การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดที่มี เพศ อายุ และระดับการศึกษา ต่างกัน และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนตำบล ในอำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด รวม 344 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 185 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.89 และค่า IOC เท่ากับ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยใช้ t-test (Independent Samples) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยใช้ F-test (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านหลักคุณธรรม รองลงมา ด้านหลักความโปร่งใส และด้านหลักความคุ้มค่า ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตามเพศ อายุและ ระดับการศึกษา พบว่า บุคลากรที่มีเพศต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมแตกต่างกันและมีจำนวนสามด้าน คือ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใส และด้านหลักความรับผิดชอบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนบุคลากรที่มีอายุต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมไม่แตกต่างกันแต่มีสองด้านที่แตกต่าง คือ ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่า และบุคลากรที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมไม่แตกต่างกัน แต่มีสามด้านที่แตกต่าง คือ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่.05 3) ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ ลำดับความถี่มากไปหาน้อยสามอันดับแรก คือ ควรมีการบริหารงานอย่างโปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นตรวจสอบได้ ผู้บริหารควรยึดหลักการบริหารธรรมาภิบาลอยู่เสมอ และบุคลากรในอบต.จิตสำนึกในความรับผิดชอบต่ออำนาจ หน้าที่ของตนเองตามลำดับ
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดที่มี เพศ อายุ และระดับการศึกษา ต่างกัน และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนตำบล ในอำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด รวม 344 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 185 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.89 และค่า IOC เท่ากับ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยใช้ t-test (Independent Samples) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยใช้ F-test (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านหลักคุณธรรม รองลงมา ด้านหลักความโปร่งใส และด้านหลักความคุ้มค่า ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด จำแนกตามเพศ อายุและ ระดับการศึกษา พบว่า บุคลากรที่มีเพศต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมแตกต่างกันและมีจำนวนสามด้าน คือ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใส และด้านหลักความรับผิดชอบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนบุคลากรที่มีอายุต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมไม่แตกต่างกันแต่มีสองด้านที่แตกต่าง คือ ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่า และบุคลากรที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมไม่แตกต่างกัน แต่มีสามด้านที่แตกต่าง คือ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความรับผิดชอบ และด้านหลักความคุ้มค่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่.05 3) ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ ลำดับความถี่มากไปหาน้อยสามอันดับแรก คือ ควรมีการบริหารงานอย่างโปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นตรวจสอบได้ ผู้บริหารควรยึดหลักการบริหารธรรมาภิบาลอยู่เสมอ และบุคลากรในอบต.จิตสำนึกในความรับผิดชอบต่ออำนาจ หน้าที่ของตนเองตามลำดับ
This research served the purposes: 1) to study sub-district administrative organizations’ good governance-based administrations Chiang Khwan district of Roi Et province, 2) to compare their implementation of good-governance-based administrations in the preceding district with variables of respondents’ genders, ages and educational levels, and 3) to study their suggestions for enhancing their good governance-based administrations in the same district. Samples for conducting the research were personnel in the above administrative organizations, numbering 344 individuals. The sampling group based on Taro Yamane’s table comprised 185 individuals. The research instrument was the questionnaire with the reliability for the whole amounting to 0.89 and IOC at 1.0. Statistics for data analyses encompassed: percentages, arithmetic means, standard deviations, t-test (Independent Samples) and F-test (One-way ANOVA). Results of findings. 1) Their implementation of good governance-based administrations have been rated at the high scale in the overall aspect. Considering each one in the descending order of their means, three aspects are ethics, transparency and value of money respectively. 2) Comparative results of their implementation of them following classification of genders, ages and education levels have shown that personnel with different genders have implemented different scales of them in ethics, transparency and accountability, with the statistical significance level at .05, as those with different ages have in the overall aspect but accountability and value of money. Concurrently, personnel with differently educational levels have comprehensively implemented the same scale of them with the statistical significance level at .05, except for ethics, accountability and value of money,. 3) Suggestions in the descending order of first three frequencies are: first, there should have transparent administrations, no corruption, and accountability; secondly, administrators ought to cling to good governance-based administrations as a rule; finally, personnel in sub-district administrative organizations should raise their high awareness of responsibilities for powers and duties respectively.