Search results

7 results in 0.08s

หนังสือ

    การศึกษาการเปลี่ยนแปลงชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา การเปลี่ยนแปลง และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของชาวปกาเกอะญอบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวนทั้งสิ้น ๓๐ ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพนี้ คือ แบบสอบถามปลายเปิด จำนวน ๔ ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ให้สัมภาษณ์ ตอนที่ ๒ บริบทชุมชนบ้านแม่เหาะ ตอนที่ ๓ สภาพชีวิตของชุมชนบ้านแม่เหาะ และตอนที่ ๔ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนบ้านแม่เหาะ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ อ้างอิงเปรียบเทียบข้อมูลในเอกสารงานวิจัยอื่น ๆ ผลการวิจัยพบว่า: การศึกษาการเปลี่ยนแปลงชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีวิดีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมที่เคยปฏิบัติกันมา ไม่ว่าจะเป็นในด้านปัจจัยภายในของสังคม และปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นจากกระแสของการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยใหม่ ซึ่งมีปัจจัยเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ ปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมทำให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อชุมชนบ้านแม่เหาะควบคู่กันไป เหตุที่เป็นดังนี้ก็เนื่องมากจากการที่ระบบทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์มีความสัมพันธ์เชี่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา การเปลี่ยนแปลง และปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของชาวปกาเกอะญอบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวนทั้งสิ้น ๓๐ ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพนี้ คือ แบบสอบถามปลายเปิด จำนวน ๔ ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ให้สัมภาษณ์ ตอนที่ ๒ บริบทชุมชนบ้านแม่เหาะ ตอนที่ ๓ สภาพชีวิตของชุมชนบ้านแม่เหาะ และตอนที่ ๔ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนบ้านแม่เหาะ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ อ้างอิงเปรียบเทียบข้อมูลในเอกสารงานวิจัยอื่น ๆ ผลการวิจัยพบว่า: การศึกษาการเปลี่ยนแปลงชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีวิดีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมที่เคยปฏิบัติกันมา ไม่ว่าจะเป็นในด้านปัจจัยภายในของสังคม และปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นจากกระแสของการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยใหม่ ซึ่งมีปัจจัยเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ ปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมทำให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อชุมชนบ้านแม่เหาะควบคู่กันไป เหตุที่เป็นดังนี้ก็เนื่องมากจากการที่ระบบทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์มีความสัมพันธ์เชี่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชุมชนปกาเกอะญอ ชุมชนบ้านแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
The objective of the Study of changes in the Karen Pagagayaw, Ban Mae Hoh Community, Mae Hoh Sub-District, Mae Sariang District, Mae Hong Son Province is to study the history, changing and factors that cause changing of the Pagagayaw people in Ban Mae Hoh, Mae Sariang District, Mae Hong Son Province. The population in this study is 30 cases living in Ban Mae Hoh community, Mae Sariang District, Mae Hong Son Province. The qualitative research tools were 4 sections of open-ended questionnaires, consisted of part 1) general information about interviewees, part 2) about Ban Mae Hoh community, part 3) about life conditions in Ban Mae Hoh and part 4) the community factors that cause changes within the Ban Mae Hoh community. The data was analyzed from the interview and the study of previous research papers. The research found that: From the study of changes in the Karen Pagagayaw, Ban Mae Hoh Community, Mae Hoh Sub-District, Mae Sariang District, Mae Hong Son Province, their way of life has different from the traditional practice in terms of internal factors like society and external factors arising from the current trend of changing according to the modern era for Ban. The important factor that results in the changes is both Internal and external factors. These factors will cause both positive and negative impacts to the Mae Hoh community in the same time. The reasons are that the social and cultural systems of human beings are constantly intertwined and therefore want to study the changes of the Karen Pagagayaw community, Ban Mae Hoh Community, Mae Sariang District, Mae Hong Son Province.
หนังสือ

    การวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยาน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสง์ 1) เพื่อศึกษาหลักคำสอนในนิกายวัชรยาน 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักคำสอนในนิกายวัชรยาน พบว่าคำสอนในพุทธศาสนาวัชรยานไม่ว่าจะเป็นหลักพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกไม่ได้มีความแตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาเถรวาทแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ฝ่ายเถรวาทมี ฝ่ายวัชรยานก็มีเช่นกัน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระพุทธศาสนาวัชรยานเกือบจะเป็นหนึ่งเดียว ในบรรดาพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบันที่ยังรักษาสมบัติอันมีค่ายิ่งแห่งตันตระประเพณีของพระพุทธศาสนาจากอินเดียไว้ได้ทั้งหมด ตันตระยานปรากฏขึ้นในช่วงสามของชีวิตพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งเน้นที่ตันตระวิธีและมันตระยาน นับเป็นมิติพิเศษที่รับรู้ทางรหัสนัยของวัชรยาน คือเน้นที่การปฏิบัติธรรมโดยพื้นฐานว่า พระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์กับโยคาวจารอย่างเป็นจริงเป็นจริง ณ ขณะปฏิบัติธรรมนั้น นับเป็นวิธีที่สั่งสอนให้เข้าถึงพุทธภาวะในชาตินี้ หาไม่ก็ภายในอีกไม่กี่ชาติข้างหน้า นับเป็นการเร่งโพธิสัตว์มรรคาของวัชรยาน ที่ผู้ปฏิบัติธรรมอธิษฐานให้ความเป็นสามัญมนุษย์เข้าถึงพุทธภาวะ 2. การปฏิบัติตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพบว่าตันตระแม้จะมีเหตุผลนำไปสู่ความเชื่อและข้อปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏในพระพุทธศาสนา หลาย ๆ อย่างเอื้อต่อความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นของการละเมิดศีล (ดื่มน้ำเมา) การให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ ตลอดจนการยอมรับให้พระชินพุทธเจ้าตลอดจนเทพทั้งหลายมีสัญลักษณ์ภาคคู่ที่เรียกว่า ศักติหรือเทวี ภาพพระชินพุทธเจ้ากำลังโอบกอดเทวีของพระองค์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในงานศิลปะทิเบต แม้แต่ในมณฑลบ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ดังนั้นการศึกษาการปฏิบัติตันตระ เข้าใจจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาความเชื่ออันแฝงอยู่ในสัญลักษณ์เหล่านั้นด้วย เป้าหมายของการปฏิบัติตันตระในเบื้องต้นมุ่งหวังเพื่อที่จะดึงความศรัทธาของประชาชนที่ส่วนใหญ่หันไปให้ความเคารพนับถือวิธีการของฮินดูตันตระให้กลับมานับถือพุทธศาสนาเหมือนเดิม แต่เป้าหมายหลักก็คือการนําเสนอหลักการใหม่เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าเดิม หากมองผิวเผินอาจดูว่ามีความแปลกประหลาด แต่ถ้าเข้าไปศึกษาการปฏิบัติของตันตระแล้วจะเห็นว่ายังคงมุ่งตรงสู่ความหลุดพ้น เหมือนกับนิกายอื่น ๆ เพียงแต่วิธีการเท่านั้นที่ดูต่างกัน 3. วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพุทธศาสนิกชนชาวพุทธวัชรยานต่างมีวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน วิถีชีวิตประจำวันของชาวพุทธวัชรยานจึงมีศาสนาเป็นเครื่องนำทาง ในทุก ๆ วันแทบทุกคนล้วนต้องมีพิธีกรรมทางตันตระเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้าน ระหว่างทางเดินจนถึงที่ทำงาน ชาวพุทธวัชรยานบางคนจะกระทำพิธีกรรมทางศาสนาทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยการท่องมนต์ ทำสมาธิ นับลูกประคำและการแกว่งหรือหมุนกงล้อมนตรา จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมประจำชาติ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยาน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสง์ 1) เพื่อศึกษาหลักคำสอนในนิกายวัชรยาน 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิการวัชรยาน ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักคำสอนในนิกายวัชรยาน พบว่าคำสอนในพุทธศาสนาวัชรยานไม่ว่าจะเป็นหลักพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกไม่ได้มีความแตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาเถรวาทแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ฝ่ายเถรวาทมี ฝ่ายวัชรยานก็มีเช่นกัน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระพุทธศาสนาวัชรยานเกือบจะเป็นหนึ่งเดียว ในบรรดาพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบันที่ยังรักษาสมบัติอันมีค่ายิ่งแห่งตันตระประเพณีของพระพุทธศาสนาจากอินเดียไว้ได้ทั้งหมด ตันตระยานปรากฏขึ้นในช่วงสามของชีวิตพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งเน้นที่ตันตระวิธีและมันตระยาน นับเป็นมิติพิเศษที่รับรู้ทางรหัสนัยของวัชรยาน คือเน้นที่การปฏิบัติธรรมโดยพื้นฐานว่า พระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์กับโยคาวจารอย่างเป็นจริงเป็นจริง ณ ขณะปฏิบัติธรรมนั้น นับเป็นวิธีที่สั่งสอนให้เข้าถึงพุทธภาวะในชาตินี้ หาไม่ก็ภายในอีกไม่กี่ชาติข้างหน้า นับเป็นการเร่งโพธิสัตว์มรรคาของวัชรยาน ที่ผู้ปฏิบัติธรรมอธิษฐานให้ความเป็นสามัญมนุษย์เข้าถึงพุทธภาวะ 2. การปฏิบัติตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพบว่าตันตระแม้จะมีเหตุผลนำไปสู่ความเชื่อและข้อปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏในพระพุทธศาสนา หลาย ๆ อย่างเอื้อต่อความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นของการละเมิดศีล (ดื่มน้ำเมา) การให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ ตลอดจนการยอมรับให้พระชินพุทธเจ้าตลอดจนเทพทั้งหลายมีสัญลักษณ์ภาคคู่ที่เรียกว่า ศักติหรือเทวี ภาพพระชินพุทธเจ้ากำลังโอบกอดเทวีของพระองค์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในงานศิลปะทิเบต แม้แต่ในมณฑลบ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ดังนั้นการศึกษาการปฏิบัติตันตระ เข้าใจจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาความเชื่ออันแฝงอยู่ในสัญลักษณ์เหล่านั้นด้วย เป้าหมายของการปฏิบัติตันตระในเบื้องต้นมุ่งหวังเพื่อที่จะดึงความศรัทธาของประชาชนที่ส่วนใหญ่หันไปให้ความเคารพนับถือวิธีการของฮินดูตันตระให้กลับมานับถือพุทธศาสนาเหมือนเดิม แต่เป้าหมายหลักก็คือการนําเสนอหลักการใหม่เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าเดิม หากมองผิวเผินอาจดูว่ามีความแปลกประหลาด แต่ถ้าเข้าไปศึกษาการปฏิบัติของตันตระแล้วจะเห็นว่ายังคงมุ่งตรงสู่ความหลุดพ้น เหมือนกับนิกายอื่น ๆ เพียงแต่วิธีการเท่านั้นที่ดูต่างกัน 3. วิถีชีวิตตามแนวตันตระในนิกายวัชรยานพุทธศาสนิกชนชาวพุทธวัชรยานต่างมีวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน วิถีชีวิตประจำวันของชาวพุทธวัชรยานจึงมีศาสนาเป็นเครื่องนำทาง ในทุก ๆ วันแทบทุกคนล้วนต้องมีพิธีกรรมทางตันตระเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้าน ระหว่างทางเดินจนถึงที่ทำงาน ชาวพุทธวัชรยานบางคนจะกระทำพิธีกรรมทางศาสนาทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยการท่องมนต์ ทำสมาธิ นับลูกประคำและการแกว่งหรือหมุนกงล้อมนตรา จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมประจำชาติ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
This study is an analysis ofThe Way of Life According to Trantra Tradition in Vajrayana Buddhism. This study is qualitative research which aims of study about 1) To study the teaching of Vajrayana Buddhism, 2) To study the Tantra practices according to Vajranaya tradition and 3) To analyze the way of life according to the tantra tradition in Vajrayana Buddhism. The study shows that 1. Inrespect of Vajrayana teaching, Vajrayana followers view their school as not different from Theravada in terms of sharing the monastic codes (Vinaya), discourses (Sutta), and the higher doctrine (Abhidhamma). In addition, It can be said that Vajrayana has its own identity that can preserve the knowledge on Tantra transmitted from India. The esoteric practice of Vajrayana focuses on many aspects such as the Buddhas can reveal their bodies to the practitioners in meditation, while the enlightenment can also be reached in this very life. In consequence, the way of Bodhisattva can be accelerated, in which the practitioners can have determination to attain the Buddha-hood in the form of human beings. 2. Regarding the guideline of Vajranaya, various practices such as drinking alcohol, sexual conduct, and the acceptance of Buddha in the forms of deities (the Buddha embracing his spouse for example), can be assumed as irrational and distorted based on the Theravada idea. In fact, the purpose of Tantra practice is aimed to attract people who are interested in Hindu Tantra to Buddhism. However, according to the Buddhist Tanta in Vajrayana, though this kind of practice is odd, but it is the direct way to enlightenment, which is claimed to be faster and easier than the practices of other schools. Therefore, it still focuses on enlightenment, though the way is different, as can be found in other Buddhist schools. 3. In terms of the way of life according to Vajranaya, Vajranaya followers live their lives on the Vajranaya’s way. They practice Vajranaya in daily life, from waking to sleeping, including the time when they go to work. The rituals can be performed in the positions of standing, walking, sitting, and laying down, by chanting, meditating, counting the Mala, as well as turning around the mantra bells and prayer wheel. These practices ultimately become their culture and identity.
หนังสือ

    การศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน จำนวนทั้งสิ้น 25 ราย คัดเลือกผู้ที่อาศัยในพื้นที่เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า : การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เกิดจากสภาพวิถีชีวิตของชุมชนในอดีตและปัจจุบัน ประกอบด้วยด้านครอบครัว ด้านอาชีพ ด้านการศึกษา ด้านการปกครอง ด้านศาสนาและวัฒนธรรม และด้านเทคโนโลยี และมีสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในชุมชน ประกอบด้วยสาเหตุภายใน ได้แก่ สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ความต้องการทางด้านวัตถุ การยอมรับประเพณีและวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาในชุมชน สาเหตุจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามา ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงแปลงไปด้วย และสาเหตุจากความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ส่วนสาเหตุภายนอก ได้แก่ เกิดจากสาเหตุด้านการพัฒนาของภาครัฐ และสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน จำนวนทั้งสิ้น 25 ราย คัดเลือกผู้ที่อาศัยในพื้นที่เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า : การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เกิดจากสภาพวิถีชีวิตของชุมชนในอดีตและปัจจุบัน ประกอบด้วยด้านครอบครัว ด้านอาชีพ ด้านการศึกษา ด้านการปกครอง ด้านศาสนาและวัฒนธรรม และด้านเทคโนโลยี และมีสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในชุมชน ประกอบด้วยสาเหตุภายใน ได้แก่ สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ความต้องการทางด้านวัตถุ การยอมรับประเพณีและวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาในชุมชน สาเหตุจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามา ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงแปลงไปด้วย และสาเหตุจากความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ส่วนสาเหตุภายนอก ได้แก่ เกิดจากสาเหตุด้านการพัฒนาของภาครัฐ และสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
This is the study of the lifestyle and change of the Karen community in Phra Bath Huai Tom village, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province. This study aimed to study the lifestyle and changes of the Karen community in Phra Bath Huai Tom village, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province. The sample in this study was the 25 people who lived in Ban Phra Bath Huai Tom Karen community, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province. All of the participant must have lived in the area for at least 30 years. The research designed qualitatively in order to investigate the phenomena of the lifestyle changes of the Karen community in Ban Phra Bath Huai Tom, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province. Interviewing was the tool for data collection. The research finds that : Lifestyle changes of the Karen community Ban Phra Bath Huai Tom, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province are, most of data analysis presented comparing, a result of the past and present community lifestyle which was consisting of family, career, education, administration, religion and culture, and technology. Those are reasons why the cause changes in lifestyle in the community. The changes were consisting of internal causes because of the increasing of their population, the materialism trend, and the accepting of new traditions and cultures. That is the main reason why their lifestyle was changing. When Karen people received external culture, this makes the way of life changing as well as beliefs, traditions and culture. The external cause is affected by the development of local and centered government which changed their lifestyle of Karen community in Ban Phra Bath Huai Tom community, Na Sai Sub-district, Li District, Lamphun Province.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) สังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของมนุษย์ในพระพุทธศาสนาและหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายยาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตของมนุษย์เป็นการกำเนิดชีวิตของสรรพสัตว์ 4 ประการ คือ ชลาพุชะ สัตว์กำเนิดในครรภ์ อัณฑชะ สัตว์เกิดในไข่ สังเสทชะ สัตว์เกิดในไคล และโอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น มีการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ มุ่งมั่นในการทำงาน วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการครองตนคือการดำรงตนอยู่ในสังคม การครองคนมีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากายใจ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยตนเอง อดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและหน้าที่การงาน จะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นในการทำงาน การประหยัดและเก็บออม รู้จักจ่ายตามสมควรของฐานะ ประหยัดเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว การรักษาระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย เป็นผู้ตรงต่อเวลาเป็นผู้มีวินัยในการตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา ละเว้นจากการประพฤติชั่ว และไม่ลุ่มหลงในอบายมุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต มีความจงรักภักดีต่อสถานบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท มี 3 อย่าง คือ การครองตน การดำรงตนอยู่ในสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ครอบครัว การครองคน มีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากาย รักษาใจ ใช้หลักธรรมปฏิบัติ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน การจ่ายยา การประเมินผล เก็บข้อมูล การทำลาย สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษไทย ได้ปฏิบัติสืบมา ได้ความรู้ แนวทางที่ชัดเจน ที่จะย้อนกับมาแห่งความสงบและปฏิบัติได้ถูกต้องตามครรลอง ครองธรรม
งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของมนุษย์ในพระพุทธศาสนาและหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายยาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อวิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตของมนุษย์เป็นการกำเนิดชีวิตของสรรพสัตว์ 4 ประการ คือ ชลาพุชะ สัตว์กำเนิดในครรภ์ อัณฑชะ สัตว์เกิดในไข่ สังเสทชะ สัตว์เกิดในไคล และโอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น มีการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ มุ่งมั่นในการทำงาน วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการครองตนคือการดำรงตนอยู่ในสังคม การครองคนมีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากายใจ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีการการฝึกตนเอง ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว มีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยตนเอง อดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและหน้าที่การงาน จะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นในการทำงาน การประหยัดและเก็บออม รู้จักจ่ายตามสมควรของฐานะ ประหยัดเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว การรักษาระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย เป็นผู้ตรงต่อเวลาเป็นผู้มีวินัยในการตรงต่อเวลา ปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา ละเว้นจากการประพฤติชั่ว และไม่ลุ่มหลงในอบายมุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต มีความจงรักภักดีต่อสถานบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ส่งเสริม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ วิเคราะห์วิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทย สาขายาสมุนไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักการทางพุทธปรัชญาเถรวาท มี 3 อย่าง คือ การครองตน การดำรงตนอยู่ในสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ครอบครัว การครองคน มีปฏิสัมพันธ์ในการรักษากาย รักษาใจ ใช้หลักธรรมปฏิบัติ การครองงาน มีวิธีการเก็บยา การประกอบเป็นตำรับให้กับคนไข้แต่ละคน การจ่ายยา การประเมินผล เก็บข้อมูล การทำลาย สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษไทย ได้ปฏิบัติสืบมา ได้ความรู้ แนวทางที่ชัดเจน ที่จะย้อนกับมาแห่งความสงบและปฏิบัติได้ถูกต้องตามครรลอง ครองธรรม
This research It has 3 objectives: 1) to study the way of life of humans in Buddhism and principles of Theravada Buddhist philosophy; 2) to study the way of life of the wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province 3) to analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine herbal medicine branch Roi Et Province. The results showed that The way of life of human beings is the origin of life of all living beings in four ways: jalabhuja, beast born in the womb, anddaja, beast born in the egg, sansedja, beast born in the Kai, and oppatika. have self-training diligent responsible Willingness to work on the job committed to work Analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province To have one's self is to live in society. Possession of people interacting in physical and mental treatment, occupation, and methods of drug storage. Assembling a recipe for each patient. The way of life of the wisdom teacher of Thai traditional medicine herbal medicine branch Roi Et Province have self-training Be diligent and responsible for yourself and your family. Willingness to work in the duties to achieve success on their own Patience and indomitable to problems, obstacles and work duties Must be committed to work saving and saving Know how to pay accordingly Save to build a position for yourself and your family. Maintaining discipline and respecting the law Being punctual and disciplined in being punctual follow the virtues of religion abstaining from bad behavior and is not obsessed with vices generosity, sacrifice, for the sake of the common good honesty Be loyal to the national, religious and monarch institutions, promote and support the democratic regime of government and comply with government policies. Analyze the way of life of wisdom teachers in Thai traditional medicine. herbal medicine branch Roi Et Province According to the principles of Theravada Buddhist philosophy, there are 3 things: self-doubt, living in society, community, village, family, dominating people, interacting to maintain body and mind, apply Dharma principles, dominate work, have methods to store medicines. Assembling a recipe for each patient, dispensing medications, evaluating, collecting data, destroying these are things that Thai ancestors have practiced and gained knowledge and clear guidelines to return to the coming of peace and to practice correctly according to the rules of the Dharma.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551