Search results

72 results in 0.16s

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2560
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2560
หนังสือ

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

หนังสือ

    สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุ และรายได้ ต่างกัน และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีภูมิลำเนาอยู่ในองค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ จำนวน 345 คน โดยใช้สูตรของของทาโร่ ยามาเน และวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างจะเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า: 1. ผู้สูงอายุที่ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ โดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ด้านนันทนาการ และด้านการมีงานทำและการมีรายได้ ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบทดสอบสมมติฐานของการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุที่มีเพศ และอายุ ต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ โดยรวม ไม่แตกต่างกัน แต่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ ต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนวทางการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ มีดังนี้ 1) ด้านการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ได้แก่ เพิ่มการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการรับประทานอาหาร การใช้ยา และการดูแลสุขภาพอนามัยผู้สูงอายุให้กับผู้สูงอายุและคนในครอบครัว 2) ด้านการมีงานทำและการมีรายได้ ได้แก่ ควรเพิ่มโครงการอบรมส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุมากขึ้น มีกองทุนให้กู้ยืมสนับสนุนการประกอบอาชีพโดยจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าในบริเวณที่เหมาะสม มีการประชาสัมพันธ์ให้ช่วยกันอุดหนุนสินค้าของผู้สูงอายุ และ 3) ด้านนันทนาการ ได้แก่ ควรเพิ่มโครงการกระตุ้นเชิญชวนให้ผู้สูงอายุหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น มีการดูแลให้มีสวนสาธารณะหรือสวนสุขภาพที่สะดวกปลอดภัยและมีอุปกรณ์การออกกำลังการที่เหมาะกับผู้สูงอายุอย่างเพียงพอ
สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ในผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุ และรายได้ ต่างกัน และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีภูมิลำเนาอยู่ในองค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ จำนวน 345 คน โดยใช้สูตรของของทาโร่ ยามาเน และวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างจะเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า: 1. ผู้สูงอายุที่ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ โดยรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ด้านนันทนาการ และด้านการมีงานทำและการมีรายได้ ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบทดสอบสมมติฐานของการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุที่มีเพศ และอายุ ต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ โดยรวม ไม่แตกต่างกัน แต่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ ต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนวทางการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองมะเดื่อ มีดังนี้ 1) ด้านการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ได้แก่ เพิ่มการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการรับประทานอาหาร การใช้ยา และการดูแลสุขภาพอนามัยผู้สูงอายุให้กับผู้สูงอายุและคนในครอบครัว 2) ด้านการมีงานทำและการมีรายได้ ได้แก่ ควรเพิ่มโครงการอบรมส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุมากขึ้น มีกองทุนให้กู้ยืมสนับสนุนการประกอบอาชีพโดยจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าในบริเวณที่เหมาะสม มีการประชาสัมพันธ์ให้ช่วยกันอุดหนุนสินค้าของผู้สูงอายุ และ 3) ด้านนันทนาการ ได้แก่ ควรเพิ่มโครงการกระตุ้นเชิญชวนให้ผู้สูงอายุหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น มีการดูแลให้มีสวนสาธารณะหรือสวนสุขภาพที่สะดวกปลอดภัยและมีอุปกรณ์การออกกำลังการที่เหมาะกับผู้สูงอายุอย่างเพียงพอ
This thematic paper had the following objectives: 1) to study the opinions about the role of local administrative organizations in management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization, Krathum Baen District, Samut Sakhon province; 2) to compare the opinions about the role of local administrative organizations in management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization, Krathum Baen District, Samut Sakhon Province, classified with different gender, age and income; and 3) to suggest guidelines for management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization, Krathum Baen District, Samut Sakhon province. It was a quantitative research. The sample group consisted of 345 elderly people living in Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization. Taro Yamane's formula and simple sampling methods were used for data collection. The used tools in the research were questionnaires with the reliability of 0.80. The used statistics were frequency, percentage, mean, standard deviation. T-test and One-Way ANOVA test. When differences were found, they were compared in pairs with the LSD (Least Significant Difference) method. The results of research were found as follows: 1. The elderly people who responded to the questionnaires had opinions about the role of local administrative organizations in management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization, Krathum Baen District, Samut Sakhon province, by sorting the average from descending order to being in the aspect of good health, the aspect of recreation and the aspect of employment and income respectively. 2. The comparison of the hypothesis of the research was found that the elderly with different gender and age had overall no different opinions about the role of local government organizations in management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Subdistrict Administrative Organization. But the elderly people with different incomes had different opinions on the elderly welfare management, with statistical significance at the level of 0.05. 3. Suggestions for management of social welfare for elderly people of Khlong Maduea Sub-district Administrative Organization, Krathum Baen District, Samut Sakhon province, were as follows: 1) In the aspect of good health, there should have training in knowledge about eating, drug use and health care for the elderly, to the elderly people and family members; 2) In the aspect of employment and income generation, there should be more vocational training programs for the elderly people; there should have a lending fund to support the occupation by arranging the product distribution location in the appropriate area; and there should have public relations to help subsidize the products of the elderly people; and 3) in the aspect of recreation, there should increase the stimulus program to encourage the elderly people to exercise more; there should have a public park or health park that was convenient, and safe, and there should have adequate exercise equipment suitable for the elderly people.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา,สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
ฉบับอัดสำเนา,สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2553
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้แก่ ประชาคมในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5,656 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโร ยามาเน่ (Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 374 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาคมมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล ส่วนด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ เมื่อจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเรียงลำดับตามความถี่จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้าน การมีส่วนร่วมในการเสนอปัญหา มีความถี่มากที่สุด คือ ท่านมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเสนอปัญหาแผนงานหรือโครงการด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่น ถนนและไฟฟ้า เป็นต้นเพียงใด รองลงมา ด้าน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือ ท่านมีส่วนร่วมในการคิดตัดสินใจและกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมของประขาคมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้แก่ ประชาคมในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5,656 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของทาโร ยามาเน่ (Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 374 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบปลายปิดและแบบปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t - test ค่า (One–Way ANOVA or F–test) และทดสอบค่าคะแนนเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการ (Least Significant Difference) LSD. ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาคมมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล ส่วนด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ตามลำดับ เมื่อจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของประชาคม ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาคมในการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยเรียงลำดับตามความถี่จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้าน การมีส่วนร่วมในการเสนอปัญหา มีความถี่มากที่สุด คือ ท่านมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเสนอปัญหาแผนงานหรือโครงการด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่น ถนนและไฟฟ้า เป็นต้นเพียงใด รองลงมา ด้าน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือ ท่านมีส่วนร่วมในการคิดตัดสินใจและกำหนดแนวทางพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น
This thesis has the following objectives: 1) to study the community participation in the local development plan in Sam Phran District 2) to compare the participation of local people in the development of local development plans in Sampran district Nakhon Pathom province of the community that has different gender, age, education level, status and monthly income. 3) To suggest the participation of the community in formulating the local development plan in Sampran district. Nakhon Pathom province, namely Parachakham in Sam Phran district Nakhon Pathom Province, amount 5,656 people. Determine the size of the samples using the formula of Taro. Yamane received a sample of 385 people. The tools used to collect data were questionnaires. Closed-end and open-ended type Data analysis was done by using a computer program. Statistics for data analysis LSD, frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, One-Way ANOVA or F-test and the Least Significant Difference LSD. The findings were as follows; 1) The community participates in the development of the local administrative organization development plan. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province, in all 5 areas, at the highest level When looking at each aspect, sorted in descending average order, it was found that the participation of There was the highest average, followed by participation in monitoring and evaluation. As for participation, receiving benefits Have the lowest mean respectively When classified by sex, age, educational level, occupation status and monthly income, overall was the highest. 2) The results of comparison of participation in the development plan of the local government organization. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province of the community with different sex, age, education level, occupation status and monthly income were found to be statistically significant difference at 0.05 level. 3) Suggestions on guidelines for promoting community participation in the development of the local administrative organization development plan. In the district of Sam Phran Nakhon Pathom Province The results were found in descending order of frequency. How often are you involved with the local government organization in proposing problems, plans or projects in the area of utility development such as roads and electricity, etc. Make decisions and formulate development solutions to address local problems.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2556
หนังสือ

    วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 2) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ต่างกัน และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 253 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของ “ทาโร ยามาเน่” (Taro Yamane) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Random Sampling) และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x ̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่า (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (f-test) หรือ (One–Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด 3 ลำดับ ดังนี้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านความพอประมาณในการปฏิบัติงาน รองลงมา ได้แก่ ด้านการมีคุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านความมีเหตุผลในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานของการวิจัย พบว่า พนักงานที่มีเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวม 5 ด้าน ไม่แตกต่างกัน ส่วนพนักงานที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยรวม 5 ด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) จากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยรวมทั้ง 5 ด้าน เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เห็นว่า การปฏิบัติงานของพนักงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถยึดถือปฏิบัติ โดยตั้งหมั่นอยู่บนความพอประมาณในการใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย รอบคอบ ใช้เหตุผล ประกอบการตัดสินใจ มีการวางแผนงานและนำความรู้ที่มีมาปรับใช้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ทั้งนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ความรู้ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการปฏิบัติงาน ดังนั้นพนักงานควรหมั่นศึกษาหาความรู้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ควบคู่กับการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส น้อมนำหลักธรรมะมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และนำ คำสอนทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการปฏิบัติงาน
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 2) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ต่างกัน และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 253 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคำนวณของ “ทาโร ยามาเน่” (Taro Yamane) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Random Sampling) และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x ̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่า (t-test) และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (f-test) หรือ (One–Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด 3 ลำดับ ดังนี้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านความพอประมาณในการปฏิบัติงาน รองลงมา ได้แก่ ด้านการมีคุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านความมีเหตุผลในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2) การทดสอบสมมติฐานของการวิจัย พบว่า พนักงานที่มีเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวม 5 ด้าน ไม่แตกต่างกัน ส่วนพนักงานที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยรวม 5 ด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) จากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยรวมทั้ง 5 ด้าน เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เห็นว่า การปฏิบัติงานของพนักงานภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถยึดถือปฏิบัติ โดยตั้งหมั่นอยู่บนความพอประมาณในการใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย รอบคอบ ใช้เหตุผล ประกอบการตัดสินใจ มีการวางแผนงานและนำความรู้ที่มีมาปรับใช้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ทั้งนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ความรู้ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการปฏิบัติงาน ดังนั้นพนักงานควรหมั่นศึกษาหาความรู้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ควบคู่กับการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส น้อมนำหลักธรรมะมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และนำ คำสอนทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการปฏิบัติงาน
This thesis has the following objectives : 1) to study the work performance under the concept of sufficiency economy philosophy of local government organization employees In Pluak Daeng District, Rayong Province, 2) to compare the work performance under the concept of sufficiency economy philosophy In Pluak Daeng District of Rayong Province of employees with different gender, age, educational level and work experiences, and 3) to propose guidelines for working under the concept of sufficiency economy philosophy of employees in local government organizations In Pluak Daeng District, Rayong Province. The data were collected by questionnaire from 253 samples determined the sample size by using the formula of "Taro Yamane" Convenience Random Sampling and by in-depth interviews with 5 key informant. The research tools were questionnaires and interview forms. The statistics used in this research are descriptive statistics; frequency, percentage, mean (x ̅) standard deviation (S.D.) and inferential statistics including t-test and variance test (f-test) or (One – Way ANOVA). If there are significant statistical differences, the methods of LSD (Least Significant Difference) will be used. The research findings revealed that: 1) The work performance under the concept of sufficiency economy philosophy in 5 areas is at a high level in total. When arranged in 3 sequences from the highest to the least, it starts with moderation in the work, followed by morality and ethics in work performance, and reason in the work performance respectively. 2) In research hypothesis testing, employees with different genders, ages and work experiences have work performance under the concept of sufficiency economy philosophy indifferently. The employees with different educational levels have work performance under the concept of sufficiency economy philosophy differently with a significantly statistical figure at 0.05 3) Based on interviews with key informants, working under the concept of sufficiency economy philosophy is essential and practical based on moderation, saving, not being extravagant, discreet, making decisions with reason, planning, and applying knowledge in work to strengthen and immunize oneself. In addition, it is a preparation to confront with risks and problems to be happened. Knowledge is a key factor in work operation. Therefore, employees should keep learning, exchanging experiences with each other, and should have morality, ethics, honesty, transparency, and abide by Dhamma in living a life and work.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2554