรม สังกัดกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พบว่า ผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ คือ โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากครูมีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักเรียนก็มีคะแนนเฉลี่ยจากการประเมินทักษะเชิงนวัตกรรม หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแห่งอื่นได้
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา “โปรแกรมออนไลน์เพื่อพัฒนาครูสู่การเสริมสร้างทักษะเชิงนวัตกรรมของนักเรียน” ที่ประกอบด้วยคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู และคู่มือเพื่อเป็นแนวการปฏิบัติสำหรับครูพัฒนานักเรียน โดยใช้ Research and Development (R&D) methodology ซึ่งผลจากการดำเนินงานขั้นตอน R1&D1 ถึง R4&D4 ทำให้ได้คู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด และคู่มือเชิงปฏิบัติการ 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในขั้นตอน R5&D5 กับครู 11 ราย และนักเรียน 204 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบ one group pretest-posttest ในโรงเรียนที่สุ่มให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนปริยัติธรรม สังกัดกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พบว่า ผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ คือ โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากครูมีคะแนนจากการทดสอบหลังการพัฒนาเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนนักเรียนก็มีคะแนนเฉลี่ยจากการประเมินทักษะเชิงนวัตกรรม หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแห่งอื่นได้
This research aims to develop an “Online Program to Develop Teachers to Enhance Innovation Skills of Students” that consists of teacher learning manuals and a practice manual for teachers to develop students. This study adopted the Research and Development (R&D) methodology. As a result of the implementation of R1&D1 to R4&D4, 6 sets of teacher learning manuals and 1 practice manual were obtained. Additionally, utilizing the one group pretest-posttest experimental paradigm, the outcomes of employing the manuals in the R5&D5 stage with 11 teachers and 204 students in the school chosen at random to represent the Division of Buddhist Studies the National Buddhism Office determined that the research findings were consistent with the assumptions made. The results demonstrated that the developed online program was effective because the post-development test for teachers met the standard of 90/90, and the mean scores were statistically significantly higher than before the development. Moreover, the students’ mean score on innovation skills assessment after the development was statistically significantly higher than before the development. The results proved that the designed online program was effective and that it may be distributed to additional Prapariyattidhamma Schools for their benefit.
หนังสือ

    การวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษา” ในงานวิจัยนี้ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เป็นสังคมฐานความรู้และสังคมดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 โดยนำองค์ความรู้ที่มีการเผยแพร่ถึงแนวคิดการพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ไว้อย่างหลากหลายในโลกอินเทอร์เน็ตมาคัดสรรถึงแหล่งที่มีคุณภาพ มาจัดทำอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นการวิจัย เพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาครูสู่การพัฒนาผู้เรียนได้ในวงกว้าง ด้วยแนวคิด Successful Teachers, Successful Students และ Knowledge and Action is Power โดยใช้โปรแกรมออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถจะเผยแพร่ให้เข้าถึงกลุ่มประชากรเป้าหมายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพได้ตามแนวคิด anywhere, anytime ซึ่งผลจากการวิจัยและพัฒนา ทำให้ได้ “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษา” ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง ที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาการสอนภาษาไทย สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา
การวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษา” ในงานวิจัยนี้ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เป็นสังคมฐานความรู้และสังคมดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 โดยนำองค์ความรู้ที่มีการเผยแพร่ถึงแนวคิดการพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ไว้อย่างหลากหลายในโลกอินเทอร์เน็ตมาคัดสรรถึงแหล่งที่มีคุณภาพ มาจัดทำอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นการวิจัย เพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถจะนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาครูสู่การพัฒนาผู้เรียนได้ในวงกว้าง ด้วยแนวคิด Successful Teachers, Successful Students และ Knowledge and Action is Power โดยใช้โปรแกรมออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถจะเผยแพร่ให้เข้าถึงกลุ่มประชากรเป้าหมายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพได้ตามแนวคิด anywhere, anytime ซึ่งผลจากการวิจัยและพัฒนา ทำให้ได้ “โปรแกรมออนไลน์เพื่อเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษา” ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง ที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาการสอนภาษาไทย สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา
The aim of this study was to develop an educational innovation called “An Online Program to Empower Teachers’ Learning to Develop Students’ Critical Thinking Skills” The study recognized the importance of social changes (i.e., becoming a knowledge-based society and a digital society) in the 21st century by examining knowledge from good quality resources that are related to a variety of concepts of 21st-century skills development. The information, which has been widely published on the Internet, was used to develop a system and to create efficient educational innovations, which hopefully will be beneficial to the development of teachers and students in the future. Based upon the concepts of: “Successful teachers, successful students” and “Knowledge and Action are power,” online programs are used as media so that the target population can access them quickly and efficiently and with lower costs and with the availability of “Anywhere and Anytime.” As a result of Research and Development methodology, the effective innovation of “An Online Program to Empower Teachers’ Learning to Develop Students’ Critical Thinking Skills” has been developed in accordance with the criteria. Moreover, the innovation will be utilized at the Faculty of Education at the main campus of Mahamakut Buddhist University and at every other campus, which offers Thai, English, and Social Teaching curriculums.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา creative thinking skills ให้กับนักศึกษาโดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วงจร ๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีผู้ร่วมวิจัย คือ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรปริญญาตรีในสาขาการสอนภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ, และสังคมศึกษา 15 รูป/คน มีนักศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา 258 คน ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือ 1) ค่าเฉลี่ยจากผลการประเมินการปฏิบัติของผู้ร่วมวิจัย และค่าเฉลี่ยจากผลการประเมิน creative thinking skills ของนักศึกษาเปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติวงจรที่ 2 ทั้งสองกรณีมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นตามลำดับ 2) คณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประการ โดยเฉพาะประโยชน์ของการใช้หลักการมีส่วนร่วมและหลักการทำงานแบบเป็นทีมซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าต่างคนต่าง และ 3) ได้องค์ความรู้จากการปฏิบัติตามกรอบแนวคิดของ Force-Field Analysis เรียกว่า “โมเดลองค์ประกอบที่ส่งผลให้ปฏิบัติการความร่วมมือของอาจารย์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาประสบผลสำเร็จ: กรณีของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย”
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา creative thinking skills ให้กับนักศึกษาโดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วงจร ๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีผู้ร่วมวิจัย คือ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรปริญญาตรีในสาขาการสอนภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ, และสังคมศึกษา 15 รูป/คน มีนักศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา 258 คน ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือ 1) ค่าเฉลี่ยจากผลการประเมินการปฏิบัติของผู้ร่วมวิจัย และค่าเฉลี่ยจากผลการประเมิน creative thinking skills ของนักศึกษาเปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติวงจรที่ 2 ทั้งสองกรณีมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นตามลำดับ 2) คณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประการ โดยเฉพาะประโยชน์ของการใช้หลักการมีส่วนร่วมและหลักการทำงานแบบเป็นทีมซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าต่างคนต่าง และ 3) ได้องค์ความรู้จากการปฏิบัติตามกรอบแนวคิดของ Force-Field Analysis เรียกว่า “โมเดลองค์ประกอบที่ส่งผลให้ปฏิบัติการความร่วมมือของอาจารย์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาประสบผลสำเร็จ: กรณีของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย”
This research aimed at developing the creative thinking skills of students by using Participative Action Research methodology. The research was done in two cycles, one semester each in the Academic Year of 2021. The expected results of the study should result in changes in learning and the knowledge gained from action in the specific context of the Faculty of Education of Mahamakut Buddhist University. The research participants were 15 professors, who were responsible for bachelor's degree programs in the fields of teaching the Thai language, the English language, and Social Studies. In addition, 258 students were the group targeted for development. The results showed the following expected changes. Firstly, a comparison of the mean of the participants' performance assessment and the assessment of the creative thinking skills of the students was conducted in 3 phases (before and after the first cycle and after the second cycle). For both cases, the means were higher. Secondly, the research team, co-researchers, and educational institutions learned by taking an action, especially with regard to the benefits of using participatory principles and teamwork principles, both of which make work more efficient than when individuals take an action alone. Thirdly, knowledge was gained by utilizing the conceptual framework of Force-Field Analysis, which is called the “The Component model that results in the collaboration of Teachers to enhance Students' creative skills to be successful: The Case of the Faculty of Education of Mahamakut Buddhist University."
หนังสือ

    “โปรแกรมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ของครูสู่การเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียน” นี้ ได้จากระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน โครงการแรกมีคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด โครงการที่สองมีคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีครูเป็นกลุ่มทดลอง 12 รายและนักเรียน 59 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์ มีกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ 1) ครูมีผลการทดสอบเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 2) ครูมีผลการทดสอบหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) นักเรียนมีผลการประเมินทักษะการรู้เท่าทันสื่อหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่ให้กับประชากรที่เป็นเป้าหมายในการเผยแพร่นวัตกรรมจากการวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ คือ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทั่วประเทศ
“โปรแกรมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ของครูสู่การเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียน” นี้ ได้จากระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ประกอบด้วยโครงการพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ของครู และโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน โครงการแรกมีคู่มือเพื่อการเรียนรู้ของครู 6 ชุด โครงการที่สองมีคู่มือเชิงปฏิบัติการเพื่อครูนำผลการเรียนรู้สู่การพัฒนานักเรียน 1 ชุด และจากผลการทดลองใช้คู่มือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีครูเป็นกลุ่มทดลอง 12 รายและนักเรียน 59 ราย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองดีไซน์ มีกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง พบว่า โปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามสมมติฐานการวิจัย คือ 1) ครูมีผลการทดสอบเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 2) ครูมีผลการทดสอบหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) นักเรียนมีผลการประเมินทักษะการรู้เท่าทันสื่อหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพที่สามารถจะนำไปเผยแพร่ให้กับประชากรที่เป็นเป้าหมายในการเผยแพร่นวัตกรรมจากการวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ คือ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ทั่วประเทศ
“Online Program for Teacher Learning towards Enhancing Students’ Media Literacy Skills” was the product of the Research and Development (R&D) methodology employment. It comprised of the teachers’ learning development project and the utilizing teachers’ learning outcomes to student development project. The first project amounted to six teachers’ learning manuals, whereas the second project had one action manual of utilizing teachers’ learning outcomes to student development. The manuals were tested in a school that represented the opportunity expansion schools under the Commission on Basic Education. An experimental research model designed one group pretest-posttest included an experimental group of 12 teachers and 59 students. The results revealed that the invented online program was effective and consistent with the study’s assumption. The findings illustrated that 1) the post-experimental test for teachers met the standard of 90/90, 2) the teachers’ posttest mean scores were statistically significantly higher than before the experiment, and 3) the students’ mean score on media literacy skills assessment after the experiment was statistically significantly higher than before the experiment. In addition, it verified that the invented online program was appropriate for the dissemination in the target opportunity expansion schools under the Office of the Basic Education Commission throughout the country.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมที่ส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา 3) เพื่อบูรณาการหลักธรรมการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา และ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ การส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสารการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 รูป/คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 11 รูป/คน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : 1. แนวคิดและทฤษฎีในการส่งเสริมศักยภาพเยาวชน คือ สภาวะที่เป็นแรงขับในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เยาวชนมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถออกมา ได้แก่ ทัศนคติ ความรู้ และ ทักษะ 2. หลักธรรมที่ส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ ประกอบด้วยความกตัญญูและบุญกิริยาวัตถุ 10 3. การบูรณาการหลักธรรมเป็นวิธีการนำเอาแนวคิดจากหลักวิทยาการสมัยใหม่และหลักธรรมทางพระพุทธมาประยุกต์เข้าด้วยกัน โดยพบวิธีการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) ด้านทัศนคติ เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอก 2) ด้านความรู้ เกิดจากการสร้างความรู้ และ การถ่ายทอดความรู้ และ 3) ด้านทักษะ ก่อเกิดจากกายภาพ และพฤติภาพ 4. องค์ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นวิธีที่ก่อตัวและดำรงอยู่บนฐานของหลักธรรมอันประกอบด้วยหลักความกตัญญูกตเวที และหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ในรูปแบบของ “YAKSE MODEL”
ดุษฎีนิพนธ์นี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมที่ส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา 3) เพื่อบูรณาการหลักธรรมการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา และ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ การส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสารการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 รูป/คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 11 รูป/คน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า : 1. แนวคิดและทฤษฎีในการส่งเสริมศักยภาพเยาวชน คือ สภาวะที่เป็นแรงขับในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เยาวชนมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถออกมา ได้แก่ ทัศนคติ ความรู้ และ ทักษะ 2. หลักธรรมที่ส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ ประกอบด้วยความกตัญญูและบุญกิริยาวัตถุ 10 3. การบูรณาการหลักธรรมเป็นวิธีการนำเอาแนวคิดจากหลักวิทยาการสมัยใหม่และหลักธรรมทางพระพุทธมาประยุกต์เข้าด้วยกัน โดยพบวิธีการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) ด้านทัศนคติ เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอก 2) ด้านความรู้ เกิดจากการสร้างความรู้ และ การถ่ายทอดความรู้ และ 3) ด้านทักษะ ก่อเกิดจากกายภาพ และพฤติภาพ 4. องค์ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นวิธีที่ก่อตัวและดำรงอยู่บนฐานของหลักธรรมอันประกอบด้วยหลักความกตัญญูกตเวที และหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ในรูปแบบของ “YAKSE MODEL”
The objectives of this dissertation were to: 1) study concepts and theories of the potential development to the youth for ready to care the elderly based on Buddhism, 2) study the Dhamma about the potential development to the youth for ready to care the elderly based on Buddhism, 3) integrate the Dhamma of the potential development to the youth for ready to care the elderly based on Buddhism, and 4) to propose a guideline and a knowledge model in the potential development to the youth for ready to care the elderly based on Buddhism. Research methodology is a qualitative research by means of document studies, in-depth interview of 15 key informants, and focus group of 11 persons. The results of the study indicated that : 1.Concepts and theories of the potential development to the youth are the condition to the driving force that drives and pushes the youth to have competent behaviors which are attitude, knowledge and skills. 2.The Dhamma of Buddhism can be integrated in the potential development to the youth for ready to care the elderly that consists of gratitude and ten kinds of the Puññakiriyãvatthu. 3.Integration of Dhamma principles is finding ways to the potential development to the youth for ready to care the elderly. It consists of the guidelines: 1) the attitude aspect, arising from internal and external stimulation, 2) knowledge aspect, arising from knowledge creation and knowledge transfer, and 3) Skill aspect, arising from physical and behavior. 4. Knowledge of the potential development to the youth for ready to care the elderly based on Buddhism is a method that is established and sustained based on dharma principles consisting of Kataññu katavedi and ten kinds of the Puññakiriyãvatthu in the form of “YAKSE MODEL”
หนังสือ

    บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย/ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง” โอวาทปาติโมกข์ : การเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต” มีวัตถุประสงค์ ๔ ประการ ๑. เพื่อศึกษาการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต ๒. เพื่อศึกษาพระโอวาทปาติโมกข์ในฐานะเป็นการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต ๓. เพื่อบูรณาการการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตด้วยหลักพระโอวาทปาติโมกข์ ๔. เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบบูรณาการการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตด้วยหลักพระโอวาทปาติโมกข์” โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเน้นการศึกษาเอกสาร นำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า เพื่อให้ชีวิตมีความสมดุล มีความสมบูรณ์ เราสามารถเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตการนำแนวทาง ทั้งสองแนวทางมาบูรณาการเข้าด้วยกัน สามารถสรุปได้ด้วยโครงข่ายทั้ง ๖ ด้านที่เป็นระบบโครงข่ายเชื่อมโยงกันและกัน ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันไม่สามารถขาดออกจากกันได้ ซึ่งต่อไปนี้ผู้วิจัยจักขอเรียกโครงข่ายระบบการเชื่อมโยงของ ๖ โครงข่ายนี้ว่า ๖ สมังคี ซึ่งมีหัวข้อดังต่อไปนี้ สมังคีที่ ๑). บูรณาการโครงข่ายเศรษฐกิจ เรามีความจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่บนโลกด้วยฐานด้านเศรษฐกิจ ไม่ควรยึดเศรษฐกิจบนหนทางกิเลส ต้องทำมาหากินสร้างรายได้ เลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัวด้วยเศรษฐกิจบนหนทางแห่งปัญญา ดังนั้นการหารายได้จึงต้องเน้นทำงานหาเงินด้วยการไม่ทำบาปทั้งปวง สมังคีที่ ๒) โครงข่ายการสื่อสารโดยเราจักต้องเน้นสื่อสารแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีความชัดเจน จริงใจ ไม่สื่อสารด้วยกล่าวว่าร้ายผู้อื่น โจมตี ต่อว่าผู้อื่น การสื่อสารแบบมีอคติ สมังคีที่ ๓) โครงข่ายด้านสิ่งแวดล้อมไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน ทุกสรรพชีวิตสัมพันธ์กันเป็นโครงข่าย ดังนั้นเพื่อความสมดุลของชีวิต เราจึงไม่ควรเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ทุกชนิดสมังคีที่ ๔) โครงข่ายด้านสุขภาพมนุษย์เราไม่สามารถขาดซึ่งความสมบูรณ์ของสุขภาพทางกาย สุขภาพทางใจได้สุขภาพเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียสมดุล อีกสิ่งหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะดีได้ สมังคีที่ ๕) โครงข่ายด้านการบริหารจัดการ วิธีการบริหารจัดการภายนอกคือต้องให้เวลา ให้ความจริงใจ กับครอบครัวและคนรอบข้างโดยไม่คิดที่จะทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายผู้อื่น บริหารจัดการภายในคือการรักษาศีล สมังคีที่ ๖) โครงข่ายด้านกรอบความคิดทางจิตวิญญาณ ความเชื่อคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการแสวงหาตนเอง สามารถแสวงหาความสุขจากจิตใจได้ และเป้าหมายกรอบความคิดทางจิตวิญญาณของเราทุกคนคือ นิพพาน ซึ่งก็คือจุดสูงสุดของความสมดุลของชีวิต
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย/ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง” โอวาทปาติโมกข์ : การเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต” มีวัตถุประสงค์ ๔ ประการ ๑. เพื่อศึกษาการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต ๒. เพื่อศึกษาพระโอวาทปาติโมกข์ในฐานะเป็นการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิต ๓. เพื่อบูรณาการการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตด้วยหลักพระโอวาทปาติโมกข์ ๔. เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบบูรณาการการเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตด้วยหลักพระโอวาทปาติโมกข์” โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเน้นการศึกษาเอกสาร นำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า เพื่อให้ชีวิตมีความสมดุล มีความสมบูรณ์ เราสามารถเสริมสร้างโครงข่ายดุลยภาพชีวิตการนำแนวทาง ทั้งสองแนวทางมาบูรณาการเข้าด้วยกัน สามารถสรุปได้ด้วยโครงข่ายทั้ง ๖ ด้านที่เป็นระบบโครงข่ายเชื่อมโยงกันและกัน ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันไม่สามารถขาดออกจากกันได้ ซึ่งต่อไปนี้ผู้วิจัยจักขอเรียกโครงข่ายระบบการเชื่อมโยงของ ๖ โครงข่ายนี้ว่า ๖ สมังคี ซึ่งมีหัวข้อดังต่อไปนี้ สมังคีที่ ๑). บูรณาการโครงข่ายเศรษฐกิจ เรามีความจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่บนโลกด้วยฐานด้านเศรษฐกิจ ไม่ควรยึดเศรษฐกิจบนหนทางกิเลส ต้องทำมาหากินสร้างรายได้ เลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัวด้วยเศรษฐกิจบนหนทางแห่งปัญญา ดังนั้นการหารายได้จึงต้องเน้นทำงานหาเงินด้วยการไม่ทำบาปทั้งปวง สมังคีที่ ๒) โครงข่ายการสื่อสารโดยเราจักต้องเน้นสื่อสารแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีความชัดเจน จริงใจ ไม่สื่อสารด้วยกล่าวว่าร้ายผู้อื่น โจมตี ต่อว่าผู้อื่น การสื่อสารแบบมีอคติ สมังคีที่ ๓) โครงข่ายด้านสิ่งแวดล้อมไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน ทุกสรรพชีวิตสัมพันธ์กันเป็นโครงข่าย ดังนั้นเพื่อความสมดุลของชีวิต เราจึงไม่ควรเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ทุกชนิดสมังคีที่ ๔) โครงข่ายด้านสุขภาพมนุษย์เราไม่สามารถขาดซึ่งความสมบูรณ์ของสุขภาพทางกาย สุขภาพทางใจได้สุขภาพเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียสมดุล อีกสิ่งหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะดีได้ สมังคีที่ ๕) โครงข่ายด้านการบริหารจัดการ วิธีการบริหารจัดการภายนอกคือต้องให้เวลา ให้ความจริงใจ กับครอบครัวและคนรอบข้างโดยไม่คิดที่จะทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายผู้อื่น บริหารจัดการภายในคือการรักษาศีล สมังคีที่ ๖) โครงข่ายด้านกรอบความคิดทางจิตวิญญาณ ความเชื่อคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการแสวงหาตนเอง สามารถแสวงหาความสุขจากจิตใจได้ และเป้าหมายกรอบความคิดทางจิตวิญญาณของเราทุกคนคือ นิพพาน ซึ่งก็คือจุดสูงสุดของความสมดุลของชีวิต
This article is a part of the thesis entitled “Ovādapātimokkha : Reinforcement of Life Balance Network” and it has 4 objectives: 1) To study the reinforcement of the life equilibrium network, 2) To study the Ovādapātimokkha as a means of enhancing the life equilibrium network, 3) To integrate the reinforcement of the life equilibrium network with the teaching of the Ovādapātimokkha, and 4) To present the body of knowledge about “Integrated model for enhancing the network of equilibrium of life with the teachings of the Ovādapātimokkha. It is a documentary qualitative research. Its contents were presented by descriptive analysis method. It was found from the study that: To keep life in balance and completeness, we can strengthen the life balance network by integration of both approaches together. The six aspects of the network are interconnected and cannot be separated from each other, Hereinafter, the network of these 6 linkage systems will be named as the 6 Samangis, which have the following topics: Samangi 1) Integration of economic networks; to live on the planet with an economic base, but not rely on it with defilements, it should be relied on the path of wisdom in earning for living a life, not committing all sins. Samangi 2) Communication network; we must focus on communicating only with good conduct in word and avoiding verbal misconduct. Samangi 3) Environmental network; nothing in this world is independent and disconnected. All beings are related to each other in a network. For the balance of life, encroachment of living beings on this planet is not suitable. Samangi 4) Health network; Human beings cannot Samangi 4) Health network; Human beings cannot lack of physical health and mental health. Both are interconnected. Without each one, life will be imbalanced. Samangi 5) The method of external management; time and sincerity must be provided to family and people around. For internal management is to maintain precepts. Samangi 6) The network of spiritual Mindset; Faith can make us happy in our pursuit of ourselves and enable us to seek happiness in our mind. The goal of our spiritual paradigms is nirvana and it is the foremost balance network of life.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาพุทธปัญญาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ 3) เพื่อบูรณาการการบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญา 4) เพื่อนําเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการ”โดยมีระเบียบวิธีวิจัยคือ ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร ศึกษาค้นคว้าเอกสารปฐมภูมิ ทุติยภูมิ เอกสารวิชาการ แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 รูป/คน นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อตอบวัตถุประสงค์สรุปผลการวิจัยเพื่อหาข้อสรุปนำเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้รูปแบบใหม่เกี่ยวกับการบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการต่อไป ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ จากการประยุกต์ใช้แนวทางในการบริโภคสื่อออนไลน์ของ Renee Hobbs ว่าด้วยแนวทางในการบริโภคสื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน ร่วมกับปัญหาและแนวทางการแก้ใขการบริโภคสื่อออนไลน์ พฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์สามารถแบ่งออกมาเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเข้าถึงสื่อ 2) ด้านการวิเคราะห์สื่อ 3) ด้านการสะท้อนสื่อ และ 4) ด้านการประเมินสื่อ 2. หลักพุทธปัญญาที่นำมาส่งเสริมและแก้ใขปัญหาในการบริโภคสื่อออนไลน์ในสังคมไทย 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการเข้าถึงสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักสัมมาสติ หลักสัมมาสมาธิ และหลักอินทรียสังวร 2) ด้านการวิเคราะห์สื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักกาลามสูตร 3) ด้านการสะท้อนสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักสัมมาวาจา และ 4) ด้านการประเมินสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักโยนิโสมนสิการ 3. เมื่อนำหลักพุทธปัญญาที่เหมาะสมมาบูรณาการเพื่อส่งเสริมและแก้ใขปัญหาการบริโภคสื่อออนไลน์ในแต่ละด้าน ทั้ง 4 ด้าน ทำให้เกิดคุณสมบัติ คือ 1) เป็นผู้ตั้งใจในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ 2) มีการวิเคราะห์ด้วยปัญญา 3) ปฏิสัมพันธ์ด้วยความสุภาพ และ 4) มีการประเมินที่แท้จริง 4. องค์ความรู้ที่ได้เกี่ยวจากการวิจัยเกี่ยวกับ การบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการ คือ AWPS MODEL A = Attention Access หมายถึง การตั้งใจในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ กำหนดเป้าหมายก่อนเข้าใช้งาน ไม่คล้อยไปตามอารมณ์สื่อระหว่างใช้ และตั้งใจจนจบการใช้งาน W = Wisdom Analysis หมายถึง การวิเคราะห์ด้วยปัญญา ในเนื้อหาสื่อด้วยความรู้ ประสบการณ์ ในข้อเท็จจริง คุณค่า ประโยชน์ที่ปรากฏในสื่อตามความเป็นจริงตามสภาวธรรม P = Polite Reflection (Interaction) หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ด้วยความสุภาพต่อกันในสังคมสื่อออนไลน์ มีการแชร์เนื้อหาสื่อ การแสดงความคิดเห็นในเชิงบวก S = Substantive Evaluation หมายถึง การประเมินที่แท้จริงต่อเนื้อหาความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง คุณค่า ผลกระทบ ข้อดีข้อเสียของสื่อออนไลน์ก่อนนำไปใช้ประโยชน์
ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาพุทธปัญญาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ 3) เพื่อบูรณาการการบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญา 4) เพื่อนําเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการ”โดยมีระเบียบวิธีวิจัยคือ ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร ศึกษาค้นคว้าเอกสารปฐมภูมิ ทุติยภูมิ เอกสารวิชาการ แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 รูป/คน นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อตอบวัตถุประสงค์สรุปผลการวิจัยเพื่อหาข้อสรุปนำเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้รูปแบบใหม่เกี่ยวกับการบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการต่อไป ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์ จากการประยุกต์ใช้แนวทางในการบริโภคสื่อออนไลน์ของ Renee Hobbs ว่าด้วยแนวทางในการบริโภคสื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน ร่วมกับปัญหาและแนวทางการแก้ใขการบริโภคสื่อออนไลน์ พฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์สามารถแบ่งออกมาเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเข้าถึงสื่อ 2) ด้านการวิเคราะห์สื่อ 3) ด้านการสะท้อนสื่อ และ 4) ด้านการประเมินสื่อ 2. หลักพุทธปัญญาที่นำมาส่งเสริมและแก้ใขปัญหาในการบริโภคสื่อออนไลน์ในสังคมไทย 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการเข้าถึงสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักสัมมาสติ หลักสัมมาสมาธิ และหลักอินทรียสังวร 2) ด้านการวิเคราะห์สื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักกาลามสูตร 3) ด้านการสะท้อนสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักสัมมาวาจา และ 4) ด้านการประเมินสื่อ ใช้หลักพุทธปัญญา คือ หลักโยนิโสมนสิการ 3. เมื่อนำหลักพุทธปัญญาที่เหมาะสมมาบูรณาการเพื่อส่งเสริมและแก้ใขปัญหาการบริโภคสื่อออนไลน์ในแต่ละด้าน ทั้ง 4 ด้าน ทำให้เกิดคุณสมบัติ คือ 1) เป็นผู้ตั้งใจในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ 2) มีการวิเคราะห์ด้วยปัญญา 3) ปฏิสัมพันธ์ด้วยความสุภาพ และ 4) มีการประเมินที่แท้จริง 4. องค์ความรู้ที่ได้เกี่ยวจากการวิจัยเกี่ยวกับ การบริโภคสื่อออนไลน์ด้วยพุทธปัญญาบูรณาการ คือ AWPS MODEL A = Attention Access หมายถึง การตั้งใจในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ กำหนดเป้าหมายก่อนเข้าใช้งาน ไม่คล้อยไปตามอารมณ์สื่อระหว่างใช้ และตั้งใจจนจบการใช้งาน W = Wisdom Analysis หมายถึง การวิเคราะห์ด้วยปัญญา ในเนื้อหาสื่อด้วยความรู้ ประสบการณ์ ในข้อเท็จจริง คุณค่า ประโยชน์ที่ปรากฏในสื่อตามความเป็นจริงตามสภาวธรรม P = Polite Reflection (Interaction) หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ด้วยความสุภาพต่อกันในสังคมสื่อออนไลน์ มีการแชร์เนื้อหาสื่อ การแสดงความคิดเห็นในเชิงบวก S = Substantive Evaluation หมายถึง การประเมินที่แท้จริงต่อเนื้อหาความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง คุณค่า ผลกระทบ ข้อดีข้อเสียของสื่อออนไลน์ก่อนนำไปใช้ประโยชน์
The objectives of this dissertation are as follows: 1) to study online media consumption behavior, 2) to study Buddhist wisdom related to online media consumption behavior, 3) to integrate online media consumption with Buddhist wisdom, and 4) to present a body of knowledge on "Consumption of online media integrated with Buddhist wisdom". The data of this documentary qualitative research were collected from documents, related research works and in-depth interviews with 15 experts. The collected data were analyzed and synthesized and then presented in a descriptive method. The study results showed that: 1. Online media consumption behaviours based on the application of Renee Hobbs's Guide in Online Media Consumption Guidelines for Consciously Consuming Online Media together with problems and solutions for consuming online media can be divided into 4 aspects: 1) Media Access, 2) Media Analysis, 3) Media Reflection, and 4) Media Assessment. 2. Principles of Buddhist wisdom used to promote online media consumption and solve problems in online media consumption in Thai society are in 4 aspects: 1) the principle of right mindfulness (Sammāsati), the principle of right concentration (Sammāsamāthi), and the principles of sense-restraint (Indarīyasamvara) are for media accessibility, 2) the principles of Kalama Sutta (Kālāmasutta) are for media analysis, 3) the reflection of the media using the Buddha-wisdom principle, i.e. the principle of right speech (Sammāvācā) is for the media reflection, and 4) the principle of Yonisomanasikāra is for media assessment. 3. When the Buddhist wisdom is appropriately integrated to promoting online media consumption and solving online media consumption problems, it causes the 4 qualifications: 1) to access online media intentionally, 2) to analyze the media by wisdom, 3) to express polite interactions, and 4) to have true evaluation. 4. The body of knowledge gained from the study can be concluded into “AWPS MODEL”. A stands for Attention Access, W for Wisdom Analysis, P for Polite Interaction, and S is for Substantive Rate.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาชีวิตและการดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด19 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่เหมาะสมกับการดูแลคุณภาพชีวิตในยุคโควิด 19 3) เพื่อบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 4) เพื่อเสนอองค์ความรู้เรื่อง การบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด19 โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลักและการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 5 รูป/คนกลุ่มสายงานด้านการดูแลสุขภาพ จำนวน 5 คนตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบในสถานการณ์โควิด 19 จำนวน 5 คนรวมทั้งสิ้น จำนวน 15 รูป/คนวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา ผลจากการวิจัยพบว่า: 1. สภาพปัญหาชีวิตในสถานการณ์โควิด19 ทำให้พบสภาพปัญหาชีวิตที่ปรากฏในสถานการณ์โควิด 19 3 ด้าน คือ 1) ปัญหาด้านจิตใจมีความเครียดความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น 2) ปัญหาด้านสังคมวิถีการดำเนินชีวิต การจำกัดสิทธิเสรีภาพ การตกงาน ส่งผลถึงครอบครัว สังคม ประเพณีและวิถีปฏิบัติ 3) ปัญหาด้านเศรษฐกิจในหลายกลุ่มประชากร การตกงาน การขาดรายได้และมีผลกระทบที่รุนแรงและยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น 2. หลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่เหมาะสมกับการที่จะนำมาพัฒนาคุณภาพชีวิตประกอบด้วย 1)พรหมวิหารธรรม 4 หลักธรรมประจำใจอันประเสริฐธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ 2) สังคหวัตถุ 4 หลักการสงเคราะห์กันในสังคม เป็นธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กันยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน 3) ทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 หลักการสร้างประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นธรรมที่สร้างความสุขให้กับบุคคลผู้ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน 3. การบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 พบว่า ปัญหาด้านจิตใจได้นำหลักพรหมวิหาร 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิตปัญหาด้านสังคมได้นำหลักสังคหวัตถุ 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิต ปัญหาด้านเศรษฐกิจได้นำหลักทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิต 4. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้เรียกว่า “MSE Strong” โมเดลM มาจาก Mentally Strong มีความเข้มแข็งทางจิตใจ S มาจาก Socially Strong มีความเข้มแข็งทางสังคมและ E มาจาก Economic Strong มีความเข้มแข็งเศรษฐกิจ เป็นความรู้ที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 ได้เป็นอย่างดี
ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาชีวิตและการดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด19 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่เหมาะสมกับการดูแลคุณภาพชีวิตในยุคโควิด 19 3) เพื่อบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 4) เพื่อเสนอองค์ความรู้เรื่อง การบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด19 โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลักและการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 5 รูป/คนกลุ่มสายงานด้านการดูแลสุขภาพ จำนวน 5 คนตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบในสถานการณ์โควิด 19 จำนวน 5 คนรวมทั้งสิ้น จำนวน 15 รูป/คนวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา นำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา ผลจากการวิจัยพบว่า: 1. สภาพปัญหาชีวิตในสถานการณ์โควิด19 ทำให้พบสภาพปัญหาชีวิตที่ปรากฏในสถานการณ์โควิด 19 3 ด้าน คือ 1) ปัญหาด้านจิตใจมีความเครียดความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น 2) ปัญหาด้านสังคมวิถีการดำเนินชีวิต การจำกัดสิทธิเสรีภาพ การตกงาน ส่งผลถึงครอบครัว สังคม ประเพณีและวิถีปฏิบัติ 3) ปัญหาด้านเศรษฐกิจในหลายกลุ่มประชากร การตกงาน การขาดรายได้และมีผลกระทบที่รุนแรงและยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น 2. หลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่เหมาะสมกับการที่จะนำมาพัฒนาคุณภาพชีวิตประกอบด้วย 1)พรหมวิหารธรรม 4 หลักธรรมประจำใจอันประเสริฐธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ 2) สังคหวัตถุ 4 หลักการสงเคราะห์กันในสังคม เป็นธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กันยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน 3) ทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 หลักการสร้างประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นธรรมที่สร้างความสุขให้กับบุคคลผู้ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน 3. การบูรณาการหลักพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 พบว่า ปัญหาด้านจิตใจได้นำหลักพรหมวิหาร 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิตปัญหาด้านสังคมได้นำหลักสังคหวัตถุ 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิต ปัญหาด้านเศรษฐกิจได้นำหลักทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 เข้ามาบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิต 4. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้เรียกว่า “MSE Strong” โมเดลM มาจาก Mentally Strong มีความเข้มแข็งทางจิตใจ S มาจาก Socially Strong มีความเข้มแข็งทางสังคมและ E มาจาก Economic Strong มีความเข้มแข็งเศรษฐกิจ เป็นความรู้ที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตในสถานการณ์โควิด 19 ได้เป็นอย่างดี
The objectives of this dissertation were: 1) to study the state of life problems in the situation of COVID-19, 2) to study the principles of Theravada Buddhist philosophy suitable to take care of the quality of life in the situation of COVID-19, 3) to integrate the Theravada Buddhist philosophy to take care of the quality of life in the situation of COVID-19, and 4) to propose the body of knowledge on integration of Theravada Buddhist philosophy in taking care of the quality of life in the situation of COVID-19. The data used in the study were collected from the Tipitaka, textbooks, related documents, in-depth interviews with 5 Buddhist scholars, 5 health care personnel, and 5 Covid-19 patients. The data were analyzed by content analysis and presented in a descriptive form. The results of the research showed that: 1. The state of life problems in the situation of COVID-19 that causes the quality of life in 3 aspects: 1) psychological problems, increase of stress and anxiety, 2) social problems, lifestyle, restrictions on rights and freedom, and unemployment affecting family, society, traditions and ways of life, and 3) economic problems in many demographic groups, unemployment, and lack of income. It has a severe impact to life and no tendency to recover. 2. The principles of Theravada Buddhist philosophy suitable to improve the quality of life consist of: 1) Brahmawihara Dhamma or the sublime states of mind, 2)Sangahavatthu Dhamma or principles of service and social integration, and 3) Ditthadhammikattha or sources of happiness in the present life. 3. The integration of Theravada Buddhist philosophy in taking care of quality of life in the situation of COVID-19 found that psychological problems should be integrated with Brahmavihara Dhamma principles, social problems should be integrated with Sangahavatthu principles, and economic problems should be integrated Ditthadhammikattha principles. 4. The new body of knowledge obtained from the study can be concluded into the “MSE Strong Model”. M is from Mentally Strong, S from Socially Strong, and E from Economic Strong. This model can be appropriately applied to take care of the quality of life in the Covid-19 situation.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ดัง เพื่อศึกษาปรากฎการณ์หลักของโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีของโรงเรียนธรรมวิถี จากมุมมองของคนที่อยู่ในปรากฏการณ์ว่ามีลักษณะอย่างไร มีสาเหตุหรือมีปัจจัยจากอะไร เพื่อศึกษายุทธศาสตร์ ที่โรงเรียนธรรมวิถี ได้นำมาใช้จนเป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีได้ว่ามียุทธศาสตร์อะไรบ้าง โดยมีเงื่อนไขเชิงบริบทเฉพาะ และเงื่อนไขสอดแทรกทั่วไป ที่มีผลต่อการเลือกใช้ยุทธศาสตร์เหล่านั้น เพื่อศึกษาผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นจากการใช้ยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนธรรมวิถีได้เลือกนำมาใช้จนทำให้เป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดี ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีมีหลายประเด็น ได้แก่ แนวทางการเริ่มต้นโรงเรียนวิถีพุทธ ทราบสาเหตุหรือมีปัจจัยสภาพปัญหาของสังคมเด็กขาดเรียน ปัญหาเด็กที่มาเรียนแต่ไม่ยอมเข้าแถว ปัญหาเด็กไม่ค่อยฟังพ่อแม่ ปัญหาของเด็กในสภาพลูกเทวดา ปัญหาที่เด็กชอบแข่งจักรยานยนต์ หนีเที่ยวไม่ยอมเข้าเรียน โรงเรียนพยายามสร้างความตระหนักให้กับคุณครู ต่อสภาพปัญหาเหล่านี้เด็กของเราจะสามารถอยู่ได้ในสังคมหรือไม่ ในเมื่อเราเป็นคุณครูจุดประสงค์หลักของเราก็คือต้องหาวิธีการที่จะสร้างความมีคุณธรรมจริยธรรมติดตัวนักเรียนออกไปสู่สังคมเพราะตัวนักเรียนคือผลิตผลของหน่วยงานเราหรือของโรงเรียน ยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนได้นำมาใช้ดำเนินการในเรื่องนี้ปรับได้ตามแนวทางของหลักธรรมเรื่องปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักไตรสิกขา ได้อย่างชัดเจน สำหรับแนวคิดเบื้องต้น ของการจัดสภาพในสถานศึกษา ที่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ด้านกายภาพ โรงเรียนจะจัดอาคารสถานที่ สภาพแวดล้อม ห้องเรียน และแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญา ได้แก่ มีศาลาพระพุทธรูป เด่นเหมาะสม ที่จะชวนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ มีมุมหรือห้องให้ศึกษาพุทธธรรม บริหารจิต เจริญภาวนาเหมาะสมหรือมากพอที่จะบริการผู้เรียน หรือการตกแต่งบริเวณให้เป็นธรรมชาติ หรือใกล้ชิดธรรมชาติ ชวนมีใจสงบ และส่งเสริมปัญญา ได้แก่ ร่มรื่น มีป้ายนิเทศ ป้ายคุณธรรม ดูแลเสียงต่าง ๆ ไม่ให้อึกทึก ถ้าเปิดเพลงกระจายเสียงก็พิถีพิถันเลือกเพลงที่ส่งเสริมสมาธิ ประเทืองปัญญา เป็นต้น 2. ด้านกิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต สถานศึกษาจัดกิจกรรมวิถีชีวิต ประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือในโอกาสต่าง ๆ เป็นภาพรวมทั้งสถานศึกษา ที่เป็นการปฏิบัติบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา โดยเน้นการมีวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมของการกิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นไปตามคุณค่าแท้ของการดำเนินชีวิต 3. ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ สถานศึกษาส่งเสริมบรรยากาศของการใฝ่เรียนรู้ และพัฒนาไตรสิกขา หรือส่งเสริมการมีวัฒนธรรม แสวงปัญญา และมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน มีบรรยากาศของการเคารพอ่อนน้อม ยิ้มแย้มแจ่มใส การมีความเมตตากรุณาต่อกัน ทั้งครูต่อนักเรียน นักเรียนต่อครู นักเรียนต่อนักเรียน และครูต่อครูด้วยกัน และโรงเรียนส่งเสริมให้บุคลากร และนักเรียนปฏิบัติตน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เช่น การลด ละ เลิกอบายมุขการเสียสละ เป็นต้น 4.
การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ดัง เพื่อศึกษาปรากฎการณ์หลักของโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีของโรงเรียนธรรมวิถี จากมุมมองของคนที่อยู่ในปรากฏการณ์ว่ามีลักษณะอย่างไร มีสาเหตุหรือมีปัจจัยจากอะไร เพื่อศึกษายุทธศาสตร์ ที่โรงเรียนธรรมวิถี ได้นำมาใช้จนเป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีได้ว่ามียุทธศาสตร์อะไรบ้าง โดยมีเงื่อนไขเชิงบริบทเฉพาะ และเงื่อนไขสอดแทรกทั่วไป ที่มีผลต่อการเลือกใช้ยุทธศาสตร์เหล่านั้น เพื่อศึกษาผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นจากการใช้ยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนธรรมวิถีได้เลือกนำมาใช้จนทำให้เป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดี ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะโรงเรียนวิถีพุทธที่เป็นแบบอย่างที่ดีมีหลายประเด็น ได้แก่ แนวทางการเริ่มต้นโรงเรียนวิถีพุทธ ทราบสาเหตุหรือมีปัจจัยสภาพปัญหาของสังคมเด็กขาดเรียน ปัญหาเด็กที่มาเรียนแต่ไม่ยอมเข้าแถว ปัญหาเด็กไม่ค่อยฟังพ่อแม่ ปัญหาของเด็กในสภาพลูกเทวดา ปัญหาที่เด็กชอบแข่งจักรยานยนต์ หนีเที่ยวไม่ยอมเข้าเรียน โรงเรียนพยายามสร้างความตระหนักให้กับคุณครู ต่อสภาพปัญหาเหล่านี้เด็กของเราจะสามารถอยู่ได้ในสังคมหรือไม่ ในเมื่อเราเป็นคุณครูจุดประสงค์หลักของเราก็คือต้องหาวิธีการที่จะสร้างความมีคุณธรรมจริยธรรมติดตัวนักเรียนออกไปสู่สังคมเพราะตัวนักเรียนคือผลิตผลของหน่วยงานเราหรือของโรงเรียน ยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนได้นำมาใช้ดำเนินการในเรื่องนี้ปรับได้ตามแนวทางของหลักธรรมเรื่องปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักไตรสิกขา ได้อย่างชัดเจน สำหรับแนวคิดเบื้องต้น ของการจัดสภาพในสถานศึกษา ที่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ด้านกายภาพ โรงเรียนจะจัดอาคารสถานที่ สภาพแวดล้อม ห้องเรียน และแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญา ได้แก่ มีศาลาพระพุทธรูป เด่นเหมาะสม ที่จะชวนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ มีมุมหรือห้องให้ศึกษาพุทธธรรม บริหารจิต เจริญภาวนาเหมาะสมหรือมากพอที่จะบริการผู้เรียน หรือการตกแต่งบริเวณให้เป็นธรรมชาติ หรือใกล้ชิดธรรมชาติ ชวนมีใจสงบ และส่งเสริมปัญญา ได้แก่ ร่มรื่น มีป้ายนิเทศ ป้ายคุณธรรม ดูแลเสียงต่าง ๆ ไม่ให้อึกทึก ถ้าเปิดเพลงกระจายเสียงก็พิถีพิถันเลือกเพลงที่ส่งเสริมสมาธิ ประเทืองปัญญา เป็นต้น 2. ด้านกิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต สถานศึกษาจัดกิจกรรมวิถีชีวิต ประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือในโอกาสต่าง ๆ เป็นภาพรวมทั้งสถานศึกษา ที่เป็นการปฏิบัติบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา โดยเน้นการมีวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมของการกิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นไปตามคุณค่าแท้ของการดำเนินชีวิต 3. ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ สถานศึกษาส่งเสริมบรรยากาศของการใฝ่เรียนรู้ และพัฒนาไตรสิกขา หรือส่งเสริมการมีวัฒนธรรม แสวงปัญญา และมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน มีบรรยากาศของการเคารพอ่อนน้อม ยิ้มแย้มแจ่มใส การมีความเมตตากรุณาต่อกัน ทั้งครูต่อนักเรียน นักเรียนต่อครู นักเรียนต่อนักเรียน และครูต่อครูด้วยกัน และโรงเรียนส่งเสริมให้บุคลากร และนักเรียนปฏิบัติตน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เช่น การลด ละ เลิกอบายมุขการเสียสละ เป็นต้น 4.
ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยบุคลากรในสถานศึกษา ร่วมกับผู้ปกครอง และชุมชน สร้างความตระหนักและศรัทธา รวมทั้งเสริมสร้างปัญญาเข้าใจในหลักการและวิธีดำเนินการโรงเรียนวิถีพุทธร่วมกัน ทั้งนี้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายพยายามสนับสนุน และการปฏิบัติตนเอง ที่จะสนับสนุนและเป็นตัวอย่างในการพัฒนาผู้เรียน ตามวิถีชาวพุทธ สถานศึกษาวิเคราะห์จัดจุดเน้น หรือรูปแบบรายละเอียดโรงเรียนวิถีพุทธ ตามความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา เงื่อนไขที่ส่งผลต่อการเลือกใช้ยุทธศาสตร์ของโรงเรียนวิถีพุทธได้ปรับใช้ตามแนวทางของหลักธรรมเรื่องปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักไตรสิกขา ได้อย่างชัดเจน ของการจัดสภาพในสถานศึกษา ที่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ มีลักษณะให้นักเรียนเป็นคนดีในสังคม หลังจากจบจากโรงเรียนไป ผลพลอยได้ทำให้บุคลากร ครู ผู้บริหารมีหลักธรรมและนำวิถีพุทธ/วิถีธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันและงานที่รับผิดชอบ ส่วนนักเรียนเป็นผู้มีความอ่อนน้อม แยกความดีความชั่วอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข รู้จักเสียสละ มีน้ำใจช่วยเหลือตนเองและส่วนรวม สังคมและโรงเรียนที่เราอาศัยอยู่จะได้มีการพัฒนาทั้งระบบ ครอบครัว ชุมชน สังคมขนาดใหญ่ ผลสืบเนื่องที่เกิดจากการใช้ยุทธศาสตร์โรงเรียนวิถีพุทธเกี่ยวกับด้านโรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนมีคุณภาพและมาตรฐาน ความภาคภูมิใจในงาน และการยอมรับจากภายนอกและด้านชุมชน ได้แก่ การขยายจิตสํานึกโรงเรียนวิถีพุทธ
The objectives of this research were as follows: to study the main phenomenon of the Buddhist school as a good example of the Dhammawithi School from the point of view of the person in the phenomenon, what does it look like? What are the causes or what are the factors, to study strategies Dhammavithi School has been using to be a good example of Buddhist school as well as specific contextual conditions and general interpolation conditions that affect the choice of those strategies, and to study the sequel resulting of applying strategies that Dhammavithi School has chosen. The results showed that Characteristics of being a good model of Buddhist school include many issues, for example, the way to start a Buddhist school, acknowledging the cause or factors of the problematic conditions of the present society. School is trying to raise awareness among teachers about problems of students and students will be able to survive or not. Being a teacher, the core job is to build moral ethics within the students because they are future of our society. The strategies adopted by the school in this regard can be adapted according to the guidelines of the Four Principles of Wisdom as follows: 1. Physical: the school will arrange buildings, premises, environments, classrooms, and learning centers that promote the development of morality, concentration and wisdom, such as having a pavilion of outstanding Buddha images that will always remind students of the Triple Gem. There is a corner or room for studying the Buddha Dharma, mental management, and meditation appropriate or enough to serve the learners. or decorate the area to be natural or close to nature. 2. Basic activities of life style: educational institutions organize daily or weekly lifestyle activities on various occasions. It is an integrated practice of morality, concentration, and wisdom, emphasizing on the way of life. 3. Atmosphere and interaction: educational institutions promote an atmosphere of learning and develop the triad or promote cultural, intellectual pursuit and friendly interactions. There is an atmosphere of respect and humility. 4. School management: educational personnel together with parents and the community raise awareness and faith as well as enhance wisdom and understand principles and methods of administrating Buddhist schools together. The terms affecting the choice of those strategies adapting the Four Principles of Wisdom enhance learners’ development along with Trisikha. Students tend to be a good citizen and behave well after graduating from school. All educational personnel should apply the principle in their daily life as well. This will create affect the school and society. Consequences arising from the implementation of the Buddhist school strategy concerning schools are: schools have quality and standards. pride in work and acceptance from outside and from the community, such as expanding awareness of Buddhist schools
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 2) ศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่ส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ 3) บูรณาการการส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 4) นำเสนอองค์ความรู้ใหม่เรื่อง “การส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพเครื่องมือวิจัย คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ กลุ่มนักวิชาการทางพระพุทธศาสนา 5 รูป/คนกลุ่มข้าราชการ 5 คน กลุ่มนักวิชาการแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 คน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2 คน รวมจำนวน 17 รูป/คน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ สรุปผลและนำเสนอรายงานการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ เน้นส่งเสริมความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทางกายภาพเพื่อความเจริญเติบโตพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทางการค้า ทางการเมืองมากกว่า ส่วนด้านจิตใจควรมีการส่งเสริมหลักพุทธปรัชญาเถรวาทให้เด่นชัด 2) หลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่นำมาส่งเสริม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างแท้จริงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา 3) การส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทบูรณาการกันได้ดังนี้(1) ศีล ส่งเสริมความมั่นคง (2) สมาธิ ส่งเสริมความมั่งคั่ง และ (3) ปัญญา ส่งเสริมความยั่งยืน 4) องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากงานวิจัยนี้ เรียกว่า “PAU MODEL” ซึ่งได้แก่ (1) ส่งเสริมความมั่นคงด้วย Precept คือ ความเป็นพื้นฐานแห่งคุณงามความดี ความเป็นปกติของมนุษย์ทั่วไปและข้อห้าม กฎระเบียบของสังคม (2) ส่งเสริมความมั่งคั่ง ด้วย Attention คือ ความสงบร่มเย็นของจิตใจทำให้สามารถคิดอย่างสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และ (3) ส่งเสริมความยั่งยืนด้วย Understanding คือ ความรอบรู้ในการดำเนินชีวิตรวมถึงความรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และความฉลาดเฉียบแหลมในหนทางที่จะสร้างความเจริญได้อย่างยั่งยืน
ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 2) ศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่ส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ 3) บูรณาการการส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 4) นำเสนอองค์ความรู้ใหม่เรื่อง “การส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพเครื่องมือวิจัย คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ กลุ่มนักวิชาการทางพระพุทธศาสนา 5 รูป/คนกลุ่มข้าราชการ 5 คน กลุ่มนักวิชาการแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 คน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2 คน รวมจำนวน 17 รูป/คน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ สรุปผลและนำเสนอรายงานการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ เน้นส่งเสริมความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทางกายภาพเพื่อความเจริญเติบโตพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทางการค้า ทางการเมืองมากกว่า ส่วนด้านจิตใจควรมีการส่งเสริมหลักพุทธปรัชญาเถรวาทให้เด่นชัด 2) หลักพุทธปรัชญาเถรวาทที่นำมาส่งเสริม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างแท้จริงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา 3) การส่งเสริมวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทบูรณาการกันได้ดังนี้(1) ศีล ส่งเสริมความมั่นคง (2) สมาธิ ส่งเสริมความมั่งคั่ง และ (3) ปัญญา ส่งเสริมความยั่งยืน 4) องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากงานวิจัยนี้ เรียกว่า “PAU MODEL” ซึ่งได้แก่ (1) ส่งเสริมความมั่นคงด้วย Precept คือ ความเป็นพื้นฐานแห่งคุณงามความดี ความเป็นปกติของมนุษย์ทั่วไปและข้อห้าม กฎระเบียบของสังคม (2) ส่งเสริมความมั่งคั่ง ด้วย Attention คือ ความสงบร่มเย็นของจิตใจทำให้สามารถคิดอย่างสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และ (3) ส่งเสริมความยั่งยืนด้วย Understanding คือ ความรอบรู้ในการดำเนินชีวิตรวมถึงความรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และความฉลาดเฉียบแหลมในหนทางที่จะสร้างความเจริญได้อย่างยั่งยืน
The objectives of this Dissertation are: 1) to study the vision in National Strategies in Stability, Prosperity, and Sustainability, 2) to study Buddhist philosophy which promotes vision in national strategy, 3) to integrate the promotion of vision in national strategy with Theravăda Buddhist philosophy, and 4) to present new knowledge on “Promotion of vision in National strategy according to Theravăda Buddhist Philosophy”. The research is a qualitative research and the data were collected by in-depth interviews with 5 Buddhist scholars, 5 civil servants, 5 scholars of the National Strategic Plan, and 2 experts in 20 Years National Strategic Planning. The data were analyzed by content analysis and the results of synthesis contents were presented in descriptive method. The results showed that: 1) A vision in National Strategies was focused on promoting Physical stability, Prosperity and Sustainability for growth and development in Economics, Society and Politics more than mental development. Mental development should be promoted by Theravăda Buddhist philosophy. 2) The principles of Theravăda Buddhist philosophy to promote Stability, Prosperity and Sustainability of materials and mind are Sila, Samadhi and Panna. 3) Integration to promotion of vision in national strategy according to Theravăda Buddhist philosophy can be done as follows: (1) Stability is promoted by Precepts, (2) Prosperity is promoted by Attention, and (3) Sustainability is promoted by Understanding. 4) A new body of knowledge gained from this research is called “PAU MODEL”, which is (1) promotion Stability with Precept namely the foundation of virtue, common humanity, laws and regulations of society, (2) promotion Prosperity with Attention namely peace of mind enabling creative thinking and concentration to the goals set, and (3) promotion Sustainability with Understanding namely knowledge of lifestyle, and knowledge of transference of the world situation and geniuses in creating sustainable prosperity.
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำ ให้กับนักเรียนโดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วงจร ๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของโรงเรียนเนินสง่าวิทยา จังหวัดชัยภูมิ มีครูเป็นผู้ร่วมวิจัย 13 คน และมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 191 คนเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือ จากการเปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 2 พบว่า ผู้ร่วมวิจัยมีการกระทำเพื่อเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำ ให้กับนักเรียนที่สูงขึ้นกว่าเดิมตามลำดับ และนักเรียนมีทักษะภาวะผู้นำที่สูงขึ้นกว่าเดิมตามลำดับเช่นกัน ในขณะเดียวกันคณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาก็เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า การพัฒนาใด ๆ ที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมหรือหลักการประชาธิปไตยจะทำให้ผลการพัฒนามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น รวมทั้งได้องค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีฐานรากจากการปฏิบัติในงานวิจัยนี้ เรียกว่า “โมเดลต้นแบบสำหรับการเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำของนักเรียน : บทเรียนความสำเร็จที่ได้รับจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนเนินสง่าวิทยา”
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำ ให้กับนักเรียนโดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วงจร ๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของโรงเรียนเนินสง่าวิทยา จังหวัดชัยภูมิ มีครูเป็นผู้ร่วมวิจัย 13 คน และมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 191 คนเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือ จากการเปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 2 พบว่า ผู้ร่วมวิจัยมีการกระทำเพื่อเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำ ให้กับนักเรียนที่สูงขึ้นกว่าเดิมตามลำดับ และนักเรียนมีทักษะภาวะผู้นำที่สูงขึ้นกว่าเดิมตามลำดับเช่นกัน ในขณะเดียวกันคณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษาก็เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า การพัฒนาใด ๆ ที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมหรือหลักการประชาธิปไตยจะทำให้ผลการพัฒนามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น รวมทั้งได้องค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีฐานรากจากการปฏิบัติในงานวิจัยนี้ เรียกว่า “โมเดลต้นแบบสำหรับการเสริมสร้างทักษะภาวะผู้นำของนักเรียน : บทเรียนความสำเร็จที่ได้รับจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนเนินสง่าวิทยา”
This study aimed at helping students to improve their leadership skills by utilizing the methodology of Participatory Action Research in which two cycles of research (one cycle per semester) were conducted during the Academic Year of 2021. The three anticipated developmental outcomes of change, learning, and knowledge were gained through the practices, which were administered in the particular setting of the Noensangawittaya School in Chaiyaphum Province. The target group for development consisted of 191 high school students, and 13 teachers served as the study’s co-investigators. The findings revealed the changes that had been anticipated. In accordance with the comparative analysis of the three phases (before and after the first cycle of practices and after the second cycle), it was discovered that in order to improve the students' leadership skills, the co-researchers had continued to increase their activities since beginning the first phase. In a similar vein, there had been advancements in the leadership skills of the students. Together, the research team, the co-researchers, and the school discovered that any form of development, which prioritizes democratic or participatory principles, will produce better results. Additionally, a grounded theory known as the "Model for Developing Students' Leadership Skills: The Success of Lessons Learned through Participatory Action Research at Noensangawittaya School" was developed from the practices, which had been employed in this research.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล 2) เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล 3) เพื่อบูรณาการการส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เรื่อง “การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์” โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยรับราชการตำรวจ จำนวน 6 คน นักวิชาการผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 6 รูป/คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 12 รูป/คน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นข้อมูลนำเสนอ ผลจากการวิจัยพบว่า: 1. การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ให้ตำรวจมีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด มีจริยธรรมตำรวจ และวิธีการเสริมสร้างจริยธรรมตำรวจ ให้มีหลักในการครองตน ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบและไม่ประมาท การครองคน ให้ดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข การครองงาน ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ได้สมบูรณ์และบรรลุเป้าหมาย 2. พุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ได้แก่ หลักเบญจศีล-เบญจธรรม สิ่งที่ควรเว้นและธรรมที่ควรปฏิบัติ หลักสังคหวัตถุ 4 ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน หลักอิทธิบาท 4 คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ 3. การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ พบว่า การดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลใช้หลักเบญจศีล-เบญจธรรมในการครองตน ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการครองคน ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการครองงาน โดยบูรณาการกันในการส่งเสริมด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ทั้ง 3 ประการมาปฏิบัติในการดำเนินชีวิต 4. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้เรียกว่า “SPJ MODEL” S มาจาก Good Self ครองตนดี ตำรวจสันติบาลจะครองตนที่ดีจะต้องยึดมั่น ทำให้มีความสุขกายสุขใจ P มาจาก S Good People หมายถึง ครองคนดี ตำรวจสันติบาล มีธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน, ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน หลักการครองใจคน และ J มาจาก Good Job หมายถึง ครองงานดี ตำรวจสันติบาลต้องมีความอดทน ความเพียรพยายาม ความจริงใจต่อประชาชน
ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล 2) เพื่อศึกษาพุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล 3) เพื่อบูรณาการการส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เรื่อง “การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์” โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยรับราชการตำรวจ จำนวน 6 คน นักวิชาการผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 6 รูป/คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 12 รูป/คน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นข้อมูลนำเสนอ ผลจากการวิจัยพบว่า: 1. การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ให้ตำรวจมีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด มีจริยธรรมตำรวจ และวิธีการเสริมสร้างจริยธรรมตำรวจ ให้มีหลักในการครองตน ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบและไม่ประมาท การครองคน ให้ดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข การครองงาน ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ได้สมบูรณ์และบรรลุเป้าหมาย 2. พุทธจริยศาสตร์ในการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาล ได้แก่ หลักเบญจศีล-เบญจธรรม สิ่งที่ควรเว้นและธรรมที่ควรปฏิบัติ หลักสังคหวัตถุ 4 ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน หลักอิทธิบาท 4 คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ 3. การส่งเสริมการดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ พบว่า การดำเนินชีวิตของตำรวจสันติบาลใช้หลักเบญจศีล-เบญจธรรมในการครองตน ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการครองคน ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการครองงาน โดยบูรณาการกันในการส่งเสริมด้วยหลักพุทธจริยศาสตร์ทั้ง 3 ประการมาปฏิบัติในการดำเนินชีวิต 4. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้เรียกว่า “SPJ MODEL” S มาจาก Good Self ครองตนดี ตำรวจสันติบาลจะครองตนที่ดีจะต้องยึดมั่น ทำให้มีความสุขกายสุขใจ P มาจาก S Good People หมายถึง ครองคนดี ตำรวจสันติบาล มีธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน, ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน หลักการครองใจคน และ J มาจาก Good Job หมายถึง ครองงานดี ตำรวจสันติบาลต้องมีความอดทน ความเพียรพยายาม ความจริงใจต่อประชาชน
This thesis objectives 1) to study the promotion of life of the special branches 2)to study the Buddhist ethics in the life of the special branch 3)to integrate the promotion of life of the Special Branches using the Buddhist ethics 4) to present new knowledge on “Promoting the life of the special branch with Buddhist ethics” by studying and analyzing the data from the Tripitaka textbooks and related documents are mainly and in-depth interviews A group of experts who had served in the police service consisted of 6 persons, academics with knowledge and expertise in Buddhism, 6 figures/person, totaling 12 persons. The results of the research showed that: 1. Promoting the life of the special branch give the police a better life strict discipline police ethics and how to strengthen police ethics as a tool to guide the performance of duties. To become a peacekeeper or being a policeman of the people. 2. Buddhist ethics in the life of special branch police Benjasila - Benjadhamma Things that should be avoided and Dharma that should be done The principle of Sangahavatthus, Four Foundations for Accomplishment consist of 3. Promoting the life of the special branch police with buddhist ethics found that Buddhist ethics for self-reliance Integration with the Benjasila-Benjadhamma principles Buddhist Ethics for Dominating People Integrating with using the 4 Sangkhahavatthus principles, Buddhist ethics for dominating work Integration with using the principle of IDDHIPᾹDA 4. The new body of knowledge that has been called "SPJ MODEL" S comes from Good Self. Maintaining a good self, the special branch police must adhere to. Makes people happy and happy. P stands for S Good People, which means occupy good people. There is a Dharma that is the location of mutual assistance, the Dharma that binds kindness. The principle of reigning in people's hearts and J from Good Job means occupying a good job. The Special Branch Police must be patient. perseverance sincerity to the people
หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้าง Visionary Leadership Skills ให้กับนักเรียนโดย Participatory Action Research (PAR) Methodology ซึ่งมีลักษณะเป็น Spiral Cycle ของ Planning, Acting, Observing, and Reflecting (PAOR) ในการวิจัยนี้คณะผู้วิจัยได้กำหนดการดำเนินงาน 2 วงจรๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงจากการปฏิบัติทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ดังนี้ 1) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับบุคคล คือ ผู้วิจัย 2) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับกลุ่ม คือ ผู้ร่วมวิจัย 3) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับหน่วยงาน คือ โรงเรียน และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของโรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร ซึ่งกำหนดเป็นพื้นที่ในการวิจัย มีครูเป็นผู้ร่วมวิจัย 12 คน และมีนักเรียนเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา 425 คน ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือนักเรียนมีค่าเฉลี่ยจากผลการประเมิน Visionary Leadership Skills เปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติวงจรที่ 2 ที่สูงขึ้นตามลำดับ ผู้ร่วมวิจัยและนักเรียนได้รับผลกระทบหรือผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดหวัง นอกจากนั้นคณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษายังเกิดการเรียนรู้และได้บทเรียนเป็นองค์ความรู้จากการปฏิบัติเรียกว่า “โมเดล 6 พลังขับที่ส่งผลต่อความสำเร็จในโครงการ Practicing Collaborative Teachers to Strengthen Students’ Visionary Leadership Skills”
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้าง Visionary Leadership Skills ให้กับนักเรียนโดย Participatory Action Research (PAR) Methodology ซึ่งมีลักษณะเป็น Spiral Cycle ของ Planning, Acting, Observing, and Reflecting (PAOR) ในการวิจัยนี้คณะผู้วิจัยได้กำหนดการดำเนินงาน 2 วงจรๆ ละ 1 ภาคการศึกษาในปีการศึกษา 2564 โดยคาดหวังผลจากการพัฒนา 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงจากการปฏิบัติทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ดังนี้ 1) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับบุคคล คือ ผู้วิจัย 2) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับกลุ่ม คือ ผู้ร่วมวิจัย 3) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระดับหน่วยงาน คือ โรงเรียน และองค์ความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติในบริบทเฉพาะของโรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร ซึ่งกำหนดเป็นพื้นที่ในการวิจัย มีครูเป็นผู้ร่วมวิจัย 12 คน และมีนักเรียนเป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา 425 คน ผลการวิจัยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวัง คือนักเรียนมีค่าเฉลี่ยจากผลการประเมิน Visionary Leadership Skills เปรียบเทียบ 3 ระยะ คือ ก่อนและหลังการปฏิบัติในวงจรที่ 1 และหลังการปฏิบัติวงจรที่ 2 ที่สูงขึ้นตามลำดับ ผู้ร่วมวิจัยและนักเรียนได้รับผลกระทบหรือผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดหวัง นอกจากนั้นคณะผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษายังเกิดการเรียนรู้และได้บทเรียนเป็นองค์ความรู้จากการปฏิบัติเรียกว่า “โมเดล 6 พลังขับที่ส่งผลต่อความสำเร็จในโครงการ Practicing Collaborative Teachers to Strengthen Students’ Visionary Leadership Skills”
This research aimed at strengthening the visionary leadership skills of students through Participatory Action Research (PAR) methodology, which is a spiral cycle of Planning, Acting, Observing, and Reflecting (PAOR). In this study, the researchers conducted this investigation over the course of two cycles, each cycle lasting one semester during the Academic Year of 2021. Three outcomes of the development were expected: 1) changes would arise from both anticipated and unanticipated practices; 2) the learning would be obtained from practices at the researcher level, the group level (the co-researchers), and the organizational level (school); and 3) knowledge would be gained from the practice in the specific context of Phayakkhaphum wittayakarn School (the research area). There were 12 teachers, who served as co-researchers, and 425 students, who made up the target group for the development. The research results contributed to the anticipated changes. In other words, the students had higher average scores from the results of the visionary leadership skills assessment after the 3 phases were compared: before the 1st cycle, after the 1st cycle, and after the 2nd cycle, respectively. In addition, the co-researchers and the students were exposed to unanticipated effects. Furthermore, the research team, the co-researchers, and the school learned lessons from the practice, which is considered as the knowledge called “Model 6 Driving Forces that Affect Success” of the project entitled, ‘Teachers Practicing Collaboratively to Strengthen Student's Visionary Leadership Skills’
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่ในการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี 2. เพื่อศึกษาแนวทางในการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร มีมีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม จำนวน 35 รูป/คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า สภาพพื้นที่การขับเคลื่อนโดยนำชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าชุมชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ชุมชนชาวพุทธล้านนาชาวพื้นเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพอพยพมาจากที่อื่นและอยู่ในอำเภอสารภี ซึ่งแต่ละชุมชนต่างก็มีวิถีชุมชนแตกต่างกัน การแต่งกาย ภาษาและมีวิถีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าได้รับความร่วมมือจากชุมชนทุกฝ่ายทั้งบ้าน องค์กรวัฒนธรรม และชุมชนเป็นอย่างดียิ่ง เพราะทุกฝ่ายมีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา จึงให้ความร่วมมือและมุ่งมั่นในการสืบสานรักษาชุมชนวิถีพุทธให้มีความเข้มแข็งทางวัฒนประเพณีสืบไป รูปแบบการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าผู้นำชุมชนวิถีพุทธต่างมีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนาและมองเห็นความสำคัญของวิถีวัฒนธรรมชุมชนไปในทิศทางเดียวกัน จึงก่อให้เกิดพลังสามัคคีรวมใจร่วมสืบสานอนุรักษ์ รักษา ต่อยอดวัฒนธรรมท้องถิ่นให้มั่นคงถาวรสืบไปได้ องค์ความรู้ที่เกิดจากการวิจัย ได้แก่ M=FCCP Model หมายถึง M=Mobilization คือพลังแห่งการขับเคลื่อนชุมชน F= Faith หมายถึง พลังแห่งความศรัทธามุ่งมั่นในการสร้างสรรคุณงามความดี C= Co-operation หมายถึงพลังแห่งความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันทุกฝ่าย C= Cultures หมายถึง ประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามของชุมชนที่ต้องอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด P= Peace หมายถึงชุมชนมีความสุขกาย สุขใจ และมีความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตก่อให้เเกิดสันติสุขในชุมชนขึ้น
ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่ในการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี 2. เพื่อศึกษาแนวทางในการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยเอกสาร มีมีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม จำนวน 35 รูป/คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า สภาพพื้นที่การขับเคลื่อนโดยนำชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าชุมชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ชุมชนชาวพุทธล้านนาชาวพื้นเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพอพยพมาจากที่อื่นและอยู่ในอำเภอสารภี ซึ่งแต่ละชุมชนต่างก็มีวิถีชุมชนแตกต่างกัน การแต่งกาย ภาษาและมีวิถีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าได้รับความร่วมมือจากชุมชนทุกฝ่ายทั้งบ้าน องค์กรวัฒนธรรม และชุมชนเป็นอย่างดียิ่ง เพราะทุกฝ่ายมีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา จึงให้ความร่วมมือและมุ่งมั่นในการสืบสานรักษาชุมชนวิถีพุทธให้มีความเข้มแข็งทางวัฒนประเพณีสืบไป รูปแบบการขับเคลื่อนชุมชนวิถีพุทธด้วยการมีส่วนร่วมพลัง บ-ว-ช ในอำเภอสารภี พบว่าผู้นำชุมชนวิถีพุทธต่างมีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนาและมองเห็นความสำคัญของวิถีวัฒนธรรมชุมชนไปในทิศทางเดียวกัน จึงก่อให้เกิดพลังสามัคคีรวมใจร่วมสืบสานอนุรักษ์ รักษา ต่อยอดวัฒนธรรมท้องถิ่นให้มั่นคงถาวรสืบไปได้ องค์ความรู้ที่เกิดจากการวิจัย ได้แก่ M=FCCP Model หมายถึง M=Mobilization คือพลังแห่งการขับเคลื่อนชุมชน F= Faith หมายถึง พลังแห่งความศรัทธามุ่งมั่นในการสร้างสรรคุณงามความดี C= Co-operation หมายถึงพลังแห่งความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันทุกฝ่าย C= Cultures หมายถึง ประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามของชุมชนที่ต้องอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด P= Peace หมายถึงชุมชนมีความสุขกาย สุขใจ และมีความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตก่อให้เเกิดสันติสุขในชุมชนขึ้น
The objectives of this dissertation are: 1. To study the area conditions in driving a Buddhist community with the participation of the Power of Bor in Saraphi District 2. To study the approaches for driving the Buddhist community with the participation of Power VA-CH in Saraphi District 3. To present a model for mobilizing the Buddhist community with the participation of the power of VA-CH in Saraphi District. There are in-depth interviews. and group discussion of 35 photos/person by analyzing descriptive data. The results showed that The conditions of the area driven by the Buddhist community with the participation of Palang Bor-Wor Chor in Saraphi District found that most communities believe in Buddhism, divided into 2 groups: the Lanna Buddhist community and the indigenous people. and ethnic groups who migrated from other places and lived in Saraphi District Each community has its own way of life, dress, language and unique culture. To drive the Buddhist community through participation in the Power of Bor-Wor Chor in Saraphi District, it was found that it received cooperation from all parties of the community, including the house. cultural organization and the community very well Because all parties have strong faith in Buddhism. Therefore cooperate and strive to preserve the Buddhist community to have a strong cultural tradition. The model for driving the Buddhist way of life community with the participation of Palang Bor-Wor Chor in Saraphi District found that the leaders of the Buddhist way of life community had strong faith in Buddhism and saw the importance of community way of life in the same direction. therefore resulting in the power of unity and unity to continue, preserve, preserve and extend the local culture to be permanently stable. The knowledge gained from research is the M=FCCP Model, which means M=Mobilization. is the power of driving the community. F= Faith means the power of faith and determination to create virtue. C= Co-operation means the power of unity and cooperation from all parties. C= Cultures means the cultural traditions that Community virtue that needs to be preserved, carried on and further developed. P=Peace means that the community is happy physically and mentally and has peace and safety in life, leading to peace in the community.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ในการทำวิจัยดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการสื่อสารในสังคมบริโภคนิยม 2) เพื่อศึกษาการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยม 3) เพื่อบูรณาการการสื่อสารในสังคมบริโภคนิยมด้วยการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิต 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การบูรณาการการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยม”เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12รูป/คน ได้นำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์อภิปรายผลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารในสังคมบริโภคนิยมเป็นการสื่อสารผ่านการใช้อินเตอร์เน็ต เป็นสังคมบริโภคนิยมแบบออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน (GEN Y) สื่อเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน และเกิดเป็นตลาดบนสื่อออนไลน์การใช้ชีวิตได้รับอิทธิพลจากสื่อโฆษณาเกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเชิงกระตุ้นการเสพหรือใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ การบริโภคนิยมแบบสัญญะ คือค่านิยมสื่อสินค้าราคาแพง การรับสื่อโฆษณาผ่านสัมผัสทั้ง 5 ตามเทคนิคการตลาดทางประสาทสัมผัส (Sensory Marketing) การสื่อสารเชิงพุทธเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนั้น ๆ สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ถูกต้อง มีความมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด และได้รับผลจากการปฏิบัติเป็นความสุข เทคนิคการสื่อสารใช้หลักปาฏิหาริย์ทั้ง 3 คือ ใช้ฤทธิ์ ใช้ความรู้ใจผู้อื่น และใช้เหตุผลที่พิสูจน์ได้ เครื่องมือสื่อสารมีพัฒนาการมาเป็นลำดับตั้งแต่ทางวาจา วัสดุอุปกรณ์ทางธรรมชาติ จนถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการสื่อสารเชิงพุทธ คือ โยนิโสมนสิการ (ความคิด) ปาริสุทธิศีล 4 (ตัวควบคุม) อัตถะ 3 (ประโยชน์ใช้สอย) และวจีสุจริต (พูดดี) ชีวิตที่ตั้งอยู่บนการสื่อสารเชิงพุทธจึงมีดุลยภาพในทุกรูปแบบของสังคม การบูรณาการการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยมทำได้ 5 มิติ คือ 1) การมีหลักคิด สำรวมระวังการเสพรูปลักษณ์ ใช้ปัจจัย 4 อย่างมีสติและปัญญา 2) การเลือกฟังสิ่งที่ควรฟัง ฟังสิ่งที่ดีมีสาระประโยชน์ในการเสพเสียง 3) การรู้จักสำรวมระวังกลิ่นหอมที่สูดเข้าไปทำให้ติดใจ และทำให้ไม่พอใจเมื่อสูดกลิ่นเหม็น ต้องไม่ดิ้นรนขวนขวายให้ได้มาตามกลิ่น 4) การรู้จักเลือกบริโภคแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่บริโภคอาหารที่แพงเกินปกติ มีความรู้ในการเสพรสชาติ และ 5) การใช้สติไม่ติดการเสพสัมผัสค่านิยมความหรูหราที่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้คือ สื่อสารอย่างถูกต้อง มีความระมัดระวัง มีสติปัญญาเสพสัมผัสทั้ง 5 ในสังคมบริโภคนิยมแบบคิดถึงประโยชน์ย่อมทำให้มีดุลยภาพชีวิต เรียกว่า WISDOM Model
ดุษฎีนิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ในการทำวิจัยดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการสื่อสารในสังคมบริโภคนิยม 2) เพื่อศึกษาการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยม 3) เพื่อบูรณาการการสื่อสารในสังคมบริโภคนิยมด้วยการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิต 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การบูรณาการการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยม”เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12รูป/คน ได้นำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์อภิปรายผลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารในสังคมบริโภคนิยมเป็นการสื่อสารผ่านการใช้อินเตอร์เน็ต เป็นสังคมบริโภคนิยมแบบออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน (GEN Y) สื่อเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน และเกิดเป็นตลาดบนสื่อออนไลน์การใช้ชีวิตได้รับอิทธิพลจากสื่อโฆษณาเกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเชิงกระตุ้นการเสพหรือใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ การบริโภคนิยมแบบสัญญะ คือค่านิยมสื่อสินค้าราคาแพง การรับสื่อโฆษณาผ่านสัมผัสทั้ง 5 ตามเทคนิคการตลาดทางประสาทสัมผัส (Sensory Marketing) การสื่อสารเชิงพุทธเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนั้น ๆ สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ถูกต้อง มีความมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด และได้รับผลจากการปฏิบัติเป็นความสุข เทคนิคการสื่อสารใช้หลักปาฏิหาริย์ทั้ง 3 คือ ใช้ฤทธิ์ ใช้ความรู้ใจผู้อื่น และใช้เหตุผลที่พิสูจน์ได้ เครื่องมือสื่อสารมีพัฒนาการมาเป็นลำดับตั้งแต่ทางวาจา วัสดุอุปกรณ์ทางธรรมชาติ จนถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการสื่อสารเชิงพุทธ คือ โยนิโสมนสิการ (ความคิด) ปาริสุทธิศีล 4 (ตัวควบคุม) อัตถะ 3 (ประโยชน์ใช้สอย) และวจีสุจริต (พูดดี) ชีวิตที่ตั้งอยู่บนการสื่อสารเชิงพุทธจึงมีดุลยภาพในทุกรูปแบบของสังคม การบูรณาการการสื่อสารเชิงพุทธเพื่อดุลยภาพชีวิตในสังคมบริโภคนิยมทำได้ 5 มิติ คือ 1) การมีหลักคิด สำรวมระวังการเสพรูปลักษณ์ ใช้ปัจจัย 4 อย่างมีสติและปัญญา 2) การเลือกฟังสิ่งที่ควรฟัง ฟังสิ่งที่ดีมีสาระประโยชน์ในการเสพเสียง 3) การรู้จักสำรวมระวังกลิ่นหอมที่สูดเข้าไปทำให้ติดใจ และทำให้ไม่พอใจเมื่อสูดกลิ่นเหม็น ต้องไม่ดิ้นรนขวนขวายให้ได้มาตามกลิ่น 4) การรู้จักเลือกบริโภคแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่บริโภคอาหารที่แพงเกินปกติ มีความรู้ในการเสพรสชาติ และ 5) การใช้สติไม่ติดการเสพสัมผัสค่านิยมความหรูหราที่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้คือ สื่อสารอย่างถูกต้อง มีความระมัดระวัง มีสติปัญญาเสพสัมผัสทั้ง 5 ในสังคมบริโภคนิยมแบบคิดถึงประโยชน์ย่อมทำให้มีดุลยภาพชีวิต เรียกว่า WISDOM Model
The objectives of this dissertation are as follows: 1) to study communication in a consumerism society; 2) to study Buddhist communication for the balance of life in a consumerism society; 3) to integrate Buddhist communication for life balance with communication in a consumerism society, and 4) to present guidelines and knowledge about “Integration of Buddhist communication for life balance in a consumerism society”. It is a qualitative research by which all data were collected from the Tipitaka, related research documents and in-depth interviews with 12 key-informants. The data were analyzed, synthesized and presented in a descriptive approach. The results showed that: Communication in a consumerism society is through the use of the Internet network. The online consumerism is popular especially among teenagers and working people (GEN Y). These media have become a part of people's lives and it became a market on online media as well. Life is influenced by advertising media, resulting in imitative behavior that stimulates consumption or spending money to buy goods and services. A sign consumerism is the trend of media to show expensive products. Receiving advertising media through all 5 senses according to sensory marketing techniques is promoted. Buddhist communication emphasized a clear understanding of the subject which can be properly practiced. It is the right confidence that you will not make a mistake but have the happy results. Communication techniques are based on the 3 miracle principles: using power, using knowledge of knowing other people's thinking and using provable reasons. Buddhist communication tools have evolved gradually from verbal communication, natural materials and to modern technology. The Buddhist principles can be applied in Buddhist communication are Yonisomanasikãra (thinking), Pãrisuddhi-sĩla (control), Attha (usefulness), and Vacĩ-sucarita (good speech), Life based on the mentioned communication is balanced in all forms of society. The integration of Buddhist communication for life balance in a consumerism society can be accomplished in 5 dimensions: 1) being mindful and aware in using four requisites; 2) choosing what to listen, and listen to good things; 3) beware of good and bad smells that arouse desires and attachment; 4) choosing what to be eaten and consumed suitable to one’s health and status; and 5) being mindful on consuming things that may cause trouble to oneself and others. The body of knowledge can be summarized into a model called the WISDOM Model which consists of right communication, to be careful, to be mindful and careful in consuming through all 5 senses in a utilitarian approach.
หนังสือ

    การศึกษาวิจัยเรื่อง นิรุตติปฏิสัมภิทา : ความแตกฉานในวาทกรรมตามที่ปรากฏในมิลินท ปัญหา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา 3) เพื่อสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหา” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบเอกสาร (Documentary Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลเอกสารจากมิลินทปัญหา พระไตรปิฎก และอรรถกถา มีการเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 13 รูป/คน และเสวนากลุ่ม (Focus group discussion) จํานวน 7 รูป ผลการวิจัยพบว่า การใช้วาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาในคัมภีร์พระวินัยปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่อการแสดงธรรมและบัญญัติพระวินัย ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่อการแสดงการปฏิบัติธรรมทุกระดับโดยมีเนื้อเรื่องประกอบการแสดงธรรม ในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่ออธิบายสภาวะปรมัตถ์ คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นการใช้วาทกรรมลักษณะตั้งคำถามและให้คำตอบตามประเด็นความหมาย ลักษณะ อาการ อานิสงส์ คุณและโทษ ในคัมภีร์มงคลทีปนีเป็นการใช้วาทกรรมอธิบายวิธีปฏิบัติตนต่อบุคคล สังคมและการพัฒนาจิตเป็นลำดับ ส่วนในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทเป็นการใช้วาทกรรมอธิบายบทคาถาที่ยกตั้งไว้โดยมีนิทานประกอบ การใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหามีรูปแบบโต้ตอบปัญหาธรรมระหว่าง พระนาคเสนกับพระยามิลินท์มี 3 ลักษณะ คือ 1) คำถามธรรมดา 2) คำถามปัญหาเงื่อนเดียว 3) คำถามปัญหาสองเงื่อน นิรุตติปฏิสัมภิทาในที่นี้เน้นการใช้ภาษาอธิบายให้ผู้ถามและผู้ตอบเข้าใจกันและกันทันทีผ่านการยกอุปมาอุปมัยอันเป็นจุดเด่น มีการตีความตามนัยแห่งคัมภีร์เนตติปกรณ์และมีอำนาจชี้นำให้ผู้ร่วมสนทนาเข้าใจตามหลักตรรกะภายใต้ลักษณะถามตอบ 7 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบอธิบายสมมติปรมัตถ์ 2) รูปแบบอธิบายสภาวธรรม 3) รูปแบบอธิบายอานิสงส์ 4) รูปแบบใช้ตรรกะ 5) รูปแบบอุปมาอุปมัย 6) รูปแบบใช้อุปกรณ์อธิบาย และ 7) รูปแบบให้แนวทางปฏิบัติ การสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหาสามารถทำได้เริ่มจาก 1. การใช้คำที่ถูกต้องเหมาะสมสนับสนุนเหตุผลในการสนทนาจนเป็นที่เข้าใจ 2. การยกเหตุผลอุปมาเทียบเคียงให้เข้ากันได้ตามบริบท 3. กำหนดภาษาสมมติปรมัตถ์ให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน 4. ทำองค์รวมของคำพูดให้ครบ คือ ประเด็นแห่งวาทกรรม มีบทตั้งและบทแย้ง ควบคุมประเด็น ยกอุปมาประกอบและสรุปเป็นความรู้ ความเข้าใจในการสนทนา สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ได้ดังนี้ ยกประเด็นปัญหา ตั้งสมมติฐาน แลกเปลี่ยนอย่างมีเอกภาพ มีตัวอย่างเชิงประจักษ์และสรุปเป็นผลลัพธ์วาทกรรม เรียกว่า PHUSA Model
การศึกษาวิจัยเรื่อง นิรุตติปฏิสัมภิทา : ความแตกฉานในวาทกรรมตามที่ปรากฏในมิลินท ปัญหา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษาการใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา 3) เพื่อสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ “การสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหา” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบเอกสาร (Documentary Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลเอกสารจากมิลินทปัญหา พระไตรปิฎก และอรรถกถา มีการเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 13 รูป/คน และเสวนากลุ่ม (Focus group discussion) จํานวน 7 รูป ผลการวิจัยพบว่า การใช้วาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาในคัมภีร์พระวินัยปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่อการแสดงธรรมและบัญญัติพระวินัย ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่อการแสดงการปฏิบัติธรรมทุกระดับโดยมีเนื้อเรื่องประกอบการแสดงธรรม ในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกเป็นการใช้วาทกรรมเพื่ออธิบายสภาวะปรมัตถ์ คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นการใช้วาทกรรมลักษณะตั้งคำถามและให้คำตอบตามประเด็นความหมาย ลักษณะ อาการ อานิสงส์ คุณและโทษ ในคัมภีร์มงคลทีปนีเป็นการใช้วาทกรรมอธิบายวิธีปฏิบัติตนต่อบุคคล สังคมและการพัฒนาจิตเป็นลำดับ ส่วนในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทเป็นการใช้วาทกรรมอธิบายบทคาถาที่ยกตั้งไว้โดยมีนิทานประกอบ การใช้นิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหามีรูปแบบโต้ตอบปัญหาธรรมระหว่าง พระนาคเสนกับพระยามิลินท์มี 3 ลักษณะ คือ 1) คำถามธรรมดา 2) คำถามปัญหาเงื่อนเดียว 3) คำถามปัญหาสองเงื่อน นิรุตติปฏิสัมภิทาในที่นี้เน้นการใช้ภาษาอธิบายให้ผู้ถามและผู้ตอบเข้าใจกันและกันทันทีผ่านการยกอุปมาอุปมัยอันเป็นจุดเด่น มีการตีความตามนัยแห่งคัมภีร์เนตติปกรณ์และมีอำนาจชี้นำให้ผู้ร่วมสนทนาเข้าใจตามหลักตรรกะภายใต้ลักษณะถามตอบ 7 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบอธิบายสมมติปรมัตถ์ 2) รูปแบบอธิบายสภาวธรรม 3) รูปแบบอธิบายอานิสงส์ 4) รูปแบบใช้ตรรกะ 5) รูปแบบอุปมาอุปมัย 6) รูปแบบใช้อุปกรณ์อธิบาย และ 7) รูปแบบให้แนวทางปฏิบัติ การสร้างความแตกฉานในวาทกรรมเชิงนิรุตติปฏิสัมภิทาที่ปรากฏในมิลินทปัญหาสามารถทำได้เริ่มจาก 1. การใช้คำที่ถูกต้องเหมาะสมสนับสนุนเหตุผลในการสนทนาจนเป็นที่เข้าใจ 2. การยกเหตุผลอุปมาเทียบเคียงให้เข้ากันได้ตามบริบท 3. กำหนดภาษาสมมติปรมัตถ์ให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน 4. ทำองค์รวมของคำพูดให้ครบ คือ ประเด็นแห่งวาทกรรม มีบทตั้งและบทแย้ง ควบคุมประเด็น ยกอุปมาประกอบและสรุปเป็นความรู้ ความเข้าใจในการสนทนา สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ได้ดังนี้ ยกประเด็นปัญหา ตั้งสมมติฐาน แลกเปลี่ยนอย่างมีเอกภาพ มีตัวอย่างเชิงประจักษ์และสรุปเป็นผลลัพธ์วาทกรรม เรียกว่า PHUSA Model
The objectives of the research on Niruttipatisambhidã : Constructing Discourse Skills as Depicted in the Milindapañhã were as follows: 1) to study the use of nirutti-patisampita in Buddhist scriptures, 2) to study the use of Niruttipatisambhidã appearing in the Milindapañhã, 3) to create proficiency in the Niruttipatisambhidã discourse appeared in the Milindapañhã, and 4) to present guidelines and create a body of knowledge about “Creating proficiency in the Niruttipatisambhidã Discourse appeared in the Milindapañhã”. The data were collected from Milindapañhã, Tipitaka, Commentaries, in-depth interviews with 13 experts, and focus group discussions with 7 key-informants. The results showed that: The use of discourse in philological analysis in the Vinaya Pitaka scriptures is to teach the Dharma and set forth the codes of training. In the Suttanta Pitaka scriptures, discourses are used to illustrate levels of dhamma practice with a story accompanying the dhamma teaching. In the Abhidhamma Pitaka, discourse is used to explain the paramattha state, i.e. mind, cetasika, rupa, and nibbana. In Visuddhimagga, the discourse is used in setting up questions and giving answers relevant to the questions. In Mangalatthadipani, the discourse is used to explain how to behave oneself towards a person, society and mental development respectively. As for the Dhammapada Commentaries, discourses are used to explain the incantations that have been set up with accompanying tales. The use of Niruttipatisambhidã in the Milindapañhã scriptures obtained from the conversion in Dhamma between Venerable Nagasena and King Milinda has 3 types: 1) ordinary questions, 2) single-knot questions, and 3) double-knot questions. Niruttipatisambhidã here emphasizes the use of language to explain to the questioner and the respondents understand each other immediately through the use of prominent metaphors. There are interpretations according to the meaning of the netitaka and has the power to lead the participants to understand according to logic under 7 forms of questions and answers, namely 1) the form explaining the supposition of the supreme reality, 2) the form explaining the Dhamma, 3) the form explaining the virtues, 4) the logic-based style, 5) the metaphorical style, 6) the descriptive style, and 7) the practical style. Building proficiency in the Narrative Interaction discourse that appears in Milindapañhã can be started from: 1. The use of proper words to support the reason in the conversation until it is understood, 2. The use of comparative reason according to the contexts, 3. Formulate hypothetical language to understand in one direction, and 4. To set up the holistic view of expressions consisting of chapters and arguments, control point, take a parable and summarize it as knowledge understand in conversations. The knowledge obtained from the study can be synthesized into a model called the PHUSA Model consisting of Raise issues, formulate assumptions, Exchange in unity, Empirical examples and Summary of discourse outcomes.
หนังสือ

    การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2) เพื่อศึกษาความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก 3) เพื่อเสริมสร้างแนวทางความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก และ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบเอกสาร (Documentary Qualitative Research) โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก และอรรถกถา และมีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 15 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นแนวคิดจิตวิทยาสังคมและการสร้างเงื่อนไขทางสังคมโดยเน้นการทำประโยชน์แก่สังคม ทฤษฎีปิรามิดที่มีต่อความรับผิดชอบทางสังคม ทฤษฎีกระจกเงาช่วยให้เข้าใจตนเองและปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับผู้อื่นได้ ทฤษฎีเกมส์ช่วยให้เข้าใจการรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ในสังคมในฐานะนักแสดงบทบาท รวมทั้งแนวคิดตัดสินใจกระทำ ทำให้เห็นภาพของความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในฐานะคนในสังคมเป็นอย่างดี แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่จึงเป็นสิ่งที่ต้องรับรู้ นำไปปฏิบัติเพื่อส่งผลต่อเป้าหมายของหน้าที่ที่ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดกทั้ง 10 ชาติ ได้แก่พระเตมีย์ พระมหาชนก พระสุวรรณสาม พระเนมิราช พระมโหสถ พระภูริทัต พระจันทกุมาร พระนารทพรหม พระวิธูรบัณฑิต และพระเวสสันดร ทรงรับผิดชอบหน้าที่ตามบารมีที่ทรงบำเพ็ญ ได้แก่ เนกขัมมะ วิริยะ เมตตา อธิษฐาน ปัญญา ศีล ขันติ อุเบกขา สัจจะ และทาน ผลจากความรับผิดชอบหน้าที่สามารถพัฒนาสติปัญญาจนสำเร็จตามปณิธานแห่งพระโพธิสัตว์ แนวทางเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดกสามารถทำได้ใน 7 ประเด็น คือ ความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ครู อาจารย์ รัฐ พระพุทธศาสนาและผู้ต้องการความช่วยเหลือ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ต้องทำด้วยจิตสำนึก มีระเบียบวินัยในตนเอง รักษาและพัฒนามาตรฐานความรับผิดชอบเชิงระบบ ทำเพื่อ เจริญรุ่งเรืองแห่งมนุษยชาติและสังคมด้วยเคารพสิทธิของผู้อื่น สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้คือการทำประโยชน์ แผ่ไปสู่สังคมไม่มีขอบเขตและมีความสุขทุกกิจกรรม เรียกว่า BODHI Model
การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2) เพื่อศึกษาความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก 3) เพื่อเสริมสร้างแนวทางความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก และ 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดก” ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบเอกสาร (Documentary Qualitative Research) โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก และอรรถกถา และมีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 15 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นแนวคิดจิตวิทยาสังคมและการสร้างเงื่อนไขทางสังคมโดยเน้นการทำประโยชน์แก่สังคม ทฤษฎีปิรามิดที่มีต่อความรับผิดชอบทางสังคม ทฤษฎีกระจกเงาช่วยให้เข้าใจตนเองและปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับผู้อื่นได้ ทฤษฎีเกมส์ช่วยให้เข้าใจการรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ในสังคมในฐานะนักแสดงบทบาท รวมทั้งแนวคิดตัดสินใจกระทำ ทำให้เห็นภาพของความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในฐานะคนในสังคมเป็นอย่างดี แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่จึงเป็นสิ่งที่ต้องรับรู้ นำไปปฏิบัติเพื่อส่งผลต่อเป้าหมายของหน้าที่ที่ทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดกทั้ง 10 ชาติ ได้แก่พระเตมีย์ พระมหาชนก พระสุวรรณสาม พระเนมิราช พระมโหสถ พระภูริทัต พระจันทกุมาร พระนารทพรหม พระวิธูรบัณฑิต และพระเวสสันดร ทรงรับผิดชอบหน้าที่ตามบารมีที่ทรงบำเพ็ญ ได้แก่ เนกขัมมะ วิริยะ เมตตา อธิษฐาน ปัญญา ศีล ขันติ อุเบกขา สัจจะ และทาน ผลจากความรับผิดชอบหน้าที่สามารถพัฒนาสติปัญญาจนสำเร็จตามปณิธานแห่งพระโพธิสัตว์ แนวทางเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามวิถีพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในมหานิบาตชาดกสามารถทำได้ใน 7 ประเด็น คือ ความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ครู อาจารย์ รัฐ พระพุทธศาสนาและผู้ต้องการความช่วยเหลือ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ต้องทำด้วยจิตสำนึก มีระเบียบวินัยในตนเอง รักษาและพัฒนามาตรฐานความรับผิดชอบเชิงระบบ ทำเพื่อ เจริญรุ่งเรืองแห่งมนุษยชาติและสังคมด้วยเคารพสิทธิของผู้อื่น สังเคราะห์เป็นองค์ความรู้คือการทำประโยชน์ แผ่ไปสู่สังคมไม่มีขอบเขตและมีความสุขทุกกิจกรรม เรียกว่า BODHI Model
The objectives of this dissertation are; 1) to study the concepts and theories about responsibility and duty, 2) to study the duty responsibility through the Bodhisattva way as depicted in the Mahānipāta Jātaka, 3) to strengthen the responsibility in the way of the Bodhisattva as depicted in the Mahānipāta Jātaka, and 4) to present guidelines for building a body of knowledge about “A Guideline Responsibility Enhancement According to the way of life of Bodhisattvas as Depicted in MahānipātaJātaka”. This research is a documentary qualitative research by which all data were collected from the Tipitaka, Commentaries and in-depth interviews with 15 key informants. The results showed that: The concepts and theories concerning responsibility are theory of social psychology and social conditioning with a focus on doing good to society. Theory of pyramid helps to create social responsibility, mirror’s theory helps to understand oneself and behave with others appropriately, game theory helps to understand social responsibility as a role-player, and the idea of action decisions that gives a good picture of the responsibility of duty as a person in society. Concepts and theories about accountability are therefore something that must be studied, trained, practiced, and recognized in order that everyone will obtain co-benefits from duty responsibilities. Responsibilities and duties of the Bodhisattvas that appear in the 10 Mahānipāta Jātakas, namely Temiya, Mahajanaka, Suvannasama, Nemiraja, Mahosatha, Bhuridatta, Chandakumara, Naradabrahma, Vidhurapandita, and Vessantara. They took responsibilities and duties based on the ten perfections. They are Nekkhamma, Viriya, Metta, Adhitthana, Panna, Sila, Khanti, Upekkha, Sacca, and Dhana. The results of responsibility lead to development of wisdom and the fulfillment of vows of the Bodhisattvas. Guidelines for enhancing responsibility and duties according to the Bodhisattva way as depicted in the Mahānipāta Jātaka can be identified in 7 items; responsibility towards one's own role, towards family, towards colleagues, towards teachers, towards the country, towards Buddhism, and towards those who need help. All responsibilities can be done by a sense of responsibility to perform duties, creating self-discipline, maintaining and developing standards of responsibility quality, working with a systematic understanding, and respecting the rights of others for the prosperity of humanity and society, using perfections as a condition for responsibility, doing benefits to society without boundaries and being happy in all activities. The knowledge from the research can be synthesized into the BODHI Model.
หนังสือ

    การศึกษาวิจัยเรื่อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเยาวชนด้วยกระบวนการกล่อมเกลาจิตในพระพุทธศาสนา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา 3) เพื่อบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชนด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบการบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 13 รูป/คน และได้นำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์อภิปรายผลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเยาวชน สามารถกระทำโดยการเสริมแรงทางบวก ได้แก่ การให้คำชม ให้ความรัก การให้ทำกิจกรรมที่ชอบ และการเสริมแรงทางลบ ได้แก่ การให้คำชมเมื่อเด็กกลับถึงบ้านเร็วขึ้น การแสดงการเพิกเฉยกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ การให้ความรู้ใหม่ที่ดี ถูกต้อง การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ผู้ปกครอง มีส่วนทำให้พฤติกรรมของเด็กมีแนวโน้มจะดีขึ้น รวมถึงการสั่งสอนด้วยการทำให้ดู ทำให้เด็กเชื่อฟังได้มากกว่าการสั่งสอนด้วยวาจา การลงโทษนั้น หากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรใช้อารมณ์ ควรให้เด็กรู้เหตุผลและยอมรับ สำนึกผิด วิธีการลงโทษ ได้แก่ การดุว่า การหักค่าขนม ความสามารถในการควบคุมตนเอง กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถในการพัฒนาตนเองและศักยภาพขั้นสูงของมนุษย์ หลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ สัลเลขธรรมในสัลเลขสูตร โดยได้นำเฉพาะบางหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการขัดเกลาพฤติกรรมของเยาวชน อันได้แก่ หลักสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูก ความเห็นตรง) (สัมมัตตะ 10 ในอริยมรรคมีองค์ 8) เบี่ยงเลี่ยงทางผิดสู่ทางที่ถูก ขัดเกลาทักษะกระบวนการคิด, ศีล 5 (กุศลกรรมบถ 10) ขัดเกลาการมีวินัยต่อตนเอง และหน้าที่, หิริโอตตัปปะ (สัทธรรม 7) ขัดเกลาความซื่อสัตย์สุจริต, ปัญญา (สัทธรรม 7) ขัดเกลาการอยู่อย่างพอเพียง ให้ประหยัด อดออม กิเลสความโลภ โกรธ หลงเบาบางและหมดไปในที่สุด และศรัทธา (สัทธรรม 7) ขัดเกลาให้มีจิตสาธารณะในการเจริญกุศลต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม รู้จักให้ แบ่งปัน และเสียสละ การบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นการนำเอาหลักการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ตามแนวคิดทฤษฎีตะวันตกและนักวิชาการไทย บูรณาการกับหลักธรรมขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา (สัลเลขธรรมในสัลเลขสูตร) เพื่อให้ได้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างจิตสำนึก การทำตามต้นแบบ กิจกรรมเชิงประจักษ์ และการตระหนักรู้คุณค่าในตนเอง รูปแบบการบูรณาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ได้องค์ความรู้ คือ CIEASSHPS Model
การศึกษาวิจัยเรื่อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเยาวชนด้วยกระบวนการกล่อมเกลาจิตในพระพุทธศาสนา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน 2) เพื่อศึกษาหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา 3) เพื่อบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชนด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา 4) เพื่อนำเสนอแนวทางและองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบการบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 13 รูป/คน และได้นำข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์อภิปรายผลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเยาวชน สามารถกระทำโดยการเสริมแรงทางบวก ได้แก่ การให้คำชม ให้ความรัก การให้ทำกิจกรรมที่ชอบ และการเสริมแรงทางลบ ได้แก่ การให้คำชมเมื่อเด็กกลับถึงบ้านเร็วขึ้น การแสดงการเพิกเฉยกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ การให้ความรู้ใหม่ที่ดี ถูกต้อง การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ผู้ปกครอง มีส่วนทำให้พฤติกรรมของเด็กมีแนวโน้มจะดีขึ้น รวมถึงการสั่งสอนด้วยการทำให้ดู ทำให้เด็กเชื่อฟังได้มากกว่าการสั่งสอนด้วยวาจา การลงโทษนั้น หากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรใช้อารมณ์ ควรให้เด็กรู้เหตุผลและยอมรับ สำนึกผิด วิธีการลงโทษ ได้แก่ การดุว่า การหักค่าขนม ความสามารถในการควบคุมตนเอง กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถในการพัฒนาตนเองและศักยภาพขั้นสูงของมนุษย์ หลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ สัลเลขธรรมในสัลเลขสูตร โดยได้นำเฉพาะบางหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการขัดเกลาพฤติกรรมของเยาวชน อันได้แก่ หลักสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูก ความเห็นตรง) (สัมมัตตะ 10 ในอริยมรรคมีองค์ 8) เบี่ยงเลี่ยงทางผิดสู่ทางที่ถูก ขัดเกลาทักษะกระบวนการคิด, ศีล 5 (กุศลกรรมบถ 10) ขัดเกลาการมีวินัยต่อตนเอง และหน้าที่, หิริโอตตัปปะ (สัทธรรม 7) ขัดเกลาความซื่อสัตย์สุจริต, ปัญญา (สัทธรรม 7) ขัดเกลาการอยู่อย่างพอเพียง ให้ประหยัด อดออม กิเลสความโลภ โกรธ หลงเบาบางและหมดไปในที่สุด และศรัทธา (สัทธรรม 7) ขัดเกลาให้มีจิตสาธารณะในการเจริญกุศลต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม รู้จักให้ แบ่งปัน และเสียสละ การบูรณาการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นการนำเอาหลักการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ตามแนวคิดทฤษฎีตะวันตกและนักวิชาการไทย บูรณาการกับหลักธรรมขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา (สัลเลขธรรมในสัลเลขสูตร) เพื่อให้ได้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างจิตสำนึก การทำตามต้นแบบ กิจกรรมเชิงประจักษ์ และการตระหนักรู้คุณค่าในตนเอง รูปแบบการบูรณาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ด้วยหลักธรรมในการขัดเกลาพฤติกรรมทางพระพุทธศาสนา ได้องค์ความรู้ คือ CIEASSHPS Model
The research on “Desirable Behavior Modification of Youths by Mental Refining Process in Buddhism” aims to study the modification of youths’ behavior, the Dharma in behavior refining in Buddhism, to integrate the modification of the youths’ behavior by using Dhamma as a refining process, and to purpose the guideline and the new knowledge of “The Integrated Model of the Modification of the Youths’ Behavior by Using Dharma”. This research applied a qualitative research design. The data of this documentary research were collected from the Tipitaka, academic documents and previous research works, interviewing with 13 Buddhist experts, then interpreted, and analyzed as a descriptive report. The results of the study indicated that: Desirable behavior modification of youths can be done by showing the positive reinforcement, such as giving love, compliment, and favorite activities, ignoring some of inappropriate behaviors, and giving a good advice, righteousness and model. A good role model is better than verbal teaching. Penalty and emotional expression should be avoided as much as possible. Children should be encouraged to understand by reason and responsibility in order to show that they have ability of improve themselves and they have high potential of human resource development. The Buddhist Dhamma in behavior refining is Sanleka Dharmma in Sanleka Sutra. Some Dhamma principles are used in refining the youths’ behaviors. They are the Right View, Five Sila, Hiri and Ottappa, Panna, and Saddha. The integration of the youths’ behavior modification by using Dhamma as a refining process which is similar to the western and Thai thinking theories because it refines the youth’s behavior by integrating the mental refining process in Buddhism in order to derive the youths’ behavior modification model by using Sanleka Dhamma in Sanleka Sutra. The result also impacted the youths’ awareness, role model, empirical activities and self-efficacy. As the result, the integration of the youths’ behavior modification model is called “CIEASSHPS MODEL”.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอนาคตภาพการบริหารเชิงกลยุทธ์โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยครอบคลุมกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ด้านหลักการสำคัญ ด้านการกำหนดทิศทาง ด้านการประเมินองค์กรและสภาพแวดล้อม ด้านการกำหนดกลยุทธ์ ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และด้านการประเมินผลและการควบคุม มีผู้ทรงคุณวุฒิให้ข้อมูลจำนวน 21 คน ใช้เทคนิค การวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่ ค่ามัธยฐาน (Median) ค่าฐานนิยม (Mode) และการวัดการกระจาย คือค่าพิสัยควอไทล์ (Interquartile Range) ผลการวิจัยพบว่า: 1. หลักการสำคัญ(key principles) พบว่า นำสารสนเทศที่เป็นข้อมูลที่มีปริมาณมาก (Big data) มาใช้ในกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ สร้างวิสัยทัศน์ร่วม(Shared Vision)ระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ นำระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดทิศทาง ประเมินสภาพแวดล้อม กำหนดกลยุทธ์ นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และประเมินผลและควบคุม คำถึงนโยบายสาธารณะ(Public Policy) สอดคล้องกับโครงสร้างของประชากรที่มีขนาดลดลง ควบคุมและประเมินผลใช้การวิเคราะห์ข่ายงานด้วยเทคนิคการหาเส้นทางวิกฤต(Critical Path Method : CPM) และใช้กระบวนการบริหารเชิงระบบ(System Approach) มีกระบวนการสร้างความสอดคล้องในการปฏิบัติ (Harmony) 2. การกำหนดทิศทาง(Direction Setting) พบว่า กำหนดทิศทางด้วยปัจจัยสู่ความสำเร็จด้วยความเห็นร่วมของบุคคลในสถานศึกษา สรรหาทรัพยกรบุคคลที่มีความพร้อมในการพัฒนาตนเองให้มีความทันสมัย มีความยืดหยุ่น มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง กำหนดเป็นเจตนารมณ์เชิงกลยุทธ์(Strategic Intent) มีความชัดเจนสามารถมองเห็นเป้าหมายปลายทางที่ต้องการ มีความสอดคล้องกับปรัชญาทางการศึกษา กรอบทิศทางและแนวทางการดำเนินการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาประเทศ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าหมายเพื่อวัดผลความสำเร็จ(Objective key result : OKRs) คำนึงถึงนโยบายของทุกระดับ ระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีความสอดคล้องกับบรรทัดฐาน(Norm) ของสังคม 3. การประเมินองค์กรและสภาพแวดล้อม(Environment Scanning) พบว่า ประเมินเพื่อให้ทราบสถานะต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ประเมินกายภาพให้มีความเหมาะสม เพียงพอ ทันสมัยและรองรับยุคดิจิทัล ประเมินปัจจัยทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง นวัตกรรมใหม่ ๆ วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสถานศึกษา ได้แก่ วัฒนธรรมทางสังคม (Sociocultural) เทคโนโลยี (Technological) เศรษฐกิจ (Economic) การเมืองและกฎหมาย (Political-Legal) วิเคราะห์ค่านิยมส่วนบุคคล กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจ(personal values) วิเคราะห์ จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) โอกาส (Opportunity) และอุปสรรค(Threat)เพื่อปรับตัวและรับมือกับเหตุการณ์และความเสี่ยง วิเคราะห์ตัวสถานศึกษาเกี่ยวกับการบริหารในสภาพปัจจุบัน 4.
ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอนาคตภาพการบริหารเชิงกลยุทธ์โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยครอบคลุมกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ด้านหลักการสำคัญ ด้านการกำหนดทิศทาง ด้านการประเมินองค์กรและสภาพแวดล้อม ด้านการกำหนดกลยุทธ์ ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และด้านการประเมินผลและการควบคุม มีผู้ทรงคุณวุฒิให้ข้อมูลจำนวน 21 คน ใช้เทคนิค การวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่ ค่ามัธยฐาน (Median) ค่าฐานนิยม (Mode) และการวัดการกระจาย คือค่าพิสัยควอไทล์ (Interquartile Range) ผลการวิจัยพบว่า: 1. หลักการสำคัญ(key principles) พบว่า นำสารสนเทศที่เป็นข้อมูลที่มีปริมาณมาก (Big data) มาใช้ในกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ สร้างวิสัยทัศน์ร่วม(Shared Vision)ระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ นำระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดทิศทาง ประเมินสภาพแวดล้อม กำหนดกลยุทธ์ นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และประเมินผลและควบคุม คำถึงนโยบายสาธารณะ(Public Policy) สอดคล้องกับโครงสร้างของประชากรที่มีขนาดลดลง ควบคุมและประเมินผลใช้การวิเคราะห์ข่ายงานด้วยเทคนิคการหาเส้นทางวิกฤต(Critical Path Method : CPM) และใช้กระบวนการบริหารเชิงระบบ(System Approach) มีกระบวนการสร้างความสอดคล้องในการปฏิบัติ (Harmony) 2. การกำหนดทิศทาง(Direction Setting) พบว่า กำหนดทิศทางด้วยปัจจัยสู่ความสำเร็จด้วยความเห็นร่วมของบุคคลในสถานศึกษา สรรหาทรัพยกรบุคคลที่มีความพร้อมในการพัฒนาตนเองให้มีความทันสมัย มีความยืดหยุ่น มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง กำหนดเป็นเจตนารมณ์เชิงกลยุทธ์(Strategic Intent) มีความชัดเจนสามารถมองเห็นเป้าหมายปลายทางที่ต้องการ มีความสอดคล้องกับปรัชญาทางการศึกษา กรอบทิศทางและแนวทางการดำเนินการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาประเทศ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าหมายเพื่อวัดผลความสำเร็จ(Objective key result : OKRs) คำนึงถึงนโยบายของทุกระดับ ระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีความสอดคล้องกับบรรทัดฐาน(Norm) ของสังคม 3. การประเมินองค์กรและสภาพแวดล้อม(Environment Scanning) พบว่า ประเมินเพื่อให้ทราบสถานะต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ประเมินกายภาพให้มีความเหมาะสม เพียงพอ ทันสมัยและรองรับยุคดิจิทัล ประเมินปัจจัยทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง นวัตกรรมใหม่ ๆ วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสถานศึกษา ได้แก่ วัฒนธรรมทางสังคม (Sociocultural) เทคโนโลยี (Technological) เศรษฐกิจ (Economic) การเมืองและกฎหมาย (Political-Legal) วิเคราะห์ค่านิยมส่วนบุคคล กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจ(personal values) วิเคราะห์ จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) โอกาส (Opportunity) และอุปสรรค(Threat)เพื่อปรับตัวและรับมือกับเหตุการณ์และความเสี่ยง วิเคราะห์ตัวสถานศึกษาเกี่ยวกับการบริหารในสภาพปัจจุบัน 4.
การกำหนดกลยุทธ์(Strategic Formulation) พบว่า กำหนดให้มีปรัชญาใหม่ ๆ ที่ใช้เป็นแนวทางที่สามารถทำให้ผู้เรียนชอบและมีความสุขและสนุกสนานและอยากเรียนรู้ตลอดชีวิต ปลด ลดงาน ที่เป็นภาระของครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน แนวคิดเชิงระบบ คิดบวก คิดเชิงรุกและคิดเชิงบูรณาการ มีความท้าทายเชิงกลยุทธ์(Strategic Challenges) มีแนวทางที่จะทำให้บรรลุถึงภารกิจหลักที่ตั้งไว้บนรากฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง(Fact - based) เป็นแนวทางพื้นฐานทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตในโลกของยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิต(Technology Disruption) สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์แบบพลิกผัน (Disruptive Change) สร้างทางเลือกอย่างสร้างสรรค์และหลากหลายพร้อมทั้งข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ ความเหมาะสมและความสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา 5. การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ(Strategic Implementing) พบว่า ให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน พัฒนาระบบทรัพยากรมนุษย์ให้รองรับกับแผนกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นให้สามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดขั้นตอนการทำงาน เลือกใช้แอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่มีความเหมาะสม นำกลยุทธ์รวมขององค์กรแต่ละสายงานแต่ละฝ่ายไปกระจายเป็นแผนกลยุทธ์ระดับหน่วยงานเป็นแผนแม่บท(Master Plan) ติดตามเป็นระบบและปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์ใช้แนวคิดและวิธีวงจรคุณภาพในการกำกับติดตามแผนและปรับปรุงพัฒนา ปรับใช้วิธีการตั้งวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญ(KORs) สร้างความรู้สึกร่วมที่จะทำให้เป้าหมายบรรลุผลสำเร็จ นำแผนแม่บท(Master Plan)มาแยกย่อยให้กลายเป็นเป็นแผนปฏิบัติการ(Action Plan)ที่ชัดเจน ใช้ภาวะผู้นำ(Leadership) ในการสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กรให้ไปในทิศทางการปฏิบัติตามกลยุทธ์ 6. การประเมินผลและการควบคุม(Evaluation and Control) พบว่า ประเมินผลเพื่อให้เกิดการพัฒนาโดยประเมินความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ติดตามและตรวจสอบปัญหา กำหนดแนวทางปรับปรุง และพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง การควบคุมกลยุทธ์ให้มีความยืดหยุ่น ข้อมูลถูกต้อง และทันเวลา กำหนดสิ่งที่จะวัด กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน วัดการปฏิบัติงานจริง เปรียบเทียบการปฏิบัติงานจริงกับมาตรฐานและปฏิบัติการแก้ไข การกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นทางการ (Formal Target Setting) การตรวจสอบ (Monitoring) การประเมินผล (Evaluation) และข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ใช้ข้อมูลอนาคตเข้าไปกำหนดเป็นตัวควบคุม”(Feedforward Control) ซึ่งจะเป็นการควบคุมก่อนการปฏิบัติตามกลยุทธ์ (Pre-action Control) โดยใช้ข้อมูลอนาคต ตรวจสอบกิจกรรมและผลการปฏิบัติงานนำมาเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานจริง (Actual Performance) กับผลการดำเนินงานที่ตั้งความมุ่งหวังไว้(Desired Performance) นำไปแก้ไข(Take Corrective Action) ประเมินจาก Outcome ใช้ข้อมูลนี้เปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่วางแผนไว้ในขั้นตอนการกำหนดกลยุทธ์ ประเมินผลปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor : KSF) ด้วยดัชนีชี้วัดความสำเร็จ(Key Performance Indicator : KPI ) เป็นการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้รับกับเป้าหมายที่วางไว้ว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ การยอมรับ มีกระบวนการติดตามอย่างเป็นระบบ รายไตรมาส และเพิ่มพื้นที่พูดคุยอย่างเป็นระบบระหว่างปีเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้ทันตามความจำเป็น
This dissertation aims to study the scenario of strategic management of government schools under The Bangkok Metropolitan Administration. This study comprehensively investigates strategic management processes, organizational direction, organizational and environmental assessment, strategic formulation, strategic implementation, and strategic evaluation and control. The participants were 21 experts in this field, and the methodology applied in this study was Ethnographic Delphi Futures Research (EDFR) technique. The finding of the study revealed that: 1. Principles: Big data can create a shared vision between policy actors and policy leaders in strategic management processes. Considering the population decline, an Artificial Intelligence System (AI) should be applied to analyze the data for determining the organizational direction, evaluating the environment, developing strategies, implementing strategies, and assessing and controlling as per Public Policy. Critical Path Method (CPM), System Approach, and Harmony Method are applied to analyze the job field. 2. Determining direction: Establishing a successful direction should consist of accepting the individuals’ opinions in educational institutions and recruiting flexible and adaptable employees. They should be specified as clear strategic intent and desired goals and be consistent with the educational philosophy, framework, and direction of the implemented fundamental education and national development. In addition, determining direction should consider world changes. To establish Objective Key Results (OKRs) should be concentrated on policies at all levels, regulations, and laws that are relevant to the norms of society. 3. Assessing the organization and environment: Evaluation is the process of understanding the condition and reducing risk. Physical assessment should be appropriate, modern, and adaptive in digital transformation and be relevant to technology and innovation. Physical evaluation should be proper, up-to-date, and adaptive in digital transformation and be relevant to technology and innovation. The factors that affect educational institutions should be analyzed: sociocultural, technological, economic, political-legal, personal values, strengths, weaknesses, opportunities, current management in an educational situation, and threats for adapting and dealing with problems and risks. 4. Strategy Formulation: Formulating new philosophy can help learners be happy, have fun learning, and desire to learn throughout their entire lives. Formulating a strategy should include layoff and burdensome work reduction. There are higher-order thinking skills in strategic challenges. In addition, there is a path to achieve the principal mission based on fact-based information as an elementary approach to enabling children to live in a world of technology disruption. These can create competitive advantage, flexibility, and adaptability to disruptive changes. Moreover, this strategy can make creative and diverse choices with advantages, disadvantages, possibilities, appropriateness, and consistency within the school context. 5. Strategy Implementation: Strategy implementation should be active, fast, and consistent with the current situation. Human resources should be developed to support the strategic plan created to be able to operate efficiently. Technology should be adopted to reduce the working process by choosing the appropriate application or software. The combination strategy of each organization should be distributed to an agency-level strategic plan as a Master Plan. Quality control cycle concepts and methods are used to supervise, monitor plans and improve development. Objectives and key outcome methods (KORs) are deployed to create a sense of strategy to achieve the goal. The Master Plan should be divided into a clear action plan. Leadership is applied to influence members' conduct of the organization to the direction of strategic implementation. 6. Evaluation and control: Principal purposes of the evaluation are to develop, monitor, investigate issues, and determine guidelines for improvement and development according to the real situation by evaluating opinions from stakeholders. Evaluation and control should be flexible, controlled, accurate and timely information. It is significant to determine what to assess, set performance standards, evaluate authentic performance, and compare actual performance standards with corrective action. There should be formal target setting, monitoring, evaluation, and feedback. Feedforward control is applied to control pre-action control and investigate activities and performance for comparing actual performance with desired performance. Corrective action is assessed by the outcome to compare the actual performance with the planned strategy process. The Key Success Factor (KSF) is evaluated by using Key Performance Indicator (KPI). It compares achieved results with the appropriate goals, possibilities, and acceptance. There should be a quarterly systematic monitoring process and dialogue space during the year for changing the set goals as needed
หนังสือ

    การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อได้ตัวแปรของการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และ 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยใช้วิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 364 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น (Opinionnaire) แบบตรวจสอบรายการพร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.985 เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่า ได้ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มี 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร 2. วิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติจาก 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร เหลือ 4 องค์ประกอบ 50 ตัวแปร ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสถานศึกษา มี 10 ตัวแปร 2) การกำหนดทิศทางของสถานศึกษา มี 14 ตัวแปร 3) การนำแผนกลยุทธ์ไปใช้ในสถานศึกษา มี 17 ตัวแปร และ4) การควบคุมและประเมินแผนกลยุทธ์สถานศึกษา มี 9 ตัวแปร 3.การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อได้ตัวแปรของการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และ 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยใช้วิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 364 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น (Opinionnaire) แบบตรวจสอบรายการพร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.985 เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่า ได้ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มี 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร 2. วิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติจาก 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร เหลือ 4 องค์ประกอบ 50 ตัวแปร ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสถานศึกษา มี 10 ตัวแปร 2) การกำหนดทิศทางของสถานศึกษา มี 14 ตัวแปร 3) การนำแผนกลยุทธ์ไปใช้ในสถานศึกษา มี 17 ตัวแปร และ4) การควบคุมและประเมินแผนกลยุทธ์สถานศึกษา มี 9 ตัวแปร 3.การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
This purpose of this research were as follows: 1) to get the components from strategic administration for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division 2) Analyze components and draft a strategic administration model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division and 3) to evaluate and affirm a strategic administration model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division. The mixed research methodology was used in the study. The data were collected by questionnaires with reliability at 0.985, item checklist with suggestions from experts and checklist forms from 364 samples consisting of school directors and teachers in Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division. The were collected from January 2022 to December 2022 and analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, exploratory factor analysis. 1. The components of Strategic Administration for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division consist of 5 components and 112 variables. 2. Strategic Administration Model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division according to the concept of Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division from exploratory factor analysis (EFA) has 4 main components; 1) an analysis of the educational school's environment, there were 10 variables. 2) setting the direction of the educational school, there were 14 variables. 3) implementing the strategic plan in the educational schools, there were 17 variables. and 4) controlling and evaluating the plan. academy strategy, there were 9 variables. 3. The evaluation and confirmation of model from experts in its were at 100 verification of acceptable range of accuracy, suitability, possibility, and practicality.