Search results

89 results in 0.1s

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษา ความหลงในพระพุทธศาสนา 3) เพื่อวิเคราะห์การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา พบว่าความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดแก่ผู้ใดย่อมนำความทุกข์สู่ชีวิตทั้งปัจจุบัน ถึงอนาคต หากไม่สามารถแก้ไขมิจฉาทิฏฐิอันนำไปสู่ความเห็นอันดิ่งลงยากจะถอนออกที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ หลักธรรมที่ใช้สลัดมิจฉาทิฏฐิ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หรือความเห็นที่ถูก สัมมาทิฏฐิจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย 2 อย่าง คือ 1) ปรโตโฆสะหรือกัลยาณมิตร การได้ฟังสิ่งที่ดีงามจากบุคคลอื่น และ 2) โยนิโสมนสิการ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างมีระบบ, ต้องฝึกตนเองด้วยสมาธิ โดยมีสติเป็นผู้ควบคุมทำให้เกิดปัญญา และสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นย่อมสลัดมิจฉาทิฏฐิได้ ความหลงในพระพุทธศาสนา พบว่าความหลง(โมหะ)เป็นหนึ่งในอกุศลมูล ถือว่าเป็นอกุศลมูลตัวสำคัญที่หนุนนำให้อกุศลมูลตัวอื่นเกิดขึ้น ความหลง (โมหะ) มีความหมายหยาบกว่า อวิชชาความไม่รู้ในอริยะสัจ ความหลง จะกำจัดยากเพราะความหลงเป็นอาการจิตที่มืดบอดการกระทำใด ๆ อย่างไร้สติอันตรายมีโทษมาก และคลายช้า โทษที่เกิดในภพหน้าของมนุษย์ที่มีความหลง (โมหะ) ย่อมไปสู่ภพสัตว์เดรัจฉาน ความเห็นผิดหรือความเห็นที่วิปริต วิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ย่อมมีความหลงเป็นตัวหนุนนำจึงเกิดความเห็นผิด ทำให้เห็นว่าความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) มีความหมายที่หยาบกว่า ความหลง (โมหะ) การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานของความเห็นผิด พบว่าสามารถแก้ใขได้ด้วยหลักปัญญา 3 ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระบบดังนี้ 1.ระบบการศึกษา (สุตมยปัญญา) 2.ระบบการใช้หลักเหตุผล (จินตามยปัญญา) 3.ระบบการพิสูจน์ตรวจสอบ (ภาวนามยปัญญา) 4.ระบบควบคุม (สติ,สัมปชัญญะ,อัปมาทะ) เป็นต้น
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา 2) เพื่อศึกษา ความหลงในพระพุทธศาสนา 3) เพื่อวิเคราะห์การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ตำราและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป ผลการวิจัยพบว่า : ความเห็นผิดในพระพุทธศาสนา พบว่าความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดแก่ผู้ใดย่อมนำความทุกข์สู่ชีวิตทั้งปัจจุบัน ถึงอนาคต หากไม่สามารถแก้ไขมิจฉาทิฏฐิอันนำไปสู่ความเห็นอันดิ่งลงยากจะถอนออกที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ หลักธรรมที่ใช้สลัดมิจฉาทิฏฐิ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หรือความเห็นที่ถูก สัมมาทิฏฐิจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย 2 อย่าง คือ 1) ปรโตโฆสะหรือกัลยาณมิตร การได้ฟังสิ่งที่ดีงามจากบุคคลอื่น และ 2) โยนิโสมนสิการ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย การคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างมีระบบ, ต้องฝึกตนเองด้วยสมาธิ โดยมีสติเป็นผู้ควบคุมทำให้เกิดปัญญา และสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นย่อมสลัดมิจฉาทิฏฐิได้ ความหลงในพระพุทธศาสนา พบว่าความหลง(โมหะ)เป็นหนึ่งในอกุศลมูล ถือว่าเป็นอกุศลมูลตัวสำคัญที่หนุนนำให้อกุศลมูลตัวอื่นเกิดขึ้น ความหลง (โมหะ) มีความหมายหยาบกว่า อวิชชาความไม่รู้ในอริยะสัจ ความหลง จะกำจัดยากเพราะความหลงเป็นอาการจิตที่มืดบอดการกระทำใด ๆ อย่างไร้สติอันตรายมีโทษมาก และคลายช้า โทษที่เกิดในภพหน้าของมนุษย์ที่มีความหลง (โมหะ) ย่อมไปสู่ภพสัตว์เดรัจฉาน ความเห็นผิดหรือความเห็นที่วิปริต วิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ย่อมมีความหลงเป็นตัวหนุนนำจึงเกิดความเห็นผิด ทำให้เห็นว่าความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) มีความหมายที่หยาบกว่า ความหลง (โมหะ) การแก้ไขความหลงในฐานะเป็นรากฐานของความเห็นผิด พบว่าสามารถแก้ใขได้ด้วยหลักปัญญา 3 ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระบบดังนี้ 1.ระบบการศึกษา (สุตมยปัญญา) 2.ระบบการใช้หลักเหตุผล (จินตามยปัญญา) 3.ระบบการพิสูจน์ตรวจสอบ (ภาวนามยปัญญา) 4.ระบบควบคุม (สติ,สัมปชัญญะ,อัปมาทะ) เป็นต้น
The objectives of this thesis are: 1) to study wrong views in Buddhism, 2) to study delusion in Buddhism, and 3) to analyze the correction of delusion as the foundation of wrong views in Buddhism. The data of this documentary qualitative study were collected from Buddhist scriptures, relevant texts and research papers. The results of the research were found that: In Buddhism, when the wrong view occurs to anyone, it will bring suffering to his life from now on and into the future. If the wrong view cannot be corrected, it will go so deep that it cannot be withdrawn and it is called Niyata Micchaditthi or permanent wrong view. This kind of wrong view is the root of the round of existences. The wrong view can be withdrawn by the principle of right view which occurs from 2 factors; 1) Paratoghosa or hearing and learning from others, and 2) Yonisomanasikara or systematic attention and analytical reflection. In Buddhism, delusion or Moha is one of unwholesome roots. Delusion is the main unwholesome causing other unwholesome to occur. Delusion has a more coarse meaning than ignorance. Delusion is difficult to get rid of because it is a blind mind. The results of any actions occurred from delusion can send the doers to the realm of the brute creation. The meaning of wrong view or Micchaditthi is shallower or rougher than the meaning of delusion or Moha because the wrong view is supported by delusion. The correction of delusions as the foundation of wrong views can be done by the 3 principles of wisdom divided into 4 systems; 1) Learning system or Sutamaya Panna, 2) Reasoning system or Cintamaya Panna, 3) Verifying system or Bhavanamaya Panna, and 4) Controlling system by mindfulness, clear comprehension and non-negligence.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาความขัดแย้ง 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง 3. เพื่อวิเคราะห์การแก้ปัญหาความขัดแย้งตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท มีการดำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบการวิจัยเอกสาร (Documentary Qualitative Research) ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารปฐมภูมิจากเอกสารขั้นต้น (Primary Sources) และขั้นรอง (Secondary Sources) นำเนื้อหามาวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นลำดับต่อไป ผลการวิจัย พบว่า ในทางปรัชญา มีความหมายในการแก้ปัญหาตามวิธีการของแต่ละสำนัก ปรัชญาตะวันตก เป็นการแก้ปัญหาด้วยหลักเหตุผล หลักกฎหมาย หลักการของศาสนา ส่วนในปรัชญาตะวันออกมีวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยการทำให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ศึกษาและทำความเข้าใจธรรมชาติมากที่สุด ให้อยู่กับธรรมชาติอย่างสันติสุข 1. การแก้ปัญหาความขัดแย้ง สภาพของความขัดแย้งที่เป็นทั้งสาเหตุและผลอยู่ในบุคคล ซึ่งความขัดแย้งหนึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งอีกเรื่องหนึ่งได้เสมอ ถ้าหากการแก้ปัญหาไม่ได้คำนึงถึงธรรมชาติของความขัดแย้งที่มีอยู่จากการเลือกใช้วิธีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ไม่เหมาะสม ซึ่งประเด็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ปัจจุบันนั้นได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ 1) ปัญหาความขัดแย้งภายในตนเอง 2) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ 3) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับองค์กร 4) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรกับองค์กร 2. หลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง จากการศึกษาสำรวจข้อมูลที่เกี่ยวกับหลักพุทธธรรมที่เหมาะสมในการนำมาแก้ปัญหาความขัดแย้ง ทั้งข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารทางวิชาการ พบว่าหลักพุทธปรัชญาที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาทั้ง 4 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1) การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในตนเอง ด้วยหลักธรรมขันติโสรัจจะ 2) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ด้วยหลักเบญจศีล-เบญจธรรม 3) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับองค์กร ด้วยหลักสาราณียธรรมและ 4) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรกับองค์กร ด้วยหลักอคติ 3.
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาความขัดแย้ง 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง 3. เพื่อวิเคราะห์การแก้ปัญหาความขัดแย้งตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท มีการดำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบการวิจัยเอกสาร (Documentary Qualitative Research) ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารปฐมภูมิจากเอกสารขั้นต้น (Primary Sources) และขั้นรอง (Secondary Sources) นำเนื้อหามาวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นลำดับต่อไป ผลการวิจัย พบว่า ในทางปรัชญา มีความหมายในการแก้ปัญหาตามวิธีการของแต่ละสำนัก ปรัชญาตะวันตก เป็นการแก้ปัญหาด้วยหลักเหตุผล หลักกฎหมาย หลักการของศาสนา ส่วนในปรัชญาตะวันออกมีวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยการทำให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ให้ศึกษาและทำความเข้าใจธรรมชาติมากที่สุด ให้อยู่กับธรรมชาติอย่างสันติสุข 1. การแก้ปัญหาความขัดแย้ง สภาพของความขัดแย้งที่เป็นทั้งสาเหตุและผลอยู่ในบุคคล ซึ่งความขัดแย้งหนึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งอีกเรื่องหนึ่งได้เสมอ ถ้าหากการแก้ปัญหาไม่ได้คำนึงถึงธรรมชาติของความขัดแย้งที่มีอยู่จากการเลือกใช้วิธีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ไม่เหมาะสม ซึ่งประเด็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ปัจจุบันนั้นได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ 1) ปัญหาความขัดแย้งภายในตนเอง 2) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ 3) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับองค์กร 4) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรกับองค์กร 2. หลักพุทธปรัชญาเถรวาทในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง จากการศึกษาสำรวจข้อมูลที่เกี่ยวกับหลักพุทธธรรมที่เหมาะสมในการนำมาแก้ปัญหาความขัดแย้ง ทั้งข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารทางวิชาการ พบว่าหลักพุทธปรัชญาที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาทั้ง 4 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1) การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในตนเอง ด้วยหลักธรรมขันติโสรัจจะ 2) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ด้วยหลักเบญจศีล-เบญจธรรม 3) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับองค์กร ด้วยหลักสาราณียธรรมและ 4) การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรกับองค์กร ด้วยหลักอคติ 3.
วิเคราะห์การแก้ปัญหาความขัดแย้งตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท สรุปได้ดังนี้ 3.1 การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในตัวเอง ใช้หลักขันติโสรัจจะ หมายถึงต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก อดทนต่อความอยาก อดทนต่อสิ่งยั่วยุทางวัตถุ ปฏิบัติตนด้วยความสงบเสงี่ยม ไม่แสดงอาการต่าง ๆ ที่ไม่น่าดู ให้ปรากฏแก่สาธารณะ เมื่ออดทนได้ ปัญหาความขัดแย้งภายในตัวเองก็จะบรรเทาบางลง 3.2 การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ใช้หลักเบญจศีลเบญจธรรม หมายถึง ศีลจะมีสาระที่มุ่งเพื่อการไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นขั้นต้นที่สุดของการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคม ที่เกื้อกูลของสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ส่วนตัว โดยขัดเกลาตนเองเพื่อจุดหมายที่จำเพาะมากยิ่งขึ้น 3.3 การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับองค์กร ใช้หลักสาราณียธรรม หมายถึง แนวทางปฏิบัติของผู้ที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ขนาดเล็ก เช่นครอบครัว จนถึงระดับประเทศชาติ วิถีชีวิตของสังคม เมื่อผูกพันอยู่กับหลักสาราณียธรรม จึงทำให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทอยู่อย่างสงบสุข 3.4 การปฏิบัติหน้าที่ โดยปราศจากความสำเอียงเพราะความชอบ เพราะความชัง เพราะความหลง และเพราะความกลัว ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง โดยการละเว้นจากอคติทั้ง 4 ประการ องค์กรแต่ละองค์กรก็จะมีความขัดแย้งลดลง มีผลทำให้สังคมสงบสุข และอยู่กันอย่างสันติต่อไป
The objectives of this thesis were : 1) to study conflict resolution 2) to study the Theravada Buddhist Philosophy involving conflict resolution 3) to analyze conflict resolution based on Theravada Buddhist Philosophy. The data acquired for this research was documentary qualitative research, which including both primary sources and secondary sources. Analysis of data was performed and presented in form of “Conflict resolution based on Theravada Buddhist Philosophy” The results of research were found that : The Philosophical aspects, the conflict resolution is differed among western philosophy schools. Mainly, resolution is based on principle of logic, law, and religion. On the other hand, conflict resolution in eastern philosophy uses principle of nature, harmonize with nature, understand it, and peacefully live within it. 1.The conflict resolution. The problem of the conflict is both cause and effect in a person. One conflict can always lead to another. If the solution does not take into account the nature of the conflict choosing to use improper conflict resolution solutions. The issues of conflicts that arise in human society today can be summarized as follow: 1) Self-conflict problem 2) Individual-to-Individual conflict problem 3) Organization–Individual conflict problem and 4)Organization-to-Organization conflict problem. 2.Theravada Buddhist Philosophy in resolving conflicts from the study to explore information about Buddhist principles suitable for solving conflicts. Both information from the Tripitaka, academic documents. The Buddhist philosophy is suitable for solving problems as follows: 1) Self-conflict resolution, using Khanti and Soracca 2)Individual-to-Individual conflict resolution, using Pañca-sila and Pañcadhamma 3) Organization–Individual conflict resolution, using Säranïyadhamma, 4) Organization-to-Organization conflict resolution, using Agati. 3.Analyze the conflicts resolution according to Theravada Buddhist philosophy summarized as follows 3.1. Self-conflict resolution, using Khanti and Soracca, which mean one must have tolerance toward hardship, desire, and materialistic seduction. Act with tranquility, does not express undesirable behavior in public. When the tolerance is achieved, self-conflict will be resolved. 3.2. Individual-to-Individual conflict resolution, using Pañca-sila and Pañca-dhamma. This means applying Sila into action, focusing on non-exploitation, which is the most basic step of shaping society’s environment, leading to coexistence, privacy, and self-realization. 3.3. Organization–Individual conflict resolution, using Säranïyadhamma, which mean behavioral guideline for members of the organization, starting from smallest such as family, to larger level like the nation. If society’s way of life is bound with Säranïyadhamma, members of society will live together in peace. 3.4. Organization-to-Organization conflict resolution, using Agati. This is the Dhamma of leader and commoner alike. Leaders of society should devote themselves to this virtue, since it mainly affects the core of management and administration. Understanding and applying Agati will yield positive effects toward ruling and governing, follow by the peace of society.
หนังสือ

    The objectives of this thesis were as follows 1) to study the using iddhipãda 4, 2) to study the using iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 january 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia, and 3) to analyze the value of using iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 january 1979 high school, siemreap province, The Kingdom of Cambodia. The thesis was the documentary qualitative research works focused on documentaries, studies mainly on the tipitaka, relating documentaries and relevant researches together with the interviews of the related experts. All of the data were then analyzed by content analysis, classified into system, concluded and presented in descriptive analysis The results of research were found as follows: 1. Using Iddhipãda 4 for the principle that can be applied in many different fields such as teaching and learning dharma practice working or iddhipãda 4. there are virtues: satisfaction, love in that. persistence is perseverance in that. Chitta is attention to that and focus is on the focus of that reason. 2. Using Iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 January 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia. Found that to improve the learning quality of students by using the Su Ji Pu Li method and to organize activities for students to thrive in cognitive, traits, and physical skills and apply them to their daily life. 3. The results of the analysis of the Using Iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 January 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia. to three for 1) higher learning value 2) school academic excellence value and 3) Integration of principles in learning.
The objectives of this thesis were as follows 1) to study the using iddhipãda 4, 2) to study the using iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 january 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia, and 3) to analyze the value of using iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 january 1979 high school, siemreap province, The Kingdom of Cambodia. The thesis was the documentary qualitative research works focused on documentaries, studies mainly on the tipitaka, relating documentaries and relevant researches together with the interviews of the related experts. All of the data were then analyzed by content analysis, classified into system, concluded and presented in descriptive analysis The results of research were found as follows: 1. Using Iddhipãda 4 for the principle that can be applied in many different fields such as teaching and learning dharma practice working or iddhipãda 4. there are virtues: satisfaction, love in that. persistence is perseverance in that. Chitta is attention to that and focus is on the focus of that reason. 2. Using Iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 January 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia. Found that to improve the learning quality of students by using the Su Ji Pu Li method and to organize activities for students to thrive in cognitive, traits, and physical skills and apply them to their daily life. 3. The results of the analysis of the Using Iddhipãda 4 for developing learning quality of student, 10 January 1979 high school, siemreap province, the kingdom of cambodia. to three for 1) higher learning value 2) school academic excellence value and 3) Integration of principles in learning.
TOC:
  • วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักอิทธิบาท 4 2) เพื่อศึกษาการใช้อิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา 10 มกราคม 1979 จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา และ 3) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าการใช้อิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน วิทยานิพนธ์นี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจาก พระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ นำมาวิเคราะห์จัดระบบหมวดหมู่แล้วสรุปผลการวิจัยนำเสนอแบบเชิงพรรณา ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักอิทธิบาท 4 คือ หลักธรรมที่เป็นบันไดแห่งความสำเร็จในการปฏิบัติกิจทุกอย่างประกอบด้วย ฉันทะ คือ ความพอใจในเรื่องที่เราจะทำ วิริยะ คือ ความเพียรไม่ท้อถอยในการประกอบกิจนั้น ๆ จิตตะ คือ เอาใจใส่ไม่ทอดทิ้งธุระในเรื่องนั้น ๆ และวิมังสา คือ การใช้ปัญญาพิจารณาตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบหาข้อยิ่งหย่อนเกินเลยบกพร่องหรือขัดข้องในกิจที่ทำ 2. การใช้อิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา 10 มกราคม 1979 จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เป็นการจัดการหลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้วิธีการ สุ จิ ปุ ลิ และจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีความเจริญงอกงามในด้านพุทธิพิสัย เจตพิสัย และทักษะพิสัยและนำไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน 3. ผลการวิเคราะห์คุณค่าการใช้อิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา 10 มกราคม 1979 จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา มี 3 ด้าน คือ 1) คุณค่าด้านการเรียนรู้ที่สูงขึ้น 2) คุณค่าด้านความเป็นเลิศด้านวิชาการของโรงเรียน และ 3) คุณค่าด้านการนำหลักธรรมไปบูรณาการในการเรียนรู้
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญากับยาเสพติดให้โทษ ๒) เพื่อศึกษาการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธปรัชญากับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ได้แก่ พระไตรปิฎก พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ เอกสารกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์แบบสร้างข้อสรุปอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า: ยาเสพติดให้โทษ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น มัชชะ เป็นของมึนเมา บัญญัติไว้ในหลักธรรมศีล ๕ การเสพยาเสพติดให้โทษเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นมูลแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย ก่อให้เกิดทุกข์ และเป็นมูลเหตุแห่งอาชญากรรมหลายชนิด หลักพุทธปรัชญากับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านจิตใจของเด็กและเยาวชน ให้มีสติ เกิดปัญญา นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษ ประกอบด้วยหลักพุทธปรัชญาเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ หลักอริยสัจ ๔ และหลักปฏิจจสมุปบาท หลักพุทธปรัชญาเพื่อการป้องกัน ได้แก่ หลักอบายมุข ๖, หลักทิศ ๖, หลักมิตรแท้มิตรเทียม, หลักหิริโอตตัปปะ และหลักโยนิโสมนสิการ เมื่อนำหลักพุทธปรัชญาเหล่านี้มาแก้ไขปัญหา เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ถึงเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหายาเสพติดให้โทษ สำรวมอายตนะให้ห่างไกลจากยาเสพติดให้โทษ เห็นโทษและพิษภัยของยาเสพติดให้โทษ ปลูกฝังค่านิยมที่ดี และความประพฤติที่ดี ช่วยให้เด็กและเยาวชนเกิดความละอายใจ มีวิจารณญาณที่ดี ในการตัดสินใจให้ห่างไกลจากปัญหายาเสพติดให้โทษได้
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาหลักพุทธปรัชญากับยาเสพติดให้โทษ ๒) เพื่อศึกษาการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธปรัชญากับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ได้แก่ พระไตรปิฎก พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ เอกสารกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชนในจังหวัดหนองคาย ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์แบบสร้างข้อสรุปอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า: ยาเสพติดให้โทษ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น มัชชะ เป็นของมึนเมา บัญญัติไว้ในหลักธรรมศีล ๕ การเสพยาเสพติดให้โทษเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นมูลแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย ก่อให้เกิดทุกข์ และเป็นมูลเหตุแห่งอาชญากรรมหลายชนิด หลักพุทธปรัชญากับการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษของเด็กและเยาวชน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านจิตใจของเด็กและเยาวชน ให้มีสติ เกิดปัญญา นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษ ประกอบด้วยหลักพุทธปรัชญาเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ หลักอริยสัจ ๔ และหลักปฏิจจสมุปบาท หลักพุทธปรัชญาเพื่อการป้องกัน ได้แก่ หลักอบายมุข ๖, หลักทิศ ๖, หลักมิตรแท้มิตรเทียม, หลักหิริโอตตัปปะ และหลักโยนิโสมนสิการ เมื่อนำหลักพุทธปรัชญาเหล่านี้มาแก้ไขปัญหา เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ถึงเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหายาเสพติดให้โทษ สำรวมอายตนะให้ห่างไกลจากยาเสพติดให้โทษ เห็นโทษและพิษภัยของยาเสพติดให้โทษ ปลูกฝังค่านิยมที่ดี และความประพฤติที่ดี ช่วยให้เด็กและเยาวชนเกิดความละอายใจ มีวิจารณญาณที่ดี ในการตัดสินใจให้ห่างไกลจากปัญหายาเสพติดให้โทษได้
The research has the objectives to study: 1) Buddhist principles and narcotics, 2) the methods to resolve narcotic problem of juveniles in Nongkhai province, 3) the analytical study of Buddhist principles to resolve narcotic problem in Nongkhai province. This research is qualitative research, and the researcher collected the information from various sources such as Buddhist scriptures, Narcotic Act, related laws with the narcotics and interviewed the people concerned with narcotic problem resolution in Nongkhai province. The researcher analyzed the document by inductive methodology. The results of research were found that: The narcotics in Buddhism is intoxicants in the five precepts. It causes the carelessness and unconsciousness. It is also the evil deed causing the suffering and criminal cases. Buddhist principles to resolve the narcotic problem emphasized on mind development consisting with consciousness that will lead to right performance. Buddhist principle to resolve narcotic problem such as the four noble truth, law of dependent origination. Buddhist principles to prevent narcotic problem consist of six vicious, six directions in Buddhism, true friend and false friend, shame and consciousness, and critical reflection. While applying Buddhist principles to solve the narcotic problem with juvenile, it led them to know the causes that motivated them to be addicted. Also, Buddhist principles led the juvenile to be ashamed and know the danger of narcotic.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคตามหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการการเรียนการสอนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา เป็นการศึกษา วิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรกลุ่มเป้าหมายเลือกแบบเจาะจง จำนวน 15 รูป/คน ประกอบไปด้วย ผู้บริหาร ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา จำนวน 5 รูป/คน ครูพี่เลี้ยงพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน จำนวน 3 คน ตัวแทนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน จำนวน 7 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า: 1. พระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมีหน้าที่และบทบาทด้านให้บริการวิชาการแก่สังคมมีคุณสมบัติที่ผ่านกระบวนการฝึกอบรมตามหลักสูตร ทำหน้าที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน เยาวชน และดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ได้เน้นวิชาชีพครู แต่เน้นทักษะการปฏิบัติบูรณาการพระพุทธศาสนาเข้าศิลปวัฒนธรรมประเพณี ศาสนพิธี สู่บ้าน วัด โรงเรียน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. ปัญหาอุปสรรคตามหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน คือด้านการศึกษาหลักสูตรพระสอนศีลธรรมยังไม่เข้าใจหลักสูตรที่อบรมเพราะมีระยะเวลาอบรมน้อยไป ด้านการสอนขาดความรู้เทคนิควิธีการสอน การเขียนแผนการสอน การนำเนื้อหาแผนการสอนไปใช่สื่อการสอน สื่อการสอนไม่ทันสมัยและไม่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ขาดการพัฒนาผลิตสื่อการสอน 3. แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ด้านการศึกษาควรยกระดับการศึกษาของตนเอง ควรพัฒนาหลักสูตรพระสอนศีลธรรม มีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสอนให้ทันสมัย ด้านการสอนควรมีหลักสูตรการสอนที่มีคุณภาพ มีวิธีการใช้สื่อการสอนที่หลากหลายทันสมัยเข้าสถานณ์การปัจจุบันและสอดคล้องกับเนื้อหารายวิชา
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคตามหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการการเรียนการสอนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา เป็นการศึกษา วิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรกลุ่มเป้าหมายเลือกแบบเจาะจง จำนวน 15 รูป/คน ประกอบไปด้วย ผู้บริหาร ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา จำนวน 5 รูป/คน ครูพี่เลี้ยงพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน จำนวน 3 คน ตัวแทนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน จำนวน 7 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า: 1. พระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมีหน้าที่และบทบาทด้านให้บริการวิชาการแก่สังคมมีคุณสมบัติที่ผ่านกระบวนการฝึกอบรมตามหลักสูตร ทำหน้าที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน เยาวชน และดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ได้เน้นวิชาชีพครู แต่เน้นทักษะการปฏิบัติบูรณาการพระพุทธศาสนาเข้าศิลปวัฒนธรรมประเพณี ศาสนพิธี สู่บ้าน วัด โรงเรียน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. ปัญหาอุปสรรคตามหน้าที่และบทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน คือด้านการศึกษาหลักสูตรพระสอนศีลธรรมยังไม่เข้าใจหลักสูตรที่อบรมเพราะมีระยะเวลาอบรมน้อยไป ด้านการสอนขาดความรู้เทคนิควิธีการสอน การเขียนแผนการสอน การนำเนื้อหาแผนการสอนไปใช่สื่อการสอน สื่อการสอนไม่ทันสมัยและไม่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ขาดการพัฒนาผลิตสื่อการสอน 3. แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ด้านการศึกษาควรยกระดับการศึกษาของตนเอง ควรพัฒนาหลักสูตรพระสอนศีลธรรม มีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสอนให้ทันสมัย ด้านการสอนควรมีหลักสูตรการสอนที่มีคุณภาพ มีวิธีการใช้สื่อการสอนที่หลากหลายทันสมัยเข้าสถานณ์การปัจจุบันและสอดคล้องกับเนื้อหารายวิชา
The objectives of this thesis were as follows; 1) to study the duties and roles of monks teaching morality in schools under 2) to study problems and obstacles in their duties and roles of monks teaching morality in schools under 3) to propose guidelines for development of teaching and learning management of monks teaching morality under It was a qualitative research with through specific selection of 15 people as target population comprising 5 executive administrators, lecturers and staff from Mahamakut Buddhist University; Lanna Campus, 5 mentors of monk teaching morality in schools and 7 representatives of monks teaching morality in schools. The research tools were in-depth interviews. The results of research were found that: 1. The monks teaching morality in schools had duties and roles in providing academic service to society. They were qualified through the training process according to the curriculum and they served to instill morals and ethics to students and youth and lived as a good example. They did not focus on teaching profession, but on practical skills in integration of Buddhism into arts, culture, traditions and religious ceremonies in houses, temples and schools for maximum benefit. 2. Problems and obstacles in the duties and roles monks teaching morality in schools were that in terms of education, the monks did not understand curriculum because of short training period. In terms of teaching, they lacked the knowledge of teaching techniques, writing lesson plans and using lesson plan content. In term of teaching materials, they were not up-to-date and inconsistent with the contents. The monks also lacked development of teaching materials. 3. Guidelines for development of teaching and learning management of monks teaching morality in schools were that in term of education, the monks should raise the level of their education and develop a curriculum for monks teaching morality. There should be seminars and workshops to modernize teaching. In terms of teaching, there should be qualified teaching curriculum, methods of using various and modern teaching materials to suit the current situation and conform to the course contents.
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษากระบวนทัศน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๒) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ๓) การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ และ ๔) การนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบสัมภาษณ์ (Qualitative research interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๑๒ รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา นำเสนอในรูปแบบเชิงพรรณนา ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ๑) กระบวนทัศน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการเผยแผ่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในรูปแบบต่าง ได้แก่ ๑. การเผยแผ่ด้วยการทำพระองค์เป็นแบบอย่าง ๒. การเผยแผ่ด้วยการให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสกับสัจจะเกิดประสบการณ์ด้วยตนเอง ๓. การเผยแผ่ด้วยการแสดงธรรม ๔. การเผยแผ่ด้วยการให้ผู้ฝังคิดหาเหตุผลด้วยตนเอง และกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์วัดและคณะสงฆ์ในปัจจุบันมีทั้งแบบ ประเพณี และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่ ๑. การเผยแผ่ตามประเพณีคณะสงฆ์และตามประเพณีไทย ๒. การเผยแผ่แบบปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ๓. การเผยแผ่แบบจัดเป็นคณะ หรือหน่วยงานเผยแผ่ ๔. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านคฤหัสถ์ มีการตั้งเป็นสมาคม ๒) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ในด้านการเทศน์ การปาฐกถา การเขียนหนังสือ การแปลหนังสือ บทกวีนิพนธ์ร้อยกรอง และในด้านปริศนาธรรมโรงมหรสพทางวิญญาณ ทั้ง ๔ ด้านนี้ ซึ่งในแต่ละด้านของกระบวนทัศน์นั้นมี ๓ วิธีการ แต่ละวิธีการมีประเด็นที่ศึกษา คือ (๑) วิธีคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วยการศึกษาปัญหา สาเหตุ เป้าหมาย และศึกษาวิธีการ (๒) วิธีปฏิบัติ ประกอบด้วย กระบวนวิธีการเรียนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง (๓) วิธีนำเสนอ ประกอบด้วย ชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง ๓) สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ประกอบด้วย (๑)กระบวนวิธีการคิดวิเคราะห์ โดยใช้หลักอริยสัจ ในการศึกษาปัญหา สาเหตุ เป้าหมาย ตลอดจนถึงวิธีการ และแบบวิภัชชวาท เป็นการจำแนกความจริง แยกส่วนประกอบ (๒) กระบวนวิธีปฏิบัติ ท่านเรียนให้รู้จากพระไตรปิฎก แล้วก็เอามาทำให้ดู ซึ่งปรากฏให้เห็นในวิถีความเป็นอยู่ของท่านแบบสวนโมกข์ ปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้ใคร่ศึกษา และ (๓) กระบวนวิธีนำเสนอ สร้างความรู้ ประมวลความรู้ และเผยแพร่ความรู้ ด้วยการชี้แจงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ๔) องค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ได้แก่ “SWPD MODEL” S ย่อมาจาก SERMON ได้แก่ การแสดงพระธรรมเทศนา การปาฐกถา การบรรยายธรรม W ย่อมาจาก WRITING ได้แก่ งานเขียนหนังสือ แปลหนังสือ P ย่อมาจาก POETRY ได้แก่ บทกวีนิพนธ์ บทร้อยกรอง D ย่อมาจาก DHAMMA PUZZLE ได้แก่ ปริศนาธรรมในโรงมหรสพทางวิญญาณ SWPD MODEL จึงเป็น กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และประสบความสำเร็จ สามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการเผยแผ่ทั้งวิธีการคิดวิเคราะห์ วิธีการปฏิบัติ และวิธีการนำเสนอ
ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษากระบวนทัศน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๒) เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ๓) การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ และ ๔) การนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบสัมภาษณ์ (Qualitative research interview) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๑๒ รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา นำเสนอในรูปแบบเชิงพรรณนา ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ๑) กระบวนทัศน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการเผยแผ่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในรูปแบบต่าง ได้แก่ ๑. การเผยแผ่ด้วยการทำพระองค์เป็นแบบอย่าง ๒. การเผยแผ่ด้วยการให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสกับสัจจะเกิดประสบการณ์ด้วยตนเอง ๓. การเผยแผ่ด้วยการแสดงธรรม ๔. การเผยแผ่ด้วยการให้ผู้ฝังคิดหาเหตุผลด้วยตนเอง และกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์วัดและคณะสงฆ์ในปัจจุบันมีทั้งแบบ ประเพณี และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่ ๑. การเผยแผ่ตามประเพณีคณะสงฆ์และตามประเพณีไทย ๒. การเผยแผ่แบบปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ๓. การเผยแผ่แบบจัดเป็นคณะ หรือหน่วยงานเผยแผ่ ๔. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านคฤหัสถ์ มีการตั้งเป็นสมาคม ๒) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ในด้านการเทศน์ การปาฐกถา การเขียนหนังสือ การแปลหนังสือ บทกวีนิพนธ์ร้อยกรอง และในด้านปริศนาธรรมโรงมหรสพทางวิญญาณ ทั้ง ๔ ด้านนี้ ซึ่งในแต่ละด้านของกระบวนทัศน์นั้นมี ๓ วิธีการ แต่ละวิธีการมีประเด็นที่ศึกษา คือ (๑) วิธีคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วยการศึกษาปัญหา สาเหตุ เป้าหมาย และศึกษาวิธีการ (๒) วิธีปฏิบัติ ประกอบด้วย กระบวนวิธีการเรียนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง (๓) วิธีนำเสนอ ประกอบด้วย ชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง ๓) สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ประกอบด้วย (๑)กระบวนวิธีการคิดวิเคราะห์ โดยใช้หลักอริยสัจ ในการศึกษาปัญหา สาเหตุ เป้าหมาย ตลอดจนถึงวิธีการ และแบบวิภัชชวาท เป็นการจำแนกความจริง แยกส่วนประกอบ (๒) กระบวนวิธีปฏิบัติ ท่านเรียนให้รู้จากพระไตรปิฎก แล้วก็เอามาทำให้ดู ซึ่งปรากฏให้เห็นในวิถีความเป็นอยู่ของท่านแบบสวนโมกข์ ปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้ใคร่ศึกษา และ (๓) กระบวนวิธีนำเสนอ สร้างความรู้ ประมวลความรู้ และเผยแพร่ความรู้ ด้วยการชี้แจงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ๔) องค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ได้แก่ “SWPD MODEL” S ย่อมาจาก SERMON ได้แก่ การแสดงพระธรรมเทศนา การปาฐกถา การบรรยายธรรม W ย่อมาจาก WRITING ได้แก่ งานเขียนหนังสือ แปลหนังสือ P ย่อมาจาก POETRY ได้แก่ บทกวีนิพนธ์ บทร้อยกรอง D ย่อมาจาก DHAMMA PUZZLE ได้แก่ ปริศนาธรรมในโรงมหรสพทางวิญญาณ SWPD MODEL จึงเป็น กระบวนทัศน์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และประสบความสำเร็จ สามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการเผยแผ่ทั้งวิธีการคิดวิเคราะห์ วิธีการปฏิบัติ และวิธีการนำเสนอ
The objectives of the dissertation entitled “A New Paradigm in Buddhist Propagation According to Buddhadasa Bhikkhu” were as follows: 1) to study a paradigm in Buddhist propagation, 2) to the Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu, 3) to create a new paradigm in Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu, and 4) to propose a new knowledge in “a new paradigm in Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu”. The data of this qualitative research were collected from documents and in-depth interviews with 12 experts and then analyzed by content analysis. The study results were presented in a descriptive method. The result of this research found that: 1) The paradigm in Buddhist propagation is the teaching that the Buddha did in many methods. They are 1) To behave himself as the sample or model, 2) To have the audience earn experiences by themselves, 3) To give a sermon, and 4) To let the audience consider and find causes and results by themselves. The propagations of Buddhism of monks in the present are both traditional and improving according to the social contexts nowadays. They are 1) To follow the Sangha traditions and Thai festivals, 2) To improve the propagating methods suitable to the social contexts at present, 3) To propagate by team or by unit, and 4) To propagate by lay-people in the form of organization. 2) The Buddhist propagation of Buddhadasa Bhikkhu was on giving a sermon, speech, book writing, translation, poetry and Dhamma puzzle in the theater of Dhamma and soul. Each paradigm can be classified into 3 methods; (1) Analytical thinking method consisting of the study of problem, cause, purpose and approach, (2) Practice consisting of study and learn, learning by doing, and presenting the model, and (3) Presentation consisting of clear explanation, practical inspiration, confidence alertness, and pleasurable feeling. 3) The creation of a new paradigm in Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu consist of; (1) Analytical thinking process based on the principles of the Four Noble Truths and classification system, (2) Practical process by referring to the sources in the Tipitaka and putting into practice in his temple as the sample, and (3) Presentation process consisting of accumulating knowledge, knowledge analysis and classification, and proposing the knowledge with clear explanation. 4) The body of knowledge on a new paradigm in Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu can be concluded in “SWPD Model”. S stands for Sermon, W for Writing, P for Poetry, and D for Dhamma Puzzle. SWPD MODEL is a new paradigm in Buddhist propagation according to Buddhadasa Bhikkhu. The propagation has identity and is successful in practice. It can be used as a model in Buddhist propagation in 3 aspects; analytical thinking, practice and presentation.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีของนิเวศวิทยา ๒) เพื่อศึกษานิเวศวิทยาเชิงพุทธ ๓) เพื่อศึกษานิเวศวิทยาเชิงพุทธของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรโดยศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และงานวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับงานวิจัยที่เป็นที่ยอมรับในวงการนักวิชาการ และสัมภาษณ์เก็บข้อมูลเชิงลึกจากประชากรที่ศึกษา จำนวน ๗ รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : ๑) แนวคิดทฤษฎีของนิเวศวิทยา คือ โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ กับบริเวณแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ที่มีความต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุด มีความสมดุลเหมาะสมของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เพื่อการมีชีวิตอยู่รอด ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ในตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์ ทั้งการรวมตัว หรือ การสลายตัว แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นผลมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย สิ่งนั้นย่อมแสดงถึงที่มาของระบบนิเวศที่ดีหรือไม่ดี ๒) นิเวศวิทยาเชิงพุทธ มีทัศนแนวคิด อาศัยกันเกิด อาศัยกันดับ มีความสอดคล้องกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา คือ “อิทัปปัจจยตา” เมื่อสิ่งนี้ “มี” สิ่งนี้ ย่อมมี เมื่อสิ่งนี้ “ไม่มี” สิ่งนี้ ย่อมไม่มี มีความสอคล้องสัมพันธ์สืบเนื่องกับหลักธรรม “ภูตคาม”“เมตตา”“ความกตัญญูกตเวที”“กรรม”“วโนโรปสูตร ที่ ๗” ๓) นิเวศวิทยาเชิงพุทธ ของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรมีการจัดการระบบนิเวศมีทั้ง ๓ ด้านคือ ด้านป่าไม้ ด้านแม่น้ำ ด้านสัตว์ป่าเมื่อป่าสร้างความชุ่มชื้น ทำให้ฝนตก และเมื่อฝนตกป่าไม้ก็อุ้มน้ำไว้ไม่ให้น้ำท่วมฉับพลัน ถ้าขาดป่าไม้ฝนไม่ตกก็จะแล้ง ถ้าฝนตกลงมาน้ำก็จะท่วม ถ้าไม่มีป่าสัตว์ป่าก็อยู่ไม่ได้ มีความสอคล้องสัมพันธ์สืบเนื่องกับหลักธรรม “ภูตคาม” “เมตตา” “ความกตัญญูกตเวที” “กรรม” “วโนโรปสูตร ที่ ๗”
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีของนิเวศวิทยา ๒) เพื่อศึกษานิเวศวิทยาเชิงพุทธ ๓) เพื่อศึกษานิเวศวิทยาเชิงพุทธของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรโดยศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และงานวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับงานวิจัยที่เป็นที่ยอมรับในวงการนักวิชาการ และสัมภาษณ์เก็บข้อมูลเชิงลึกจากประชากรที่ศึกษา จำนวน ๗ รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า : ๑) แนวคิดทฤษฎีของนิเวศวิทยา คือ โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ กับบริเวณแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ที่มีความต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุด มีความสมดุลเหมาะสมของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เพื่อการมีชีวิตอยู่รอด ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ในตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์ ทั้งการรวมตัว หรือ การสลายตัว แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นผลมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย สิ่งนั้นย่อมแสดงถึงที่มาของระบบนิเวศที่ดีหรือไม่ดี ๒) นิเวศวิทยาเชิงพุทธ มีทัศนแนวคิด อาศัยกันเกิด อาศัยกันดับ มีความสอดคล้องกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา คือ “อิทัปปัจจยตา” เมื่อสิ่งนี้ “มี” สิ่งนี้ ย่อมมี เมื่อสิ่งนี้ “ไม่มี” สิ่งนี้ ย่อมไม่มี มีความสอคล้องสัมพันธ์สืบเนื่องกับหลักธรรม “ภูตคาม”“เมตตา”“ความกตัญญูกตเวที”“กรรม”“วโนโรปสูตร ที่ ๗” ๓) นิเวศวิทยาเชิงพุทธ ของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรมีการจัดการระบบนิเวศมีทั้ง ๓ ด้านคือ ด้านป่าไม้ ด้านแม่น้ำ ด้านสัตว์ป่าเมื่อป่าสร้างความชุ่มชื้น ทำให้ฝนตก และเมื่อฝนตกป่าไม้ก็อุ้มน้ำไว้ไม่ให้น้ำท่วมฉับพลัน ถ้าขาดป่าไม้ฝนไม่ตกก็จะแล้ง ถ้าฝนตกลงมาน้ำก็จะท่วม ถ้าไม่มีป่าสัตว์ป่าก็อยู่ไม่ได้ มีความสอคล้องสัมพันธ์สืบเนื่องกับหลักธรรม “ภูตคาม” “เมตตา” “ความกตัญญูกตเวที” “กรรม” “วโนโรปสูตร ที่ ๗”
This thesis aims to be as follows: 1) To study the theoretical concept of ecology, 2) to study Buddhist ecology, 3) to study the Buddhist ecology of Wat Khao Sala Atul Augustanjaro by studying research from Tripitaka and other related academic work and in line with research that is accepted in academic circles and interviewed to collect insights from the population studied by 7 figures/person. The findings : 1)The theoretical concept of ecology is the structure of the relationship between organisms and their environment that need the least size of living space and a proper balance of the organisms for survival. The organisms are manufacturers, consumers and decomposers in their processes. There is an interaction, either a reunion or a decay, which causes a change to something positively or negatively. That results from the source of a good or a bad ecosystem. 2) Buddhist ecology, conceptual, birth-to-birth, living in the same place. In 2013, the Government released a report on the use of the company's subsidiary, The Royal Academy of Buddhist Scholars, as "Itapapajyta". When this "no", there is no connection to the principles of "Daemon Kam," "Mercy," "Gratitude," "Karma," "Unorop Recipe 7" 3) The Buddhist ecology of Wat Khao Sala Atulathanacharo manages the ecosystem in all three areas: forest, river side, wildlife when the forest creates moisture. And when it rains, the forest holds water so that there is no sudden flooding. If there is a lack of forest, it will not rain. If it rains down, the water will flood. If there's no wild forest, you can't live. There is a connection to the principles of "Daemon Kam," "Mercy," "Gratitude," "Karma," "Unorop 7".
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินงานวิจัยในแต่ละขั้นตอน องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น และเพื่อนำเสนอผลการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนร่มโพธิ์ทองธรรมวิทย์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมาย เลือกแบบเจาะจงโดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากความต้องการจำเป็นที่จะพัฒนา ได้แก่ ครูและบุคลากร จำนวน 10 รูป/คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 41 รูป รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 51 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามปลายเปิด แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ และแบบตรวจสอบหรือบันทึก การเก็บรวมรวมข้อมูลจากการดำเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ ใน 2 วงจร 10 ขั้นตอน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำมาวิเคราะห์ร่วมกันเป็นระยะ ๆ ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ นำเสนอในรูปแบบอิงแนวคิดเชิงวิพากษ์ ผลการวิจัย พบว่า การเปลี่ยนแปลง องค์ความรู้ใหม่ และประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น คือ เปลี่ยนจากเน้นครูเป็นศูนย์กลาง เป็นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนการสอน เป็นการจัดการเรียนรู้ เปลี่ยนจากเน้นเนื้อหา เป็นเน้นกระบวนการเรียนรู้ เปลี่ยนจากเน้นบอกความรู้เป็นเน้นฝึกทักษะ เปลี่ยนบทบาทครูที่มีหน้าที่สอน เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศ การเลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี สำหรับผลการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่า มีองค์ประกอบที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียน ผู้สอน เนื้อหาวิชา การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ กลวิธีในการสอน หรือการจัดการเรียนรู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม เนื้อหาวิชา เวลา และกลุ่มเป้าหมาย (ผู้เรียน)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินงานวิจัยในแต่ละขั้นตอน องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น และเพื่อนำเสนอผลการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนร่มโพธิ์ทองธรรมวิทย์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมาย เลือกแบบเจาะจงโดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากความต้องการจำเป็นที่จะพัฒนา ได้แก่ ครูและบุคลากร จำนวน 10 รูป/คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 41 รูป รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 51 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามปลายเปิด แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ และแบบตรวจสอบหรือบันทึก การเก็บรวมรวมข้อมูลจากการดำเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ ใน 2 วงจร 10 ขั้นตอน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำมาวิเคราะห์ร่วมกันเป็นระยะ ๆ ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ นำเสนอในรูปแบบอิงแนวคิดเชิงวิพากษ์ ผลการวิจัย พบว่า การเปลี่ยนแปลง องค์ความรู้ใหม่ และประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น คือ เปลี่ยนจากเน้นครูเป็นศูนย์กลาง เป็นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนการสอน เป็นการจัดการเรียนรู้ เปลี่ยนจากเน้นเนื้อหา เป็นเน้นกระบวนการเรียนรู้ เปลี่ยนจากเน้นบอกความรู้เป็นเน้นฝึกทักษะ เปลี่ยนบทบาทครูที่มีหน้าที่สอน เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศ การเลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี สำหรับผลการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่า มีองค์ประกอบที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียน ผู้สอน เนื้อหาวิชา การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ กลวิธีในการสอน หรือการจัดการเรียนรู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม เนื้อหาวิชา เวลา และกลุ่มเป้าหมาย (ผู้เรียน)
This research article aims to : study the results of the changes from the research operations at each stage knowledge emerging Learning experiences that occur, and to present the development of Learning skills in the 21st century Rompothong Dhammawit School. a participatory workshop research methodology. specific audiences. select specific the criteria for the necessary requirements to develop are: teachers and staff 10 people. secondary school students 1st-6th 41 people, including 51 people. research tools include open-ended queries, scaling queries, observation, interviews, and audit or log. data collection from operations, activities in 2 10-phase cycles, and data analysis are used periodically, both qualitatively and quantitatively. presented in a critical concept. The results showed that: changes new knowledge and Learning experience is the result of the transition from teacher-centered to student-centered. turn teaching into Learning management change from focusing content to focused Learning process switch from emphasis to knowledge to focus on skill training. modify the Learning method to achieve important results is: strategies for teaching or managing Learning. building a community of Learning, creating an atmosphere the selection of modern technology, good interaction, and 21st century Learning skills development results showed a relative composition between learners. Instructors the key parts that result in the development are the strategies for teaching or Learning management, depending on the purpose of the activity. subject content, time and audience (learners)
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยจำแนกตาม เพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) เท่ากับ 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร ด้านการวัดผลประเมินผล ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านการนิเทศ 2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษาโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ การพัฒนาหลักสูตรควรจัดเนื้อหาและประสบการณ์ให้สอดคล้องกับชุมชนและความต้องการของชุมชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีระบบนิเทศติดตามการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนอย่างสม่ำเสมอ ประเมินผลและสรุปผลแผนงาน โครงการกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อการจัดการศึกษาต่อไป
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยจำแนกตาม เพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) เท่ากับ 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร ด้านการวัดผลประเมินผล ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านการนิเทศ 2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษาโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการตามหลักไตรสิกขาของโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ การพัฒนาหลักสูตรควรจัดเนื้อหาและประสบการณ์ให้สอดคล้องกับชุมชนและความต้องการของชุมชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีระบบนิเทศติดตามการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนอย่างสม่ำเสมอ ประเมินผลและสรุปผลแผนงาน โครงการกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อการจัดการศึกษาต่อไป
The objectives of the research were 1) to study the situation of the academic affairs administration based on the threefold training to develop learners in private school promotion groups under kalasin provincial education office 2) to compare the academic affairs administration based on the threefold training to develop learners in private school promotion groups under kalasin provincial education office, classified by gender, job experience and education, and 3) to collect the related recommendations as suggested by the returned responses. The samples were 327 staff members of the schools as mentioned and the device used for data collection was the 5-rating scale questionnaire with content validity as high as 0.67 – 1.00, and reliability at .93. The research results were as follows: 1) The situation of the academic affairs administration based on the threefold training to develop learners in private school promotion groups under kalasin provincial education office, was, in both overall and individual aspects, found to stand at the ‘MUCH’ level. The aspect that stand at the top of the scale in terms of mean was curriculum and curricular development, followed by evaluation and assessment, class management and supervision, respectively. 2) The comparison of the academic affairs administration based on the threefold training to develop learners in private school promotion groups under kalasin provincial education office, classified by gender, job experience and education, was, in both overall and individual aspects, found to display no statistically significant difference. 3) The recommendations suggested by the returned responses are as follows: (1) The contents of curriculum should be designed to meet with the community needs. (2) Extracurricular activities should be drawn up as student-centered programs. (3) Regular supervision and follow-up should be implemented. (4) All plans and projects require evaluation and assessment in order that the weakness might be revised and the strengths might be promoted for the sake of the most effective management of education.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 109 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) เท่ากับ 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความคุ้มค่าหลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ 2. เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติแผนกสามัญจังหวัดกาฬสินธุ์จำแนกตามเพศ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุ วุฒิการศึกษา หลักความโปร่งใสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติแผนกสามัญจังหวัดกาฬสินธุ์ ควรมีความโปร่งใสในเรื่องการบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน พัสดุ และสามารถตรวจสอบได้ ผู้บริหารเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการวางแผน และกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของโรงเรียน การบริหารงานธุรการ การเงิน งบประมาณ พัสดุ โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการวางแผน และการใช้งบประมาณต่าง ๆ ของโรงเรียน
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์ จำแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารตามหลักธรรมภิบาล ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดกาฬสินธุ์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 109 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) เท่ากับ 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวม อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความคุ้มค่าหลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ 2. เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติแผนกสามัญจังหวัดกาฬสินธุ์จำแนกตามเพศ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุ วุฒิการศึกษา หลักความโปร่งใสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติแผนกสามัญจังหวัดกาฬสินธุ์ ควรมีความโปร่งใสในเรื่องการบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน พัสดุ และสามารถตรวจสอบได้ ผู้บริหารเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการวางแผน และกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของโรงเรียน การบริหารงานธุรการ การเงิน งบประมาณ พัสดุ โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการวางแผน และการใช้งบประมาณต่าง ๆ ของโรงเรียน
The objectives of the research were 1) to study the situation of An Approach of Good Governance- Based Administration for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division in Kalasin Province, 2) to compare the so-said administration, classified by gender, age and education, and 3) to compile the related recommendations as suggested by the respondents. The population consisted of the staff members of those schools, totally 109 in number. The device used to collect the information was the five-rating scale questionnaire with the rate of 0.67-1.00 in terms of content validity and the rate of .93 in terms of reliability. The findings can be summarized as follows: 1) The situation of the good governance-based administration employed by the ecclesiastical high schools under the Education Office of Kalasin Province was, in an overall aspect, found to stand at the ‘MUCH’ level. In an individual aspect, the item that was ranked on top of the scale in terms of mean was the rule of law, followed by morality, transparency, cost-coverage, participation and accountability, respectively. 2) The comparison of the so-said administration classified by gender was, in both overall and individual aspects, found to show no difference, but the comparison by age and education in almost all aspects displayed no difference, except in the aspect of transparence where it showed the statistically significant difference at .05. 3) The related recommendations suggested by the respondents can be described as follows: 1) The administration of budget, finance and premises needs transparence and check & balance strategy. 2) Planning and policy designing are suggested to welcome the staff members’ participation. 3) The administration of all affairs needs participation of all parties concerned.
หนังสือ

    การศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาความทุกข์ในใจ วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความทุกข์ในหลักพุทธธรรม 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมกับการบรรเทาความทุกข์ในใจ และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาความทุกข์ในใจ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร วิธีการดำเนินงานวิจัย คือ ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำรา งานวิจัย บทความ วารสาร เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัย : วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 1 พบว่า ความทุกข์ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สังขารที่ไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลง ความทุกข์หมุนเวียนไปทุกขณะ สิ่งนั้นคือทุกข์ ความทุกข์ที่ปรากฏมีลักษณะดังนี้คือ ต้องทำลายไป ความสิ้นไป ความแดกดับของสิงทั้งหลาย มีลักษณ์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ทุกข์ในอริยสัจ 4 เป็นกล่าวถึงการเกิด แก่เจ็บ ตาย เป็นความทุกข์ การโศกเศร้าเสียใจล้วนเป็นทุกข์ การหลงระเริงในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สิ่งนี้คือทุกข์ รวมไปถึงทุกข์ในไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยิ่งเกิดทุกข์ เมื่อศึกษายิ่งเข้าใจในทุกข์ เพราะตัวทุกข์คือสาเหตุของการไม่สบายกายและเป็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ในใจ วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 2 พบว่า หลักพุทธธรรมที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ อันได้แก่ หลักไตรลักษณ์ หลักอานาปานสติ โยนิโสมนสิการ และมรรค8 มีความเชื่อมโยงกัน เมื่อนำมายึดและปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 4 หลักธรรมสามารถบรรเทาความทุกข์ได้ โดยเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ผู้เริ่มต้นศึกษา รวมไปถึงผู้ที่ศึกษาธรรมะอยู่เป็นประจำ ซึ่งการนำหลักพุทธธรรมทั้ง4 มารวมกัน เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงกันนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ อีกมุมหนึ่งการปรับพฤติกรรม และความคิดโดยยึดหลักพุทธธรรมทางพุทธศาสนา สามารถช่วยให้มีหลักในการดำเนินชีวิตและหลุดพ้นจากความทุกข์ และไร้ซึ่งโรคทางจิตต่างๆ ได้ วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 3 พบว่า การศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาทุกข์ในใจ ตามหลักพุทธธรรม จะได้แนวการปฏิบัติตามรูปแบบความถนัดของแต่ละบุคคล และวิธีการใช้ปรับแนวคิดและรูปแบบการใช้ชีวิต โดยยึดถือการปฏิบัติง่ายๆ โดยใช้อานาปานสติเริ่มต้นที่การหายใจ จากนั้นคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผ่านการยอมรับว่าไม่มีสิ่งใจจีรังยั่งยืนโดยผ่านหลักไตรลักษณ์ และจัดระบบการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุและผลด้วยโยนิโสมนสิการ สุดท้ายเมื่อมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ควรนำหลักมรรค8 มาเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินชีวิต่อไป และสิ่งเหล่านี้ต้องหมั่นฝึกฝน ลงมือปฏิบัติจิตให้เข้มแข็งสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้สนใจใฝ่ธรรมมะให้ความสำคัญกับการนำหลักธรรมสู่ภาคปฏิบัติ หรือการนำหลักธรรมไปใช้ เพราะสิ่งนี้คือหลักในการหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนั้น แนวทางการศึกษาที่สนใจต่อไปยังคงอยู่บนพื้นฐานของการปรับใช้หลักพุทธธรรมนำมาสู่การดำเนินชีวิต เช่น การศึกษาวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ด้วยเหตุและผลตามแนวโยนิโสมนสิการ การจัดการความคิดให้เข้าใจสรรพสิ่งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสมอด้วยหลักไตรลักษณ์ และสุดท้ายน้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันควบคู่กับมรรค 8 เพื่อบรรเทาความทุกข์ในใจ
การศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาความทุกข์ในใจ วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความทุกข์ในหลักพุทธธรรม 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมกับการบรรเทาความทุกข์ในใจ และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาความทุกข์ในใจ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเอกสาร วิธีการดำเนินงานวิจัย คือ ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก ตำรา งานวิจัย บทความ วารสาร เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัย : วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 1 พบว่า ความทุกข์ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สังขารที่ไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลง ความทุกข์หมุนเวียนไปทุกขณะ สิ่งนั้นคือทุกข์ ความทุกข์ที่ปรากฏมีลักษณะดังนี้คือ ต้องทำลายไป ความสิ้นไป ความแดกดับของสิงทั้งหลาย มีลักษณ์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ทุกข์ในอริยสัจ 4 เป็นกล่าวถึงการเกิด แก่เจ็บ ตาย เป็นความทุกข์ การโศกเศร้าเสียใจล้วนเป็นทุกข์ การหลงระเริงในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สิ่งนี้คือทุกข์ รวมไปถึงทุกข์ในไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยิ่งเกิดทุกข์ เมื่อศึกษายิ่งเข้าใจในทุกข์ เพราะตัวทุกข์คือสาเหตุของการไม่สบายกายและเป็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ในใจ วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 2 พบว่า หลักพุทธธรรมที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ อันได้แก่ หลักไตรลักษณ์ หลักอานาปานสติ โยนิโสมนสิการ และมรรค8 มีความเชื่อมโยงกัน เมื่อนำมายึดและปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 4 หลักธรรมสามารถบรรเทาความทุกข์ได้ โดยเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ผู้เริ่มต้นศึกษา รวมไปถึงผู้ที่ศึกษาธรรมะอยู่เป็นประจำ ซึ่งการนำหลักพุทธธรรมทั้ง4 มารวมกัน เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงกันนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ อีกมุมหนึ่งการปรับพฤติกรรม และความคิดโดยยึดหลักพุทธธรรมทางพุทธศาสนา สามารถช่วยให้มีหลักในการดำเนินชีวิตและหลุดพ้นจากความทุกข์ และไร้ซึ่งโรคทางจิตต่างๆ ได้ วัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 3 พบว่า การศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธธรรมเพื่อการบรรเทาทุกข์ในใจ ตามหลักพุทธธรรม จะได้แนวการปฏิบัติตามรูปแบบความถนัดของแต่ละบุคคล และวิธีการใช้ปรับแนวคิดและรูปแบบการใช้ชีวิต โดยยึดถือการปฏิบัติง่ายๆ โดยใช้อานาปานสติเริ่มต้นที่การหายใจ จากนั้นคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผ่านการยอมรับว่าไม่มีสิ่งใจจีรังยั่งยืนโดยผ่านหลักไตรลักษณ์ และจัดระบบการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุและผลด้วยโยนิโสมนสิการ สุดท้ายเมื่อมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ควรนำหลักมรรค8 มาเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินชีวิต่อไป และสิ่งเหล่านี้ต้องหมั่นฝึกฝน ลงมือปฏิบัติจิตให้เข้มแข็งสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้สนใจใฝ่ธรรมมะให้ความสำคัญกับการนำหลักธรรมสู่ภาคปฏิบัติ หรือการนำหลักธรรมไปใช้ เพราะสิ่งนี้คือหลักในการหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนั้น แนวทางการศึกษาที่สนใจต่อไปยังคงอยู่บนพื้นฐานของการปรับใช้หลักพุทธธรรมนำมาสู่การดำเนินชีวิต เช่น การศึกษาวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ด้วยเหตุและผลตามแนวโยนิโสมนสิการ การจัดการความคิดให้เข้าใจสรรพสิ่งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสมอด้วยหลักไตรลักษณ์ และสุดท้ายน้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันควบคู่กับมรรค 8 เพื่อบรรเทาความทุกข์ในใจ
และอาจจะส่งผลให้บรรลุธรรม ซึ่งการศึกษาเหล่านี้ล้วนแต่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมไทยในปัจจุบัน
This analytical study of Buddhist principles to relief mental suffering have the objectives which are: 1) To study about suffer by using Buddhist principles. 2) To study about the Buddhist principles together with mental suffering relief. 3) To analyze the Buddhist principles to relief mental suffering. This analytical study is a rich documentary research. The methodologies behind this study are information from the Tripitaka, textbooks, research articles, journals, related research papers, and interviews. The results of this study were as follows: The objectives 1 found that the study found that, suffering has to change over time. What is impermanent, that is suffering. The impermanence of human bodies has changes. Suffering comes and goes in every moment. These are sufferings. The suffering can appear as follows: have to be destroyed, to be put to an end, and the ending of all things. The definitions of ‘suffer’ in the Four Noble of Truths referring to lifecycles which are the suffer. Both sadness and sorrow are suffering. Indulging in lust is suffering, including suffering in the Trinity due to the changed. These are things that not able to withstand in the original condition. The more we study, the more we know about suffering because suffering is the cause of physical discomfort and mental suffer. The objectives 2 found that when studying the principles of Buddhism, which are the Trinity, Anapanasati, Yonisomanasikara, and Mak 8, are connected together. When followed and practiced all of the teachings of the Lord Buddha. All four Buddhist principles can relief suffering. These principles can be easily to access from beginners to those who study Dharma regularly. So, combining all four Buddhist principles together to apply with daily life or to modify a behavior. Moreover, an ideas based on the Buddhist doctrine can provide a ways of living, freedom from suffering, and life without any mental suffering. The objectives 3 found that an analytical study of the Buddhist principles to relief mental sufferings. According to the principles, everyone will receive a practice guideline according to their expertise and how to use it to adjust mindsets and the ways of living. Practices to these simple practices by using Anapanasati, begins with breathing. After that, reviewing everything through the acknowledgment that there are no immortal things according to the trinity. In addition, to organize the analytical thinking system with causes, effects, and reasons. At the end, when we are having more conscious in life then we should use Mak 8 principles as a tools to live and these practices need to be practice regularly together with strong mindset. However, those who are interested in Dharma focused on bringing the principles to practice because these principles are ways to relief sufferings. Therefore, the continuing interest in education is based on the application of the principles of Buddhism on daily life, such as the practice of mediation, analyze problems by causes and effects according to Yonisomanasikara, organize mindset to understand that everything has to changes by Trinity, and brought these to use in daily life along with Mak 8 principles to relief mental suffering and may result in achieving Dharma which these studies will all bring tangible benefits to Thai society today.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการกินเจ 2) เพื่อศึกษาหลักกรรมในพุทธปรัชญา และ 3) เพื่อวิเคราะห์การกินเจด้วยหลักกรรมในพุทธปรัชญา เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า 1) การกินเจ หมายถึงการไม่รับประทานอาหารเนื้อสัตว์และมีความหมายกว้างครอบคลุม ถึงการถือศีล การปฏิบัติธรรม การสำรวมทางกาย วาจา ใจ ด้วยหลักการกินเจในศาสนาพุทธฝ่ายมหายานมีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงการห้ามมิให้บริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนฝ่ายเถรวาทนั้นไม่มีข้อบัญญัติที่ห้ามในการมิให้บริโภคเนื้อสัตว์ แต่มีข้อห้ามที่ปรากฏในศีลห้าคือ ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้เบียดเบียนชีวิตของสัตว์ อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทมีหลักการเดียวกันนั่นคือ การอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตากรุณาต่อกันระหว่างคนกับคน และคนกับสัตว์ การไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน และการอยู่ร่วมกันด้วยความสันติ ผู้ที่กินเจส่วนใหญ่มีจุดประสงค์หลักในการกินเจ 3 ประการ คือ 1) กินเพื่อสุขภาพ 2) กินด้วยจิตเมตตา และ 3) กินเพื่อเว้นอกุศลกรรม 2) หลักกรรมในพุทธปรัชญาประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ 1. ผู้ทำมีเจตนา และ 2. การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป กรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึง การกระทำจะมุ่ง ไปในทางดีหรือชั่วก็ได้ กรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม กรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม จำแนกตามทางที่ทำ แบ่งเป็น 3 ทาง ได้แก่ 1. กายกรรม กรรมที่ทำทางกาย 2. วจีกรรม กรรมแสดงออกทางวาจา 3. มโนกรรม กรรมทางใจ 3) วิเคราะห์การกินเจด้วยหลักกรรมในพุทธปรัชญา สรุปว่า การกินเจด้วยหลักกุศลกรรมนั้นคือ ผู้กินเจควรมีเจตนาที่บริสุทธิ์ทั้ง 3 กาล โดยมีการกินเจด้วยจิตเมตตาได้กุศล การไม่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกเจาะจงฆ่า ก่อนที่จะกินเจมีเจตนาที่บริสุทธิ์ เห็นแก่ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ โดยถือการไม่เบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์เป็นสำคัญ และในขณะที่กินเกิดการพิจารณาว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน และไม่ได้กินด้วยความอยากเพราะรสชาดอร่อยเพียงแค่ปลายลิ้น และเจตนาหลังที่กินเจไปแล้ว ยังคงยึดในความเมตตาต่อสรรพชีวิต การกินเจด้วยหลักอกุศลกรรมนั้นหมายถึง บุคคลที่ทานเนื้อสัตว์บางคนเป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์ด้วยตัวเอง จึงถือเป็นการสร้างกรรมทางปาณาติบาต แม้ไม่ได้เป็นผู้ที่ฆ่าเอง แต่เป็นผู้ชี้ให้ผู้อื่นฆ่า การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกเจาะจงฆ่า เป็นการทำลายและเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สมบัติของสัตว์ซึ่งเขาไม่ยินดีให้ อีกทั้งเมื่อกินเจแล้วไม่สำรวมวาจา มักพูดจายกตนข่มท่าน อีกทั้งกินเจมีจิตเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์หรือยึดมั่นในความดี ส่วนการกินเจด้วยหลัก อัพยากตธรรม หมายถึง กินเจเพราะเกิดจิตเมตตาเป็นกุศลกรรม แต่ผู้ทานเจนั้นไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในความดีหรือกุศลกรรมนั้น จนสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งปวง จิตจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์และความสงบได้โดยไม่ยึดหมายใด ๆ
วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการกินเจ 2) เพื่อศึกษาหลักกรรมในพุทธปรัชญา และ 3) เพื่อวิเคราะห์การกินเจด้วยหลักกรรมในพุทธปรัชญา เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า 1) การกินเจ หมายถึงการไม่รับประทานอาหารเนื้อสัตว์และมีความหมายกว้างครอบคลุม ถึงการถือศีล การปฏิบัติธรรม การสำรวมทางกาย วาจา ใจ ด้วยหลักการกินเจในศาสนาพุทธฝ่ายมหายานมีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงการห้ามมิให้บริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนฝ่ายเถรวาทนั้นไม่มีข้อบัญญัติที่ห้ามในการมิให้บริโภคเนื้อสัตว์ แต่มีข้อห้ามที่ปรากฏในศีลห้าคือ ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้เบียดเบียนชีวิตของสัตว์ อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาทมีหลักการเดียวกันนั่นคือ การอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตากรุณาต่อกันระหว่างคนกับคน และคนกับสัตว์ การไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน และการอยู่ร่วมกันด้วยความสันติ ผู้ที่กินเจส่วนใหญ่มีจุดประสงค์หลักในการกินเจ 3 ประการ คือ 1) กินเพื่อสุขภาพ 2) กินด้วยจิตเมตตา และ 3) กินเพื่อเว้นอกุศลกรรม 2) หลักกรรมในพุทธปรัชญาประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ 1. ผู้ทำมีเจตนา และ 2. การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป กรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึง การกระทำจะมุ่ง ไปในทางดีหรือชั่วก็ได้ กรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม กรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม จำแนกตามทางที่ทำ แบ่งเป็น 3 ทาง ได้แก่ 1. กายกรรม กรรมที่ทำทางกาย 2. วจีกรรม กรรมแสดงออกทางวาจา 3. มโนกรรม กรรมทางใจ 3) วิเคราะห์การกินเจด้วยหลักกรรมในพุทธปรัชญา สรุปว่า การกินเจด้วยหลักกุศลกรรมนั้นคือ ผู้กินเจควรมีเจตนาที่บริสุทธิ์ทั้ง 3 กาล โดยมีการกินเจด้วยจิตเมตตาได้กุศล การไม่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกเจาะจงฆ่า ก่อนที่จะกินเจมีเจตนาที่บริสุทธิ์ เห็นแก่ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ โดยถือการไม่เบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์เป็นสำคัญ และในขณะที่กินเกิดการพิจารณาว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน และไม่ได้กินด้วยความอยากเพราะรสชาดอร่อยเพียงแค่ปลายลิ้น และเจตนาหลังที่กินเจไปแล้ว ยังคงยึดในความเมตตาต่อสรรพชีวิต การกินเจด้วยหลักอกุศลกรรมนั้นหมายถึง บุคคลที่ทานเนื้อสัตว์บางคนเป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์ด้วยตัวเอง จึงถือเป็นการสร้างกรรมทางปาณาติบาต แม้ไม่ได้เป็นผู้ที่ฆ่าเอง แต่เป็นผู้ชี้ให้ผู้อื่นฆ่า การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกเจาะจงฆ่า เป็นการทำลายและเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สมบัติของสัตว์ซึ่งเขาไม่ยินดีให้ อีกทั้งเมื่อกินเจแล้วไม่สำรวมวาจา มักพูดจายกตนข่มท่าน อีกทั้งกินเจมีจิตเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์หรือยึดมั่นในความดี ส่วนการกินเจด้วยหลัก อัพยากตธรรม หมายถึง กินเจเพราะเกิดจิตเมตตาเป็นกุศลกรรม แต่ผู้ทานเจนั้นไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในความดีหรือกุศลกรรมนั้น จนสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งปวง จิตจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์และความสงบได้โดยไม่ยึดหมายใด ๆ
The purposes of this thesis were: 1) to study the perceptions and theories of vegetarianism, 2) to study the Kamma principle in the Buddhist philosophy, and 3) to analyze the vegetarianism based on Buddhist philosophy. The data of this documentary qualitative research were collected from the Tipitaka, Commentaries, textbooks, and relevant research works. The research results revealed as follows: 1) Vegetarianism means the abstinence from food containing meat, including the observation of religious precepts, Dhamma practicing, and bodily, verbal, and mental restraint. In Mahayana Buddhism, the vegetarianism principle is clearly recommended by the abstinence from meat consumption whereas Theravada Buddhism does not indicate the direct prohibition of meat consumption. However, there is a prohibition appearing in the five precepts that forbids human beings from killing and violating animals. Nonetheless, both Mahayana Buddhism and Theravada Buddhism have the same principles, which are living together with benevolence between human beings and human beings, and between human beings and animals, without encroachment, and living together peacefully. The main objectives of vegetarianism among the vegetarians include 1) eating for healthiness, 2) eating with loving-kindness, and 3) eating for abstaining from unwholesome. 2) The Kamma principles in Buddhist philosophy consist of 2 criteria; (1) The doer has intention to do, and (2) That action results to merit or demerit. Kamma is a neutral word referring to a good action or a bad action. A good intention is called wholesome and a bad action is unwholesome. The actions are categorized into 3 ways according to the ways people do; (1) Bodily action, (2) Verbal action, and (3) Mental action. 3) Analyzing the vegetarianism based on Kamma principle in the Buddhism philosophy can be concluded that the vegetarians should have honest intention for all three situations; to have mercifulness towards all creatures by holding the principle of non-violence as the main reason before practicing vegetarianism; while eating, to keep considering that eating to live not living to eat, and not eating because of its taste; and after eating, to have loving-kindness towards all creatures. The vegetarianism with unwholesome means to eat meat of the animal killed by one’s self which concerns taking away the other’s life. Even if the person does not kill animals by himself/herself but he/she guides others to kill. Eating the meat of animals specifically killed is regarded as destruction and encroachment of the life they love and which is considered as their own properties. The practicing vegetarianism by neutral mind or principle means not having attachment to goodness or wholesome so that the vegetarian neither holds on the wholesome nor unwholesome, then the mind will be able to access the purity and calmness without any attachments.