Search results

27 results in 0.28s

หนังสือ

    จัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530
จัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศษ.ม.) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2559
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศษ.ม.) การบริหารการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2559
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) สาขาพุทธศาสน์ศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) การจัดการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม) การจัดการศึกษา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

หนังสือ

    วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาหลักสาราณียธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาท, ๒) เพื่อศึกษาความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท, และ ๓) เพื่อศึกษาหลักสาราณียธรรมเพื่อลดความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท โดยใช้วิธีวิจัยเอกสาร คือ ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และตำราอื่นๆ ประกอบ ผลการวิจัยพบว่า สารณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกันเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคีกัน เพื่อความเป็นอันเดียวกัน ความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท หมายถึง การประทุษร้ายทางร่างกาย วาจา และทางจิตใจ ทั้งแก่ตนเองและบุคคลอื่นทีมีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ความรุนแรงระดับเบา ระดับกลาง และระดับหนัก ส่วนสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากต้นตอหรือรากเหง้าของกิเลสที่เรียกว่า อกุศลมูล คือ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน หลักสาราณียธรรมเพื่อลดความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท พบว่า หลักสาราณียธรรม ๖ คือ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง ธรรมเป็นเหตุที่ระลึกถึงกันหลักการอยู่ร่วมกันเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ ความกลมกลืนเข้าหากัน เพื่อความไม่วิวาท เพื่อความสามัคคีและเอกภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาหลักสาราณียธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาท, ๒) เพื่อศึกษาความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท, และ ๓) เพื่อศึกษาหลักสาราณียธรรมเพื่อลดความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท โดยใช้วิธีวิจัยเอกสาร คือ ศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และตำราอื่นๆ ประกอบ ผลการวิจัยพบว่า สารณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกันเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคีกัน เพื่อความเป็นอันเดียวกัน ความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท หมายถึง การประทุษร้ายทางร่างกาย วาจา และทางจิตใจ ทั้งแก่ตนเองและบุคคลอื่นทีมีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ความรุนแรงระดับเบา ระดับกลาง และระดับหนัก ส่วนสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากต้นตอหรือรากเหง้าของกิเลสที่เรียกว่า อกุศลมูล คือ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน หลักสาราณียธรรมเพื่อลดความรุนแรงในพุทธปรัชญาเถรวาท พบว่า หลักสาราณียธรรม ๖ คือ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง ธรรมเป็นเหตุที่ระลึกถึงกันหลักการอยู่ร่วมกันเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ ความกลมกลืนเข้าหากัน เพื่อความไม่วิวาท เพื่อความสามัคคีและเอกภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
This thesis serves the purposes: 1) to study the states of conciliation in Theravada Buddhist philosophy, 2) to study violence in Theravada Buddhist Philosophy, and 3) to study the states of conciliation for alleviate violence in Theravada Buddhist philosophy. It has been carried out with qualitative research methodology, of which its sources include The Tipitaka, relevant researches and other texts to supplement it. The results of the research were found that: Fairness refers to fairness as a cause for commendation. Make love Make a respect is for the welfare for no strife to unity for the same integrity. Violence in Theravada Buddhist philosophy refers to physical, verbal, and psychological harms both to oneself and to others as a result of suffering. There are three levels of violence: lighter intensity Intermediate and heavy. The cause of the violence is caused by the origin or the root of the passion, which is called sensuality, i.e., sensuality, anger, rationality that causes suffering. The main principle of sustenance to reduce violence in Theravada Buddhist philosophy is that the principle of the states of conciliation 6 is the place of remembrance. Dhamma is a remembrance of the principle of coexistence for the welfare. Harmony is for brawling for unity.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
Note: ฉบับอัดสำเนา, วิทยานิพนธ์ (ศน.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2555
หนังสือ

    การวิจัยเรื่อง “แนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลัก สาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒) เพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชากร คือ ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ส่วนกลาง วิทยาเขต และวิทยาลัย รวม ๑๑ แห่ง การวิจัยเป็นแบบผสม (Mixed Method Research) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม (Questionnaire) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) และ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่ามี ๕ ระดับ จำนวน ๓๐ ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS (IBM SPSS Statistics ) เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า ๑. จากผลการวิจัยการหาแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พบว่า ทัศนคติของผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ต่อแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๕๙, S.D. ๐.๒๑๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีทัศนคติสูงสุดคือ ด้านเมตตาวจีกรรม ( = ๔.๖๖, S.D. ๐.๓๕๖) รองลงมาคือ ด้านสีลสามัญญตา ( = ๔.๖๓, S.D. ๐.๓๒๐) ถัดมาได้แก่ด้านเมตตามโนกรรม ( = ๔.๖๓, S.D.๐.๓๖๔) ด้านเมตตากายกรรม ( =๔.๕๘, S.D. ๐.311) และด้านทัศนคติน้อยที่สุดคือด้านสาธารณโภคี ( = ๔.๖๓, S.D. ๐.๔๐๙) แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ มีแนวคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ด้านเป็นแนวทางในการพัฒนางานประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่างานประกันคุณภาพการศึกษามีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ๒. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย พบว่า การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงาน เป็นการสร้างความสามัคคีปรองดองมีความเมตตาปรารถนาดีต่อกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้คำแนะนำในสิ่งที่ดีงาม ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี ตามระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ผลสัมฤทธิ์ในระดับองค์กรย่อมเป็นไปตามเป้าหมาย กับแนวทางการพัฒนาระบบประกันของมหาวิทยาลัย
การวิจัยเรื่อง “แนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลัก สาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อศึกษาการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒) เพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชากร คือ ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ส่วนกลาง วิทยาเขต และวิทยาลัย รวม ๑๑ แห่ง การวิจัยเป็นแบบผสม (Mixed Method Research) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม (Questionnaire) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) และ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่ามี ๕ ระดับ จำนวน ๓๐ ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS (IBM SPSS Statistics ) เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า ๑. จากผลการวิจัยการหาแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พบว่า ทัศนคติของผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ต่อแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๕๙, S.D. ๐.๒๑๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีทัศนคติสูงสุดคือ ด้านเมตตาวจีกรรม ( = ๔.๖๖, S.D. ๐.๓๕๖) รองลงมาคือ ด้านสีลสามัญญตา ( = ๔.๖๓, S.D. ๐.๓๒๐) ถัดมาได้แก่ด้านเมตตามโนกรรม ( = ๔.๖๓, S.D.๐.๓๖๔) ด้านเมตตากายกรรม ( =๔.๕๘, S.D. ๐.311) และด้านทัศนคติน้อยที่สุดคือด้านสาธารณโภคี ( = ๔.๖๓, S.D. ๐.๔๐๙) แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ มีแนวคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ด้านเป็นแนวทางในการพัฒนางานประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่างานประกันคุณภาพการศึกษามีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ๒. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ของมหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย พบว่า การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงาน เป็นการสร้างความสามัคคีปรองดองมีความเมตตาปรารถนาดีต่อกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้คำแนะนำในสิ่งที่ดีงาม ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี ตามระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ผลสัมฤทธิ์ในระดับองค์กรย่อมเป็นไปตามเป้าหมาย กับแนวทางการพัฒนาระบบประกันของมหาวิทยาลัย
The thesis entitled “The Guidelines for Quality Assurance in Education by Using Sārāṇīyadhamma of Mahamakut Buddhist University” consisted of two objectives: 1) to study quality assurance in education by using Sārāṇīyadhamma of Mahamakut Buddhist university; and 2) to study the guidelines for quality assurance in education by using Sārāṇīyadhamma of Mahamakut Buddhist university. A sample consisted of administrators, lecturers, and officers from the main campus, other campuses, and colleges of Mahamakut Buddhist university, in a total of 11 campuses. The study used mixed-method research of both quantitative and qualitative research. For quantitative research, a questionnaire was employed for the research instrument. For qualitative research, the research instruments consisted of the in-depth interview of key informants and questionnaire by means of the rating scale of 5 levels, consisting of 30 questions. The data was analyzed by using the SPSS program (IBM SPSS Statistics) to find percentage, average, standard deviation (S.D), t-test statistics and F-test. The results of the study revealed as follows: 1) From the study of the guidelines for the development of quality assurance in education by using Sārāṇīyadhamma of Mahamakut Buddhist university, it was found that the attitudes of administrators, lecturers, and officers towards the development of quality assurance in education, overall, were at a high level (( ) = 4.59, S.D. = 0.218). When considering in each aspect, Mettāvacīkamma had the highest average of attitude (( ) = 4.66, S.D. = 0.356). The second highest average of attitude was Sīlasāmaññatā (( ) = 4.63, S.D. = 0.320). The third highest average of attitude was Mettāmanokamma (( ) = 4.63, S.D. = 0.364). Followed by Mettākāyakamma (( ) = 4.58, S.D. = 0.311). The least average of attitude was Sādhāraṇabhogitā (( ) = 4.63, S.D. = 0.409). The results showed that administrators, lecturers, and officers had the ideas in the same direction of using Sārāṇīyadhamma as the guidelines for the development of quality assurance in education of the university to be better. This also showed that quality assurance in education played an important role in developing the quality of education and that there were no statistically significant differences. 2) The results of the in-depth interview with key informants about the guidelines for the development of quality assurance in education by using Sārāṇīyadhamma of Mahamakut Buddhist university found that the application of Sārāṇīyadhamma in performing duties and administration was to create unity, reconciliation, loving-kindness, and goodwill to one another by helping each other, giving advice on good things, adhering to morals in accordance with the good tradition and culture. The achievement at the enterprise level was consistent with the goals and guidelines for the development of the university's assurance system.
หนังสือ

    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ประชากรกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน รวมจำนวนประชากรทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอนวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ตามลำดับ 3. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารโดยภาพรวมส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ประชากรกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคล และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน รวมจำนวนประชากรทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอนวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลัง ด้านการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ตามลำดับ 3. การบริหารการจัดการความรู้เชิงบูรณาการหลักสาราณียธรรมของผู้บริหารโดยภาพรวมส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
The objectives of this research were: 1) to study integrated learning management of Saraniyadhamma principles of school administrators under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1, 2) to study personnel management of School Administrators under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 and, 3) to study integrated learning management of Saraniyadhamma principles of school administrators that affect personnel management in schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1. A sample was selected from 276 population of the managements of educational establishments i.e., directors, head of human resource management department, and teachers from 92 schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1. The instrument used in this study was a standard 5 rating scale questionnaire. The statistics used in the analysis are frequency, percentage, standard deviation and multiple linear regression and using package program.  The results of research were as follows: 1. The Saraniyadhamma integrated knowledge management under the Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1, the overall was at the highest level. and each aspect was at the highest level in every aspect by arranged in descending order. 2. The human resource management in schools under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 in overall was at the highest level and in each aspect was at the highest level. The averages were sorted in descending order such as human resource planning, disciplinary action and punishment, performance evaluation, government teacher and educational personnel development and recruitment and appointment, respectively. 3. The Saraniyadhamma integrated knowledge management of the administrators affected human resources management in school under Nakhon Pathom Primary Educational Service Area Office 1 was statistically significant at the 0.01 levels.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2549
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2549
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขาสังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ศน.ม.) สาขาสังคมวิทยา--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2557