การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 63 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น(Reliability) เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่า t–test (Independent Sample) และ F–test (One way ANOVA) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ คือ การสร้างโอกาสทางการศึกษา รองลงมา คือ การสร้างความเข้มแข็งและความพรอมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน การสร้างโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน การสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก การส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา และโดยรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นต่อการดำเนินการตามแนวทาง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก ของเพศชายและเพศหญิง ด้านการสร้างโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 สรุปได้ดังนี้ 1) การสร้างโอกาสทางการศึกษา ควรร่วมมือกันในการสร้างความเป็นเลิศในทุกๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรวม การใช้สื่อนวัตกรรมที่สามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก 3) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรจัดให้มีการจัดตารางการเรียนการสอนในระดับชั้นเดียวกันให้ตรงกันทุกโรงเรียนในเครือข่ายหรือโรงเรียนที่อยู่ใกล้กันแล้วจัดการหมุนเวียนเข้าเรียนในแต่ละวัน 4) ด้านการสร้างความเข้มแข็งและความพรอมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 63 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น(Reliability) เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่า t–test (Independent Sample) และ F–test (One way ANOVA) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ คือ การสร้างโอกาสทางการศึกษา รองลงมา คือ การสร้างความเข้มแข็งและความพรอมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์การทำงาน การสร้างโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน การสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก การส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา และโดยรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นต่อการดำเนินการตามแนวทาง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก ของเพศชายและเพศหญิง ด้านการสร้างโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ 16 โคกนาคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 สรุปได้ดังนี้ 1) การสร้างโอกาสทางการศึกษา ควรร่วมมือกันในการสร้างความเป็นเลิศในทุกๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรวม การใช้สื่อนวัตกรรมที่สามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก 3) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรจัดให้มีการจัดตารางการเรียนการสอนในระดับชั้นเดียวกันให้ตรงกันทุกโรงเรียนในเครือข่ายหรือโรงเรียนที่อยู่ใกล้กันแล้วจัดการหมุนเวียนเข้าเรียนในแต่ละวัน 4) ด้านการสร้างความเข้มแข็งและความพรอมในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก
โรงเรียนขนาดเล็กทุกโรงในเครือข่ายจะต้องมีการบริหารจัดการด้านวิชาการร่วมกัน และพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรวมคละชั้นให้กับครูทุกคน และ 5) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา โรงเรียนขนาดเล็กทุกโรงเรียนในเครือข่ายจะต้องร่วมกันประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการที่ประสบผลสำเร็จให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบ และจะต้องหาช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างแท้จริง
The objectives of the research were 1) to study the guidelines for developing education quality of small-sized schools in the sixteenth education development center of Khok Nakhum under the jurisdiction of the Office of Primary Education Service, Roi Et Area 2, 2) to compare the attitude of the executives and teachers toward the guidelines for developing education quality of the said small-sized schools, classified by gender, position and job experience, and 3) to find out the suggestions and recommendations about the guidelines for developing education quality of the small-sized schools as earlier mentioned. The samples were 63 administrators and teachers in the said schools, who were selected via the means of simplistic sampling based on the Krejcie and Morgan table. The five-rating scale questionnaire was used as a tool to collect the data, with its content validity in the range of 0.67 – 1.00 and its reliability at 0.96. The statistical devices used for data analysis consisted of Frequency, Percentage, Mean (), S.D., t – test (Independent Samples) and F – test (One–way ANOVA). The research results were as follows: 1) The guidelines for developing education quality of small-sized schools in the sixteenth education quality center of Khok Nakhum under the jurisdiction of the Office of Primary Education Service, Roi Et Area 2 were found , in an overall aspect, to exist at the ‘MUCH’ level. Taking into account the individual aspect, the item that stood on top of the scale was the aspect of opportunity extension, followed by the enhancement of strength and readiness for administration of small-sized schools, and the sustainable and effective development of administration and management system, respectively. 2) The comparison of the attitude of the executives and teachers toward the guidelines for developing education quality of the said small-sized schools, classified by gender, position and job experience, was found, in an overall aspect, to feature no statistically significant difference in such fields as opportunity extension, quality and standards development, sustainable and effective development of administration and management system, enhancement of strength and readiness for administration of small-sized schools and promotion of multi-participation. The different attitude of male and female gender was found in the aspect of opportunity extension which showed the statistically significant difference at .05. 3) The recommendations suggested by the correspondents were the following: (1) As for the opportunity extension, all the small-sized schools in the network should cooperate in promotion of excellences in all fields, especially the pupil care aspect. (2) As for the quality and standards development, the research on the classroom pool arrangement and the innovative media to increase the pupils’ effectiveness. (3) The sustainable and effective development of administration and management system required all the schools in the network to design the identical time table for rotation of class attendances. (4) The enhancement of strength and readiness for administration of small-sized schools recommended all the schools to cooperate in academic administration and cross-class teaching management on the part of teachers. (5) As regards the promotion of multi-participation, all the schools were required to publicize their own successful performances and find out the channels of public relations which were able to meet with the public interest.