การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์จากปฏิบัติการความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้เชิงบูรณาการกับการทำงานในวิทยาลัยเทคนิคหนองคายใน 3 ประเด็น คือ 1) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาตามตัวบ่งชี้ที่กำหนดของสถานศึกษา นักศึกษา และสถานประกอบการ 2) การเรียนรู้จากการปฏิบัติของผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา และ 3) องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในลักษณะเป็นทฤษฎีฐานราก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่ประกอบด้วย 2 วงจรของการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล วงจรละ 1 ภาคการศึกษา มีครูเป็นผู้ร่วมการวิจัย 19 คน มีนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา 30 คน ผลจากการวิจัยพบว่า 1) สถานศึกษา นักศึกษา และสถานประกอบการ ต่างมีค่าเฉลี่ยจากผลการประเมินหลังการปฏิบัติวงจรที่ 1 และวงจรที่ 2 สูงขึ้นกว่าก่อนการปฏิบัติ 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา ต่างมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประเด็น เช่น ความตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานแบบร่วมมือ ความสำคัญของการศึกษาทัศนะทางทฤษฎีเพื่อเสริมความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม และความสำคัญของการทำงานอย่างครบวงจรของการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล และ 3) ได้องค์ความรู้จากการปฏิบัติในลักษณะเป็นโมเดลตามกรอบแนวคิดการวิเคราะห์พลังขับของ Kurt Lewin ในองค์ประกอบดังนี้ 1) การเปลี่ยนแปลงที่คาดหวัง 2) ปัจจัยผลักดันที่นำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3) สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง 4) การเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีคำอธิบายถึงชุดของความคิดและความเชื่อที่ถือเป็นบทเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคายจะนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อการทบทวนและเสริมสร้างชุดของความคิดและความเชื่อมเพิ่มเติมที่จะทำให้การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้เชิงบูรณาการกับการทำงานของวิทยาลัยเทคนิคในอนาคตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นด้วยวงจรการพัฒนาแบบเกลียวสว่านที่ไม่มีสิ้นสุด
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์จากปฏิบัติการความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้เชิงบูรณาการกับการทำงานในวิทยาลัยเทคนิคหนองคายใน 3 ประเด็น คือ 1) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาตามตัวบ่งชี้ที่กำหนดของสถานศึกษา นักศึกษา และสถานประกอบการ 2) การเรียนรู้จากการปฏิบัติของผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา และ 3) องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในลักษณะเป็นทฤษฎีฐานราก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่ประกอบด้วย 2 วงจรของการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล วงจรละ 1 ภาคการศึกษา มีครูเป็นผู้ร่วมการวิจัย 19 คน มีนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา 30 คน ผลจากการวิจัยพบว่า 1) สถานศึกษา นักศึกษา และสถานประกอบการ ต่างมีค่าเฉลี่ยจากผลการประเมินหลังการปฏิบัติวงจรที่ 1 และวงจรที่ 2 สูงขึ้นกว่าก่อนการปฏิบัติ 2) ผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัย และสถานศึกษา ต่างมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติหลายประเด็น เช่น ความตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานแบบร่วมมือ ความสำคัญของการศึกษาทัศนะทางทฤษฎีเพื่อเสริมความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม และความสำคัญของการทำงานอย่างครบวงจรของการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล และ 3) ได้องค์ความรู้จากการปฏิบัติในลักษณะเป็นโมเดลตามกรอบแนวคิดการวิเคราะห์พลังขับของ Kurt Lewin ในองค์ประกอบดังนี้ 1) การเปลี่ยนแปลงที่คาดหวัง 2) ปัจจัยผลักดันที่นำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3) สิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง 4) การเอาชนะสิ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแต่ละองค์ประกอบมีคำอธิบายถึงชุดของความคิดและความเชื่อที่ถือเป็นบทเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคายจะนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อการทบทวนและเสริมสร้างชุดของความคิดและความเชื่อมเพิ่มเติมที่จะทำให้การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้เชิงบูรณาการกับการทำงานของวิทยาลัยเทคนิคในอนาคตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นด้วยวงจรการพัฒนาแบบเกลียวสว่านที่ไม่มีสิ้นสุด
This study aimed at investigating the outcomes of the cooperation practices, which were utilized to enhance the quality of work-integrated learning at Nong Khai Technical College. The investigation covered the following three aspects: 1) the changes, which had arisen from the development of specified indicators: educational institution, students, and workplaces; 2) the learning, which had been derived from the practices of the researcher, the research participants, and the educational institution; and 3) the body of knowledge, which had been obtained from the practice as a foundation theory. A participatory action research methodology was adopted, consisting of a cycle of planning, practice, observation, and reflection during two semesters. There were 19 teachers and 30 students involved in this research and development. The results of the study revealed three key features. Firstly, the post-practice evaluation in both the first and the second cycles for the educational institutions, students, and workplaces had been higher than the pre-practice evaluation. Secondly, the researcher, co-researchers, and the educational institutions had learned from various issues of the practice, such as gaining an awareness of the importance of collaborative work, the importance of studying the theoretical perspective in order to enhance the existing knowledge and experiences, and the importance of planning, practice, observation, and reflection in comprehensive work. Finally, the knowledge gained had been found to correlate with Kurt Lewin's Force-Field Analysis which consists of the following steps: 1) Expected change, 2) Driving factors for change, 3) Resistance to change, and 4) Overcoming resistance. Each component describes a set of thoughts and beliefs that Nong Khai Technical College WiLl implement as a basis for reviewing and strengthening an additional set of ideas and beliefs. This implementation WiLl elevate the cooperation practices, which WiLl, in turn, enhance the quality of work-integrated learning at Nong Khai Technical College in the future.