Search results

9 results in 0.06s

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2558
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2558
หนังสือ

หนังสือ

    สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ต่างกัน และ3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรเทศบาลที่ปฏิบัติงานในเทศบาลตำบลต่างๆ ในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จำนวน 319 โดยวิธีการใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ คือ ใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติอนุมานหรืออ้างอิง ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว F-test (One-Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffé) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า 1. บุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี มีการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับทุกครั้ง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการนำหลักมุทิตา อยู่ในระดับทุกครั้ง รองลงมา คือ ด้านการนำหลักเมตตา และมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการนำหลักอุเบกขา อยู่ในระดับทุกครั้ง ตามลำดับ 2. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า บุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ที่มีอายุ และประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 4 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะ 1) ด้านการนำหลักเมตตาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านมีความรักใคร่ปรารถนาดีกับเพื่อนน้อยมาก และไม่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานจึงควรตระหนักในหลักเมตตาธรรมและปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงานช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานเมื่อเพื่อนประสบความเดือดร้อน, 2) ด้านการนำหลักกรุณาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บางครั้งยังขาดความเห็นใจเพื่อนร่วมงานและไม่สนใจเมื่อเพื่อนเดือดร้อนควรช่วยแก้ไขปัญหาให้เมื่อเพื่อนร่วมงานเมื่อได้รับความเดือดร้อนให้ดีขึ้น, 3) ด้านการนำหลักมุทิตาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านไม่ได้สนใจเมื่อเพื่อนร่วมงานที่ได้รับรางวัลจากการทำความดีควรยินดีกับ เพื่อนร่วมงานที่ได้รับคำชมเชยและสนับสนุนนักเรียนให้กระทำแต่ความดีนั้น และ 4) ด้านการนำหลักอุเบกขาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านลำเอียงเมื่อเพื่อนร่วมงานมีการกระทำผิดกฎระเบียบควรมีใจเป็นกลางเมื่อเพื่อนร่วมงานได้รับโทษตามสภาพจริง
สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ต่างกัน และ3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรเทศบาลอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรเทศบาลที่ปฏิบัติงานในเทศบาลตำบลต่างๆ ในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จำนวน 319 โดยวิธีการใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ คือ ใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติอนุมานหรืออ้างอิง ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว F-test (One-Way ANOVA) ถ้าพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffé) โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า 1. บุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี มีการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับทุกครั้ง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการนำหลักมุทิตา อยู่ในระดับทุกครั้ง รองลงมา คือ ด้านการนำหลักเมตตา และมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการนำหลักอุเบกขา อยู่ในระดับทุกครั้ง ตามลำดับ 2. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า บุคลากรเทศบาลในเขตอำเภอธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ที่มีอายุ และประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีการนำหลักพรหมวิหารธรรมไปใช้ในปฏิบัติงาน โดยรวมทั้ง 4 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ข้อเสนอแนะ 1) ด้านการนำหลักเมตตาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านมีความรักใคร่ปรารถนาดีกับเพื่อนน้อยมาก และไม่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานจึงควรตระหนักในหลักเมตตาธรรมและปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงานช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานเมื่อเพื่อนประสบความเดือดร้อน, 2) ด้านการนำหลักกรุณาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บางครั้งยังขาดความเห็นใจเพื่อนร่วมงานและไม่สนใจเมื่อเพื่อนเดือดร้อนควรช่วยแก้ไขปัญหาให้เมื่อเพื่อนร่วมงานเมื่อได้รับความเดือดร้อนให้ดีขึ้น, 3) ด้านการนำหลักมุทิตาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านไม่ได้สนใจเมื่อเพื่อนร่วมงานที่ได้รับรางวัลจากการทำความดีควรยินดีกับ เพื่อนร่วมงานที่ได้รับคำชมเชยและสนับสนุนนักเรียนให้กระทำแต่ความดีนั้น และ 4) ด้านการนำหลักอุเบกขาไปใช้ในการปฏิบัติงาน คือ บุคลากรบางท่านลำเอียงเมื่อเพื่อนร่วมงานมีการกระทำผิดกฎระเบียบควรมีใจเป็นกลางเมื่อเพื่อนร่วมงานได้รับโทษตามสภาพจริง
This thematic paper had the objectives as follows: 1) to study An Application of the Principles of Brahmaviharadhamma to Duty Performance of Personnel of Municipalities in Thanya Buri District, Pathum Thani Province; 2) to An Application of the Principles of Brahmaviharadhamma to Duty Performance of Personnel of Municipalities in Thanya Buri District, Pathum Thani Province, classified by different personal factors of ages, genders, levels of education, and job experience; and 3) to study suggestions and solutions concerning An Application of the Principles of Brahmaviharadhamma to Duty Performance of Personnel of Municipalities in Thanya Buri District, Pathum Thani Province. The used research tools were questionnaires. The sample group were 319 residents in Thanyaburi District, Pathum Thani Province, sized by formula of Taro Yamane and Simple Random Sampling in collection of data. The used statistics were descriptive statistics, frequency, percentage, mean, standard deviation and inferential statistics including F-test and One-way ANOVA test. If differentiation was found, it was tested in a pare by mean of Scheffe and analyzed by computing. The results of research were found as follows: 1. Personnel of Thanyaburi Municipalities in Thanyaburi Province had applied the principle of Brahmaviharadhamma to duty performance, in the whole view of all 4 aspects at all times level. Having been considered in each aspects, they were found that the Aspect of An Application of the Principle of Mulita was at all times level, and the Aspect of An Application of the Principle of Metta, were at all times level respectively, while the Aspect of An Application of the Principle of Upekkha was in the lowest level. 2. The results of hypothesis-test were found that the personnel of Thanyaburi Municipalities in Thanya buri Province with different ages and job experiences, had applied differently the principle of Brahmaviharadhamma to duty performance, in the whole view of 4 aspects, in a statistical significant level of 0.05. 3. The people had suggested some problems and solutions concerning an application of the principle of Brahmaviharadhamma to duty performance of the personnel of municipalities in Thanyaburi District, Pathum Thani Province, as follows; 1) In the Aspect of An Application of the Principle of Metta, as some personnel had a little loving-kindness, friendliness and goodwill to their co-workers and they did not give up their own happiness for their co-workers, so they should realize the importance of the principle of Metta and should express loving-kindliness, friendliness and goodwill and help their co-workers whenever they suffered; 2) In the Aspect of An Application of the Principle of Karuna, as some times some personnel did not show compression to their co-workers, so they should pay more attention to their co-workers whenever they help to solve the problems or whenever they suffered; 3) In the Aspect of An Application of the Principle of Mudita, as some personnel did not express sympathetic joy or altruistic joy to their co-workers when they received rewards from their successful works, so they should express sympathetic joy and should encourage them to do more successful works; 4) In the Aspect of An Application of the Principle of Upekkha, as some personnel had some bias towards their co-workers when they were punished, so they should show equanimity, neutrality or poise towards their co-workers whenever they were punished in due process of law and regulations.
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2558
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม.) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2558
หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย,2554
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม)--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย,2554
หนังสือ

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2560
Note: ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์ (ร.ม) สาขารัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2560
หนังสือ

หนังสือ

    ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551
ฉบับอัดสำเนา, สารนิพนธ์(ศน.ม) รัฐศาสตร์การปกครอง--มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2551