Search results

538 results in 0.06s

หนังสือ

    การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อได้ตัวแปรของการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และ 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยใช้วิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 364 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น (Opinionnaire) แบบตรวจสอบรายการพร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.985 เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่า ได้ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มี 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร 2. วิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติจาก 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร เหลือ 4 องค์ประกอบ 50 ตัวแปร ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสถานศึกษา มี 10 ตัวแปร 2) การกำหนดทิศทางของสถานศึกษา มี 14 ตัวแปร 3) การนำแผนกลยุทธ์ไปใช้ในสถานศึกษา มี 17 ตัวแปร และ4) การควบคุมและประเมินแผนกลยุทธ์สถานศึกษา มี 9 ตัวแปร 3.การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อได้ตัวแปรของการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และ 3) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยใช้วิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 364 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น (Opinionnaire) แบบตรวจสอบรายการพร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.985 เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่า ได้ตัวแปรการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มี 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร 2. วิเคราะห์องค์ประกอบและร่างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติจาก 5 องค์ประกอบ 112 ตัวแปร เหลือ 4 องค์ประกอบ 50 ตัวแปร ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสถานศึกษา มี 10 ตัวแปร 2) การกำหนดทิศทางของสถานศึกษา มี 14 ตัวแปร 3) การนำแผนกลยุทธ์ไปใช้ในสถานศึกษา มี 17 ตัวแปร และ4) การควบคุมและประเมินแผนกลยุทธ์สถานศึกษา มี 9 ตัวแปร 3.การประเมินและรับรองรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านความเป็นไปได้ ความถูกต้อง ความเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ผ่านการประเมินคิดเป็นร้อยละ 100
This purpose of this research were as follows: 1) to get the components from strategic administration for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division 2) Analyze components and draft a strategic administration model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division and 3) to evaluate and affirm a strategic administration model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division. The mixed research methodology was used in the study. The data were collected by questionnaires with reliability at 0.985, item checklist with suggestions from experts and checklist forms from 364 samples consisting of school directors and teachers in Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division. The were collected from January 2022 to December 2022 and analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, exploratory factor analysis. 1. The components of Strategic Administration for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division consist of 5 components and 112 variables. 2. Strategic Administration Model for Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division according to the concept of Phrapariyattidhamma Schools, General Education Division from exploratory factor analysis (EFA) has 4 main components; 1) an analysis of the educational school's environment, there were 10 variables. 2) setting the direction of the educational school, there were 14 variables. 3) implementing the strategic plan in the educational schools, there were 17 variables. and 4) controlling and evaluating the plan. academy strategy, there were 9 variables. 3. The evaluation and confirmation of model from experts in its were at 100 verification of acceptable range of accuracy, suitability, possibility, and practicality.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก 3)เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยรวบรวมข้อมูลทางเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และจัดเวทีเสวนากลุ่ม จากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 16 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก พบว่า ปัจจัยต่างๆที่ช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิต หมายถึง การมีชีวิตที่ดีมีความสุขมีความสมบูรณ์เกี่ยวกับปัจจัยทั้งทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และ ด้านสังคม มีการดำรงชีวิตอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามความจำเป็นพื้นฐานในสังคมหนึ่งๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ รวมทั้งเป็นความรู้สึกของการอยู่อย่างพอใจต่อองค์ประกอบต่าง ๆ ของชีวิต พร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และบุคคลสามารถดำรงตนเองให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม เป็นคนที่รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและไม่ทำตนให้เป็นภาระที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก พบว่า มีแนวทางในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการอบรมกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการจัดกิจกรรมในประเพณีต่างๆในทางศาสนา กระบวนการเผยแพร่ข่าวสารทั้งภาครัฐและเอกชน กระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง กระบวนการรัฐสวัสดิการหรือการช่วยเหลือทางภาครัฐ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก ผ่านรูปแบบที่เรียกว่า เรียกว่า OMGI Model กล่าวคือ O หมายถึง Original Traditions (ประเพณีต้นแบบ), M หมายถึง Moralities คุณธรรมจริยธรรมต่างๆ, G หมายถึง Guidelines แนวทางการพัฒนา, I หมายถึง Indicators ตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก 3)เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยรวบรวมข้อมูลทางเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และจัดเวทีเสวนากลุ่ม จากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 16 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก พบว่า ปัจจัยต่างๆที่ช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิต หมายถึง การมีชีวิตที่ดีมีความสุขมีความสมบูรณ์เกี่ยวกับปัจจัยทั้งทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และ ด้านสังคม มีการดำรงชีวิตอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามความจำเป็นพื้นฐานในสังคมหนึ่งๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ รวมทั้งเป็นความรู้สึกของการอยู่อย่างพอใจต่อองค์ประกอบต่าง ๆ ของชีวิต พร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และบุคคลสามารถดำรงตนเองให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม เป็นคนที่รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและไม่ทำตนให้เป็นภาระที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก พบว่า มีแนวทางในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการอบรมกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการจัดกิจกรรมในประเพณีต่างๆในทางศาสนา กระบวนการเผยแพร่ข่าวสารทั้งภาครัฐและเอกชน กระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง กระบวนการรัฐสวัสดิการหรือการช่วยเหลือทางภาครัฐ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยใช้หลักธรรมในประเพณีต้นแบบของจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นฐานราก ผ่านรูปแบบที่เรียกว่า เรียกว่า OMGI Model กล่าวคือ O หมายถึง Original Traditions (ประเพณีต้นแบบ), M หมายถึง Moralities คุณธรรมจริยธรรมต่างๆ, G หมายถึง Guidelines แนวทางการพัฒนา, I หมายถึง Indicators ตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพ
The objectives of this research were as follows: 1) to study the contributing factors to guide the life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically 2) to study the guideline for life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically 3) to present the guideline for life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically. This research was qualitative research by collecting data from documents, in-depth interviews, and organizing a group discussion with the scholars and experts, 16 persons. The research tools were interview forms and data analysis by a descriptive method. The findings were as follows : 1. The contributing factors to guide the life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically found that the factors which are contributed to the life quality development of people referred to the happy and good life, perfect life, on the factors on physical, mental, and social. There are living on the proper level according to a basic need in society at a moment time, and to get satisfactory to components of life and ready to be a self-development for suitable in social change and they can be performed as benefit ability both oneself and society, can be helped each other without burden to others. 2. The guideline for life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically found that the guideline for moving the processes of life quality development must be composed of; the process of training, the process of religion’s affair traditional training, the process of public and private advertising, the process of self-development and the process of state welfare contribution. 3. The presentation of the guideline for life quality development of people based on Buddhadhamma in the original tradition of Nakhon Si Thammarat as basically throughout OMGI model, O = Original Traditions, M = Moralities, G = Guidelines, I = Indicators
หนังสือ

    ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรี 2) เพื่อพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 26 รูป/คน ทั้งในส่วนสัมภาษณ์เชิงลึกและการเสวนากลุ่ม นำข้อมูลมาวิเคราะห์จัดระบบเป็นหมวดหมู่ และสรุปผลวิจัยนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: สภาพปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรี มี 5 ด้าน 1) ด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม โดยการอบรมให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ และให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 2) ด้านความมั่นคงและปลอดภัยโดยการเรียนรู้วิธีการประกอบอาชีพต่าง ๆ 3) ด้านสัมพันธภาพภายในครอบครัวและคนในสังคมด้วยการจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ 4) ด้านการได้รับการยกย่องด้วยการจัดกิจกรรมวันผู้สูงอายุ 5) ด้านการต้องการพัฒนาตนเองโดยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้แนวคิดทางพระพุทธศาสนา การพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา 5 ด้าน 1) กิจกรรมอาหารกาย อาหารใจ เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านมาตรฐานคุณภาพชีวิต 2) กิจกรรมความพอเพียง เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านความสุขในการดำรงชีวิต 3 กิจกรรมเทคนิคการเชื่อมสัมพันธ์ เกื้อกูลคุณค่าด้านความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ 4) กิจกรรมแสดงความสามารถด้านภูมิปัญญา เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านการรับรู้ความสามารถตนเอง เกิดความภาคภูมิใจ 5) กิจกรรมปฏิบัติธรรมตามวัย ให้ผู้สูงอายุเห็นคุณค่าตนเองด้านคุณความดี คือ การบรรลุซึ่งศีลธรรม และด้านพลังอำนาจ คือ การมีอิทธิพลต่อตนเองและผู้อื่น รูปแบบการพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนามีกระบวนขั้นตอนเรียกว่า “ระดับการศึกษา 4 ขั้น” ระดับปฐมาวุโส มีความรู้ มีความรู้ในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ระดับทุติยาวุโส อยู่เป็น การเรียนรู้ในการสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง ระดับตติยาวุโส เห็นปัญญา การรับรู้ความสามารถตนเองด้านภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ ระดับจตุราวุโส การพัฒนาตน กิจกรรมปฏิบัติธรรมเพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขจากการเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ระดับการศึกษา 4 ขั้น ที่ทำให้ผู้สูงอายุมองเห็นคุณค่าของตนเองทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ซึ่งอยู่ในสัญลักษณ์ดวงตาแห่งคุณค่า เรียกว่า SCCL MODEL
ดุษฎีนิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรี 2) เพื่อพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 26 รูป/คน ทั้งในส่วนสัมภาษณ์เชิงลึกและการเสวนากลุ่ม นำข้อมูลมาวิเคราะห์จัดระบบเป็นหมวดหมู่ และสรุปผลวิจัยนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า: สภาพปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรี มี 5 ด้าน 1) ด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม โดยการอบรมให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ และให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 2) ด้านความมั่นคงและปลอดภัยโดยการเรียนรู้วิธีการประกอบอาชีพต่าง ๆ 3) ด้านสัมพันธภาพภายในครอบครัวและคนในสังคมด้วยการจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ 4) ด้านการได้รับการยกย่องด้วยการจัดกิจกรรมวันผู้สูงอายุ 5) ด้านการต้องการพัฒนาตนเองโดยการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้แนวคิดทางพระพุทธศาสนา การพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนา 5 ด้าน 1) กิจกรรมอาหารกาย อาหารใจ เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านมาตรฐานคุณภาพชีวิต 2) กิจกรรมความพอเพียง เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านความสุขในการดำรงชีวิต 3 กิจกรรมเทคนิคการเชื่อมสัมพันธ์ เกื้อกูลคุณค่าด้านความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ 4) กิจกรรมแสดงความสามารถด้านภูมิปัญญา เกื้อกูลคุณค่าตนเองด้านการรับรู้ความสามารถตนเอง เกิดความภาคภูมิใจ 5) กิจกรรมปฏิบัติธรรมตามวัย ให้ผู้สูงอายุเห็นคุณค่าตนเองด้านคุณความดี คือ การบรรลุซึ่งศีลธรรม และด้านพลังอำนาจ คือ การมีอิทธิพลต่อตนเองและผู้อื่น รูปแบบการพัฒนาปัจจัยเกื้อกูลต่อการเห็นคุณค่าตนเองของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรีตามแนวพระพุทธศาสนามีกระบวนขั้นตอนเรียกว่า “ระดับการศึกษา 4 ขั้น” ระดับปฐมาวุโส มีความรู้ มีความรู้ในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ระดับทุติยาวุโส อยู่เป็น การเรียนรู้ในการสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง ระดับตติยาวุโส เห็นปัญญา การรับรู้ความสามารถตนเองด้านภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ ระดับจตุราวุโส การพัฒนาตน กิจกรรมปฏิบัติธรรมเพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขจากการเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ระดับการศึกษา 4 ขั้น ที่ทำให้ผู้สูงอายุมองเห็นคุณค่าของตนเองทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ซึ่งอยู่ในสัญลักษณ์ดวงตาแห่งคุณค่า เรียกว่า SCCL MODEL
The objectives of this dissertation were as follows 1) to study the condition of factors contributing to the self-esteem of the elderly in the elderly school in Kanchanaburi Province, 2) to develop factors contributing to the self-esteem based on Buddhism of elders in the elderly school in Kanchanaburi Province, 3) to present a model for developing factors contributing to the self-esteem based on Buddhism in the elderly school in Kanchanaburi Province. The dissertation was qualitative research in which all data were collected from the Tipitaka, Commentaries, Texts and relevant documents and other researches. There were 26 key informant persons used both in the in-depth interview and group discussion. The data were systematically analyzed and presented the results through the narrative interpretation. The research results showed that : Conditions of factors contributing to the self-esteem of the elderly in the elderly school in Kanchanaburi Province consist of 5 aspects namely; 1) Physical and environment concerning to healthy education and arrangement of the environment and accommodation suitable for the elderly, 2) Security and safety concerning to train the method of various occupations, 3) Relationship within the family and people in society concerning to provide beneficial activities, 4) Recognition concerning to provide activities in the Elderly Day, and 5) Self-development concerning to encourage the elders to learn Buddhist perspectives. The development of factors contributing to the self-esteem of the elderly based on Buddhism of elders in the elderly school in Kanchanaburi Province are consisted of 5 aspects; 1) to contribute esteem in term of quality of life standard by supporting both physical food and mental food, 2) to contribute esteem in term of happiness in life by creating sufficiency activities, 3 to contribute esteem in term of self-important perception by providing collaborative technique activities, 4) to contribute esteem in term of self-worthy to be proud by showing intelligent activities, and 5) to contribute esteem in term of virtue regarding to attainment of morality and power regarding to influence oneself and others by practicing Dhamma suitable for the elderly. The model of factors development contributing to the self-esteem of the elderly based on Buddhism of elders in the elderly school in Kanchanaburi Province laid upon the process called “4 levels of education”. The first level is Pathamavuso. It is a beginning elder level consisting of knowledge to create a good quality of life. The second level is Dutiyavuso. It is a know-how living level consisting of learning to build relationships with those around you. The third level is Tatiyavuso. It is a right view level consisting of perceiving to improve self-capability. The fourth level is Caturavuso. It is a self-development level consisting of practicing to cultivate the right realization of the world for making the elders happy. In order to conclude all 4 levels of education as the body of knowledge of self-esteem elderly contribution is called “SCCL MODEL in the value eye symbol”.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ด) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ด) พุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

หนังสือ

หนังสือ

หนังสือ

    การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ของครูสู่การพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จ เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัยบนพื้นฐานจากการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและจากการเป็นสังคมฐานความรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยนำเอานานาทัศนะสากลเกี่ยวกับแนวการพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จที่มีผู้รู้นำเสนอไว้อย่างหลากหลายทางอินเทอร์เน็ต มาจัดกระทำโดยกระบวนการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำมาใช้ในการเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้นั้นไปสู่การพัฒนาผู้เรียนตามแนวคิด “ความรู้และการกระทำคืออำนาจ” (Knowledge and action are power) โดยเชื่อว่าหากครูเกิดการเรียนรู้แล้ว ครูย่อมนำผลการเรียนรู้นั้นสู่การปฏิบัติในห้องเรียนก็จะก่อให้เกิดอำนาจที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ซึ่งจากผลการวิจัย ทำให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมอบรมออนไลน์ด้วยตนเองเพื่อยกระดับการเรียนรู้ของครูเพื่อพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จ” ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาจากครูผู้มีส่วนได้เสียกับการนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปใช้ และผ่านการวิจัยเชิงทดลองในภาคสนามแล้ว พบว่า มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด แสดงว่านวัตกรรมทางการศึกษานี้สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้พัฒนาครูสู่การพัฒนานักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกูฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายในการเผยแพร่ผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้ทั้งในส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ของครูสู่การพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จ เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัยบนพื้นฐานจากการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและจากการเป็นสังคมฐานความรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยนำเอานานาทัศนะสากลเกี่ยวกับแนวการพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จที่มีผู้รู้นำเสนอไว้อย่างหลากหลายทางอินเทอร์เน็ต มาจัดกระทำโดยกระบวนการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำมาใช้ในการเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับครู แล้วครูนำผลการเรียนรู้นั้นไปสู่การพัฒนาผู้เรียนตามแนวคิด “ความรู้และการกระทำคืออำนาจ” (Knowledge and action are power) โดยเชื่อว่าหากครูเกิดการเรียนรู้แล้ว ครูย่อมนำผลการเรียนรู้นั้นสู่การปฏิบัติในห้องเรียนก็จะก่อให้เกิดอำนาจที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ซึ่งจากผลการวิจัย ทำให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมอบรมออนไลน์ด้วยตนเองเพื่อยกระดับการเรียนรู้ของครูเพื่อพัฒนานักศึกษาให้เป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จ” ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาจากครูผู้มีส่วนได้เสียกับการนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปใช้ และผ่านการวิจัยเชิงทดลองในภาคสนามแล้ว พบว่า มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด แสดงว่านวัตกรรมทางการศึกษานี้สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อใช้พัฒนาครูสู่การพัฒนานักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกูฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายในการเผยแพร่ผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้ทั้งในส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง
This research aims to enhance teachers' learning towards the development of successful students. It is an operation within a research project based on the foundation of digital technology advancements and the knowledge-based society in the 21st century. By utilizing various global perspectives on the development of successful students presented by experts on the internet, the research and development process is conducted to create educational innovations that can be applied to empower teachers' learning. Teachers will then use their learning outcomes to develop students according to the concept "knowledge and action is power." The belief is that if teachers experience learning, they will bring that learning into practice in the classroom, leading to more effective outcomes for students. The research results in an educational innovation called "Self-Paced Online Training Program to Enhance Teachers' Learning for the Development of Successful Students." This innovation has been quality-checked by teachers who are stakeholders in its implementation and has undergone experimental field research. The findings indicate its effectiveness according to the established criteria, demonstrating that this educational innovation can be disseminated for the development of teachers towards the development of students at Mahamakut Buddhist University, the target population for the dissemination of this research, both centrally and at all regional campuses.
หนังสือ

    การวิจัยนี้เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัย “เสริมพลังการเรียนรู้ของครูสู่การเพิ่มพูนทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษา” ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งในแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัยเกี่ยวกับทักษะศตวรรษที่ 21 ของหลักสูตรศึกษาสาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัยที่คณะผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์จากโอกาสการเป็นสังคมฐานความรู้และสังคมดิจิทัลในยุคปัจจุบัน โดยนำเอานานาทัศนะเกี่ยวกับทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีแพร่กระจายอย่างหลากหลายทางอินเทอร์เน็ตมาจัดกระทำด้วยระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำมาเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับครู เพื่อให้ครูนำผลการเรียนรู้นั้นไปสู่การสอนให้เกิดผลกับผู้เรียน โดยมีความเชื่อว่าหากครูได้รับความรู้แล้ว กระตุ้นให้ครูนำความรู้นั้นสู่การปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดอำนาจ (Power) ให้การสอนของครูมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามแนวคิด “ความรู้ + การปฏิบัติ = อำนาจ” (Knowledge + Action = Power) ซึ่งจากผลการดำเนินการวิจัยทำให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมอบรมออนไลน์ด้วยตนเองเพื่อเสริมพลังการเรียนรู้ของครูสู่การเพิ่มพูนทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษา” ที่ผ่านการตรวจสอบจากครูผู้มีส่วนได้เสียกับการนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปใช้ และผ่านกระบวนการของการวิจัยเชิงทดลองในสภาคสนามแล้วพบว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงสามารถนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับการพัฒนาครูสู่การพัฒนานักศึกษาระดับปริญญาตรีในหลักสูตรสาขาวิชาการสอนภาษาไทย สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทั้งในส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายในการเผยแพร่ผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ
การวิจัยนี้เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัย “เสริมพลังการเรียนรู้ของครูสู่การเพิ่มพูนทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษา” ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งในแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัยเกี่ยวกับทักษะศตวรรษที่ 21 ของหลักสูตรศึกษาสาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน เป็นปฏิบัติการในโครงการวิจัยที่คณะผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์จากโอกาสการเป็นสังคมฐานความรู้และสังคมดิจิทัลในยุคปัจจุบัน โดยนำเอานานาทัศนะเกี่ยวกับทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีแพร่กระจายอย่างหลากหลายทางอินเทอร์เน็ตมาจัดกระทำด้วยระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำมาเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับครู เพื่อให้ครูนำผลการเรียนรู้นั้นไปสู่การสอนให้เกิดผลกับผู้เรียน โดยมีความเชื่อว่าหากครูได้รับความรู้แล้ว กระตุ้นให้ครูนำความรู้นั้นสู่การปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดอำนาจ (Power) ให้การสอนของครูมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามแนวคิด “ความรู้ + การปฏิบัติ = อำนาจ” (Knowledge + Action = Power) ซึ่งจากผลการดำเนินการวิจัยทำให้ได้นวัตกรรมทางการศึกษาที่เรียกว่า “โปรแกรมอบรมออนไลน์ด้วยตนเองเพื่อเสริมพลังการเรียนรู้ของครูสู่การเพิ่มพูนทักษะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษา” ที่ผ่านการตรวจสอบจากครูผู้มีส่วนได้เสียกับการนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปใช้ และผ่านกระบวนการของการวิจัยเชิงทดลองในสภาคสนามแล้วพบว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงสามารถนำนวัตกรรมทางการศึกษานี้ไปเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์กับการพัฒนาครูสู่การพัฒนานักศึกษาระดับปริญญาตรีในหลักสูตรสาขาวิชาการสอนภาษาไทย สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทั้งในส่วนกลางและวิทยาเขตทุกแห่ง ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มเป้าหมายในการเผยแพร่ผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ
This research was conducted in a research project “Empowering Teachers' Learning to Enhance Students' Change Leadership Skills” which was one of the projects in the research program or series of research projects on 21st century skills of the Doctor of Education, Program in Educational Administration of Mahamakut Buddhist University Isan Campus. It was a research project where the research team realized to take advantage of the opportunities of being a knowledge-based society and digital society in today's era. The researchers brought various perspectives on change leadership skills that are widely spread through the Internet to create research and development methodologies to obtain educational innovations that can be used to empower learning with the teacher. The teachers incorporated the learning outcomes and made their lessons beneficial for the students. According to the concept of “knowledge + action = power”, if teachers were provided with knowledge and were encouraged to put it forth into practice, they would have the power to increase the effectiveness of their instruction. The research findings led to the development of an educational innovation known as a " Self-paced online training program to empower teachers' learning to enhance students' transformational leadership skills," which has been evaluated by teachers who were interested in putting it into practice and through a process of field-based experimental research and found to be effective according to the specified criteria. Therefore, this educational innovation can be disseminated for the benefit of teacher development to develop undergraduate students in the Thai language teaching Program, teaching English Program, and teaching social studies program of the Faculty of Education, Mahamakut Buddhist University both in the main campus and all other campuses which was the target population for the dissemination of this research quickly, economically and efficiently.
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2551
Note: วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2551